ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 457 ฉากนองเลือดหวนคืน
บทที่ 457 ฉากนองเลือดหวนคืน
คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์เองก็ได้เห็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วเหมือนกัน
“พวกเจ้าถูกส่งมาทำภารกิจโดยสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้างั้นรึ”
หนึ่งในคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ท่าทางไม่เป็นมิตรมองไปที่กัวเหลียงและคนอื่นๆที่อยู่บนนกยักษ์
“ทำไมพวกเจ้าถึงมีแต่ศิษย์แผนกวิชายุทธล่ะ แล้วศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตหายไปไหนกันหมด ทำไมไม่เห็นพวกนั้นสักคนเดียว”
ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นล้วนแล้วแต่มองไม่เห็นหัวผู้บ่มเพาะบนเส้นทางวิชายุทธมาโดยตลอด จะบอกว่าไม่คู่ควรเทียบเท่าพวกตนก็ว่าได้
นี่จึงทำให้เมื่อคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์เห็นกัวเหลียงและคนอื่นๆที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในแผนกวิชายุทธ ก็ได้แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาในทันที
ในฐานะที่ตัวเองนั้นเป็นตัวหลักในการทำภารกิจครั้งนี้ กัวเหลียงก็เดินขึ้นหน้าออกมาแล้วกล่าวตอบไป
“เรียนท่านตัวแทน ผอ.ของสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นได้มอบภารกิจออกมาอย่างที่ว่าจริง”
“แต่เท่าที่ข้าทราบมา หาได้มีศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตในสำนักเต๋าของเรานั้นคิดที่จะรับภารกิจนี้เลยสักคนเดียว”
เพียงสิ้นเสียงของกัวเหลียง เหล่าศิษย์ที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น
ถึงพวกเขานั้นจะไม่ได้หน้าด้านหน้าทนประดุจดั่งกัวเหลียงที่กล้าพูดจาหยอกเย้าคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์เล่นได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ แต่ด้วยการที่พวกเขานั้นต่างก็เป็นศิษย์แผนกวิช ชายุทธ ตัวตนของพวกเขานั้นก็แทบจะไม่ได้ต่างจากกัวเหลียงมากมายสักเท่าไหร่นัก
ในจิตใต้สำนึกของเหล่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางยุทธ พวกเขาเชื่อมั่นในทักษะของตนมากกว่าสัตว์ปีศาจที่ฝังไว้ในร่างแบบผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเป็นไหนๆ
ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางยุทธนั้นมีใจมั่นบนพื้นฐานที่ว่า ต่อให้เป็นเส้นทางการบ่มเพาะที่ให้ระดับการบ่มเพาะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมากมายขนาดไหน แต่หากมันเป็นเส้นทางที่ชั่วร้ายล้วนแ แล้วแต่ไม่ควรเหยียบย่างเข้าไป
และในตอนนี้ กัวเหลียงได้มอบโอกาสที่จะทำให้พวกเขานั้นมีสิทธิ์มีเสียงมีตัวตนขึ้นมา พวกเขาย่อมใช้โอกาสนี้อย่างคุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม การกระทำของกัวเหลียงเองก็ได้ไปกระตุกต่อมความโกรธของคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแทบจะในทันที
คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนได้มองไปที่กัวเหลียงด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับตะเบ็งเสียงออกมาพร้อมกัน “รน หา ที่ ตาย”
เมื่อพูดจบ คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้พุ่งตรงไปที่นกยักษ์พร้อมๆกัน
ถึงแม้ศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าจะมีสถานะที่พิเศษอยู่บ้างในโลกปีศาจแห่งนี้ แต่ในสายตาของคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้น ศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ได้ต่างไปจากมดทหารเพ พียงเท่านั้น
เรียกได้ว่าความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยวของคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นี้พลุ่งพล่านเสียจนทำให้ลืมเรื่องของเจิ้งยี่ไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนพุ่งตรงมายังทิศทางของตน เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธต่างก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
แต่ในตอนที่พวกเขากำลังคิดหาวิธีหลบเลี่ยงการโจมตีที่ทรงพลังของคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่นี้ ก็ได้มีบางอย่างเข้ามาเปลี่ยนสถานการณ์
“อ่าฮ้า…. ไอ้พวกเวรตะไลวิหารศักดิ์ อย่าได้ทำตัวโอหังนัก”
หลังจากเสียงหัวเราะได้ดังขึ้นมาอย่างโอหังได้สิ้นสุดลง คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็ว
“พรู๊ดดดดด”
เลือดสองสายได้พุ่งออกไปทั่วท้องฟ้า หนึ่งในสองของคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีโอกาสที่จะใช้หุ่นเชิดโลหิตด้วยซ้ำก็ได้ปรากฏรูขนาดเท่าหัวคนปรากฏขึ้นที่หน้าอก
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ตอนนี้ได้กระอักเลือดอย่างไม่หยุด พร้อมจิตใจที่ลนลานอย่างสุดขีด
หนึ่งตกตาย หนึ่งสาหัส
นี่ทำให้ศิษย์แผนกวิชายุทธแห่งสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้านั้นอดที่จะนึกสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้คือผู้ที่อยู่ในระดับราชาเหนือราชาจริงๆรึเปล่า
หากว่าใช่จริง แล้วผู้อาวุโสท่านใดกันที่ทำให้คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บหนักได้ในครั้งเดียวแบบนี้
ที่เบื้องล่าง ผู้คนจากสำนักเต๋าฟ้าวันใหม่ถึงกับต้องสะพรึงกันไปถ้วนหน้าเมื่อได้เห็นฉากนี้ และไม่นาน พวกเขาก็ได้พบเห็นผู้บ่มเพาะปริศนาที่เป็นผู้ลงมือ
คนคนนี้เป็นชายชราที่มีร่างกายที่ผอมแห้ง และใส่ชุดเฉกเช่นเดียวกับคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกัน ผู้คนเบื้องล่างก็ได้เห็นหุ่นเชิดซากศพที่ยืนอยู่อย่างไม่ห่างกายของเขา
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าชายชราผู้นี้อยู่ในระดับการบ่มเพาะใด เพราะแค่เพียงหุ่นเชิดซากศพของเขานั้นก็มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชาเหนือราชาขึ้นกลางแล้ว
“ผอ. เกิดอะไรขึ้น ชายแก่นั่นก็สมควรจะเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหมือนกันไม่ใช่รึ แล้วทำไมพวกเขาถึงสู้กันเองล่ะ แถมเพียงแค่คนคนนี้ลงมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้อีก กฝ่ายถึงกับตกตายในทันทีอีก”
ผอ.สำนักเต๋าฟ้าวันใหม่ก็ส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยใบหน้าอึ้งๆ “ใครจะไปรู้ล่ะ ผู้อาวุโสสองคนนั่นบอกเพียงว่าเจ้าตัวสีเงินนั่นหมายจะมาก่อเรื่องที่สำนักเราเท่านั้น น แต่นี่ไม่เพียงพวกเขาจะลงมือผิดพลาด แถมคนที่พึ่งโผล่มานั้นกลับทรงพลังเสียยิ่งกว่า”
“ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่มันเกินกว่าที่พวกเราจะเข้าไปยุ่ง จะดีกว่าหากพวกเราให้เราศิษย์ทั้งหลายหลบหนี ไม่ได้เข้าไปติดกลางกองไฟแห่งการต่อสู้นี้แล้วจับตาดูสถานการณ์ เอาไว้”
บนหลังนกยักษ์ที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศเองนั้น เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธเองต่างก็แสดงออกมาด้วยท่าทางโง่งมเมื่อได้เห็นว่ามีผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังทั้งสองโดนโจมตีโดยผู้บ่ม เพาะที่ทรงพลังยิ่งกว่าอย่างรวดเร็วทันใด
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ผู้บ่มเพาะปริศนาที่พึ่งจะโผล่ออกมานั้นได้ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้แล้วจริงๆ
“ลูกพี่ ผู้บ่มเพาะคนนั้นก็เป็นผู้ที่อยู่บนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตไม่ใช่เหรอ แล้วเขาช่วยพวกเราทำไมกัน ไม่สิ เขาทำแม้แต่การฆ่าผู้แทนจากวิหารศักดิ์อีก”
นอกจากคนของกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว ย่อมไม่มีใครรู้ว่าผู้บ่มเพาะปริศนาที่พึ่งจะปรากฏตัวออกมาแล้วโจมตีใส่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่หมายจะเข่นฆ่าพวกเขานั้นคือเฉินเฉียง ที่เปลี่ย ยนรูปลักษณ์เป็นหลิวเซียน
กัวเหลียงได้ยิ้มออกมาได้อย่างน่าฉงนก่อนจะพูดออกมา “ใครจะไปสนกันล่ะวุ้ย แค่พวกเราไม่ตกตายนี่ก็ดีจะตายอยู่แล้ว พวกเราแค่คอยดูต่อไปก็พอ”
เมื่อคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เจ็บหนักเจียนตายอยู่ในตอนนี้ได้เห็นคู่หูของตนร่วงหล่นไปสู่พื้นดินอย่างรุนแรงจนฝุ่นฟุ้งกระจาย เขาได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่ลงมือทำร้ายเขา พร้อ อมดวงตาที่เบิกกว้างเพราะจดจำได้ในทันทีว่าเป็นผู้ใด
“หลิวเซียนเรอะ….นี่แกคิดจะก่อกบฏงั้นรึ กล้าดียังไงถึงทำร้ายคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าสาธารณชน”
เฉินเฉียงในรูปลักษณ์ของหลิวเซียนก็ได้ก้มลงมองเจ้าของเสียงในทันที
“ถุ่ย วิหารศักดิ์สิทธิ์หาพระแสงอะไรกัน ช่างเป็นชื่อที่หลอกลวงใหญ่โตยิ่งนัก”
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะพูดออกมาราวกับไม่ใส่ใจในคำพูด แต่นอกจากคนของกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว ทุกคนที่ได้ยินล้วนแล้วแต่คิดว่าเขานั้นพูดออกมาด้วยวาจาลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าได้
นั่นก็เพราะวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทับฝังใจผู้คนบนโลกปีศาจ
พวกเขายอมตายได้แต่ไม่อาจทนเห็นใครมาพูดจาลบหลู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือบูชาได้ไม่
และเพียงเฉินเฉียงได้พูดจบ ทุกคนที่อยู่ในสำนักฟ้าวันใหม่ได้จับจ้องไปที่เฉินเฉียง
แม้แต่ศิษย์แผนกวิชายุทธที่มากับกัวเหลียงเองก็ยังอดที่จะเดือดเนื้อร้อนใจแทนวิหารศักดิ์สิทธิ์เสียมิได้
เมื่อเห็นฉากนี้ คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็สบถออกมาทีหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “หลิวเซียน ไอ้ตัวกบฏ แกนั้นได้หันหลังให้กับวิหารศักดิ์สิทธิ์เพราะความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าคนอย่างแก กจะพูดอะไรออกมาก็ไม่มีใครเชื่อหรอกเว้ย”
สิ่งที่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์พูดออกมานั้น แน่นอนว่าเพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์เอาไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าเฉินเฉียงนั้นไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ว่าเฉินเฉียงจะพูดออกมาโดยรูปลักษณ์ของใคร ต่อให้วาจาที่พูดออกมานั้นสวยหรูน่าดึงดูดเป็นเหตุเป็นผลมากมายขนาดไหน นก็ตาม เขานั้นย่อมไม่อาจจะสั่นคลอนวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพนับถือจนฝังจิตประทับใจผู้คนบนโลกปีศาจแห่งนี้ไปได้
เฉินเฉียงเองก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี นี่ทำให้เมื่อสิ้นเสียงของคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ เฉินเฉียงก็นำกำไลสื่อสารออกมาจากแหวนเก็บของ ก่อนจะมองไปที่คนของวิหารศักดิ์สิ ทธิ์ด้วยรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ฮี่ฮี่ฮี่ เจ้านั้นคิดจริงๆเหรอว่าไอ้แก่ผู้นี้จะไม่มีหลักฐานการกระทำที่โสมม โหดร้าย และป่าเถื่อนของวิหารศักดิ์สิทธิ์น่ะ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงมองไปยังผู้คนโดยรอบจากทั้งสำนักเต๋าฟ้าวันใหม่และสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าก่อนที่จะตะโกนออกมา “ไอ้พวกโง่งมทั้งหลาย จนเบิกตามองที่ข้าให้กว้างๆบัดเดี๋ยวนี ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงในรูปลักษณ์ของหลิวเซียนก็ได้ใช้พลังจากโลกใบเล็กของตนส่งกำไลสื่อสารขึ้นไปบนฟ้า ในตอนนี้แสงฉายหนึ่งได้ถูกฉายขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับเป็นเครื่องฉายที่ม มีท้องฟ้าเป็นฉากหลัง
มันเป็นฉากเหตุการณ์ตอนที่เม่ยซินได้เข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ในวันนั้น
ในตอนที่กลุ่มคนได้เข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงตอนที่ทุกคนได้เข้าไปในหอที่อยู่ในสังกัดของหอกองโจรหมาป่า ทุกคนได้ถูกกักขังเอาไว้ในกำแพงแสง พร้อมกับที่เหล่าผู้บ่มเพาะ ะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตได้ปลดปล่อยหุ่นเชิดโลหิตของตนออกมา ตามมาด้วยฉากนองเลือดและโหดร้ายอย่างที่สุด โหดร้ายชนิดที่ว่าลบล้างความเคารพนับถือและความเลื่อมใส่ที่ฝังจิตประทับใจ ที่มีต่อวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ในทันที
“ของปลอม นี่มันทำขึ้นมา อย่าไปเชื่อไอ้หลิวเซียนนั่น มันเป็นคนทรยศต่อวิหารศักดิ์สิทธิ์ มันต้องทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็เท่านั้น”
เทคโนโลยีชั้นสูงอย่างกำไลสื่อสารนี้หาได้มีในโลกปีศาจแห่งนี้ไม่
นี่จึงทำให้เมื่อเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของหลิวเซียนพูดถึงเรื่องหลักฐานนั้น คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงเหลือรอดอยู่นี้หาได้ใส่ใจไม่
แต่เพียงได้เห็นฉากเหตุการณ์ที่ถูกฉายขึ้นมาจากกำไลสื่อสารวงนี้ มันเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนทั่วโลกปีศาจเคารพบูชานั้น เต็มไปด้วยกลิ่นความเลือด ป่าเถ ถื่อน และโหดร้ายผิดมนุษย์มนามากมายเพียงใด