ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 459 โลกที่เปลี่ยนไป
บทที่ 459 โลกที่เปลี่ยนไป
ไม่นานจากที่เฉินเฉียงได้จากมา เขาก็ส่งข้อความไปให้จางหยวน กัวเหลียง และคนอื่นๆเพื่อที่จะพูดคุยเกี่ยวกับแผนการในภายภาคหน้า
“จางหยวน เจ้าสามารถพาทุกคนกลับไปตอนไหนก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ตามภารกิจนี้ไม่ได้กำหนดเวลา เมื่อถึงเวลาที่เจ้าเห็นควรเจ้าค่อยพาทุกคนกลับไป”
“เจิ้งยี่ เจ้าพาเม่ยซินกลับไปที่เมืองฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก่อน ข้านั้นจะกลับไปโลกมนุษย์สักครั้ง เจ้ารอข้าอยู่ที่นั่น แล้วเมื่อข้ากลับไปค่อยพูดคุยกันถึงแผนการต่อไป”
หลังจากได้รับคำสั่งจากเฉินเฉียง ทุกคนก็รีบทำตามคำสั่งในทันที
ยกเว้นก็เพียงหยานเสวี่ยเพียงเท่านั้น
“เฉินเฉียง รอข้าก่อน ข้าอยากกลับไปกับเจ้าด้วย”
หลังจากส่งข้อความมาแล้ว หยานเสวี่ยก็รีบตามเฉินเฉียงไปในทันที
เฉินเฉียงที่ตอนนี้มาถึงภูมิภาคกลางแล้วก็ไม่มีทางเลือกทำได้แค่รอเธอ
ไม่นาน หยานเสวี่ยก็ได้มาถึง
“หยานเสวี่ย ข้านั้นมีเรื่องต้องกลับไปจัดการ เจ้าจะตามข้าไปด้วยงั้นเหรอ”
หยานเสวี่ยส่ายหน้าในทันที ก่อนจะพูดออกมาอย่างติดๆขัดๆ “ข้า….ข้ามีบางสิ่งที่ข้าต้องกลับไปจัดการด้วยตัวเองน่ะ”
เฉินเฉียงก็เคารพการตัดสินใจของหยานเสวี่ย จึงไม่คิดทัดทานแต่อย่างใด
“ที่ๆเราจะไปนี้เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงแม้เจ้านั้นจะไม่เกรงกลัว แต่ข้าเชื่อได้เลยว่าเจ้านั้นต้องขยะแขยงพวกมันจนขนลุกขนพอง หากเจ้าจะกลับไปกับข้าจริง ข้าว่าเจ้าไ ไปอยู่ในโลกใบเล็กของข้าก่อนก็แล้วกัน”
ในครั้งนี้หยานเสวี่ยไม่ได้คิดขัดขืนในเรื่องนี้เฉกเช่นครั้งก่อน เธอพยักหน้ารับก่อนที่จะปล่อยให้เฉินเฉียงพาเธอเข้าไปในโลกใบเล็กของเขา
หลังจากให้หยานเสวี่ยไปอยู่ในโลกใบเล็กแล้ว เฉินเฉียงก็ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ก่อนที่จะไปปรากฏอยู่ใต้ดินของหุบเขาเสียงกระซิบ(หุบเขาฟานหยิน)
โดยปกติแล้วในตอนที่เข้าหุบเขาเสียงกระซิบมานั้น เขาจดจำได้ว่าครั้งก่อนเขานั้นจะถูกถาโถมเข้ามาโดยสัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนหนึ่งนั้นเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะพวกมันอยู่ได้เ เพียงแค่ในเขตของหุบเขานี้เพียงเท่านั้น พวกมันจึงคอยจับจ้องทุกสิ่งมีชีวิตที่หลุดลอดเข้ามา แต่ในตอนนี้ เขานั้นกลับไม่อาจสัมผัสถึงพวกมันได้เลยสักตัวเดียว ถึงแม้จะล่วงเข้าเ เขตหุบเขามานานแล้วก็ตาม
นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เฉินเฉียงได้คาดการณ์ไว้
ช่างน่าแปลกนัก
ที่ด้านนอกหุบเขาเสียงกระซิบนี้เองก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยของเขตแดนที่รายรอบหุบเขาไว้ แล้วทำไมสัตว์ปีศาจเหล่านี้ถึงไม่ออกไปหาอาหารของพวกมันกันล่ะ ะ
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นไม่ได้มีอารมณ์ที่จะหาคำตอบเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาเพียงรีบเร่งไปยังทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้า
ในโลกใบเล็กของเฉินเฉียง หยานเสวี่ยเห็นสัตว์ปีศาจจำนวนมากมายที่อยู่ใต้พื้นดิน โดยที่เฉินเฉียงผ่านทะลวงพวกมันไปราวกับพวกมันเองก็เป็นเพียงเศษดินจำนวนมากเพียงเท่านั้น แต่กร ระนั้น เธอเองก็อดที่จะขนลุกขนชันไม่ได้อย่างที่คิด
เรียกได้ว่าไม่ว่าเฉินเฉียงจะผ่านไปทางไหน สัตว์ปีศาจจำนวนมากก็จะย่อยยับไปในทันที
และไม่นาน เฉินเฉียงก็ได้ปรากฏอยู่ที่ประตูเขตแดน
ถึงแม้ว่าประตูทางเข้าเขตแดนนี้ยังไม่ปิด แต่เฉินเฉียงก็ยังพาหยานเสวี่ยออกมาจากโลกใบเล็กอยู่ดี
ด้วยการที่หยานเสวี่ยนั้นมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นสูง หากเขาฝืนทะลวงผ่านไปทั้งๆที่เธออยู่ในโลกใบเล็กของเขานั้น เขตแดนสมควรจะไม่ยอมให้เธอได้ผ่านไปได้
สำหรับผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเฉินเฉียง เขานั้นยากที่จะพาหลบซ่อนไว้ในโลกใบเล็ก เพื่อหลบจากการตรวจจับของเขตแดนใดๆ
หยานเสวี่ยเองในตอนนี้ทำตัวราวกับด้านชาเมื่อเห็นบรรดาไอ้ตัวยึกยือที่รอยรอบอยู่ประตูเขตแดนนี้ เธอตวัดกระบี่ของตนเองไปมาอย่างไม่หยุด ทำให้พวกมันตกตายกลายเป็นชิ้นๆ
“หยานเสวี่ย กลับมาก่อน พาข้าเข้าไปในโลกใบเล็กของเจ้าก่อน”
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ที่ปลายประตูเขตแดนนี้สมควรจะมีคนของฮูเตี๋ยนที่มอบหมายให้มาเฝ้าประตูอีกทางเอาไว้
หากอยู่ๆหยานเสวี่ยโผล่ออกไป นางอาจจะเผลอทำร้ายผู้คนเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เฉินเฉียงข้ามมาอีกฟากฝั่งเขตแดน เขาพบว่าไม่มีคนเฝ้าประตูอย่างที่เขาคิดแต่อย่างใด
-ช่างน่าแปลกนัก-
ตามความรู้สึกของเขาแล้วเขาเชื่อว่าฮูเตี๋ยนนั้นสมควรจะระวังเขตแดนนี้อย่างที่สุด ไม่น่าจะปล่อยปละละเลยแบบนี้
หรือว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นที่นี่กัน
เมื่อหยานเสวี่ยเหยียบพื้นก้นสมุทรแห่งคาบสมุทรมังกรซ่อน เธอก็ได้หยุดการใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ในทันที
“ข้ากลับมาแล้ว”
เป็นตอนนี้ที่เธอได้ยินเสียงของเฉินเฉียงที่ดังขึ้นในจิตใต้สำนึกของเธอ นี่ทำให้เธอต้องรีบเร่งออกจากก้นสมุทรคาบสมุทรมังกรซ่อนในทันใด
ด้วยการที่หยานเสวี่ยนั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูง เธอย่อมไม่เกรงกลัวเพียงแค่แรงกดอากาศใต้ทะเลลึก ให้บอกตามตรง เธอไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามันมีไอ้แรงกดดันใดๆ
เธอไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติอันใด จนกระทั่งเธอโผล่ออกมาพ้นทะเลแล้วลอยอยู่กลางอากาศแล้วพาเฉินเฉียงออกมาจากโลกใบเล็กของเธอ
เป็นเพียงตอนนี้ที่เธอรับรึถึงสิ่งผิดปกติจนต้องขมวดคิ้ว
“เฉินเฉียงเจ้าว่าโลกของเราเปลี่ยนไปรึเปล่า”
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงเริ่มสังเกตเห็น
หลังจากตั้งในรับรู้ความรู้สึกด้วยตนเอง เฉินเฉียงก็พยักหน้ารับและพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“จริงด้วย พลังวิญญาณลดน้อยถอยลงไปพอสมควร”
“หากพวกเราไม่หาสาเหตุ ข้าเชื่อว่าอีกไม่กี่สิบปี พลังวิญญาณบนโลกของเราจะหมดไป”
“เป็นไปได้ยังไงกัน เฉินเฉียง เจ้าจะกลับไปฮุยตู๋แล้วคุยกับผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้รึเปล่า”
ความจริงเฉินเฉียงที่ย้อนกลับมาในครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะทำอย่างอื่น แต่ในเมื่อพบเจอโลกที่เปลี่ยนไปแบบนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกจะต้องกลับไปยังฮุยตู๋ก่อนเหนือสิ่งอื่นใด
“อื้ม พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
“ไม่ล่ะ ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ” หยานเสวี่ยส่ายหน้าไปมาในทันที “เอาอย่างนี้แล้วกัน อีกสองวัน เจ้าค่อยมารับข้าที่เกาะเทียนเล่ยแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยก็บินจากไปด้วยรอยยิ้มอ่อน
“อะไรล่ะนั่น” เฉินเฉียงที่อดไม่ได้ที่จะสงสัยในรอยยิ้มของหยานเสวี่ยก็ได้สะบัดหัวสลัดความคิดก่อนที่จะใช้ทักษะผ่ามิติไปยังตีนเขาเอเวอเรส
ในระหว่างทาง เฉินเฉียงได้หยุดอยู่ที่เมืองใกล้ๆ และซื้อเหมากำไลสื่อสารไปอย่างมากมาย
ในการพบเจอกับสำนักเต๋าฟ้าวันใหม่ก่อนหน้านี้ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกได้ว่าหากเขาต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในใจผู้คนบนโลกปีศาจ มีเพียงทำให้คนเหล่า านั้นประจักษ์กับตาตัวเองเท่านั้น และตัดสินใจต่อต้านพวกมันด้วยตนเอง
นี่จึงทำให้เขานั้นตัดสินใจกลับมาในครั้งนี้เพื่อที่จะซื้อกำไรสื่อสารไปจำนวนมาก พร้อมกับทำซ้ำภาพฉากเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นที่วิหารศักดิ์ลงไปในกำไรสื่อสารแต่ละวง
พลังของคนคนเดียวนั้นย่อมมีจำกัด
แต่หากทั่วทั้งโลกปีศาจร่วมมือกันเคลื่อนไหวปฏิรูปและต่อต้านวิหารศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะมีคนต้องบาดเจ็บล้มตาย แต่นั่นจะเป็นการทำลายวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน
หลังจากเสร็จสิ้น เฉินเฉียงจึงกลับไปที่ฐานบัญชาการของฮุยตู๋
“ผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่ใด”
เมื่อกลับไปถึง เฉินเฉียงก็พบว่าภายในนั้นราวกับมีบรรยากาศที่เย็นยะเยียบขึ้นมา พร้อมกับพบว่าผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสระดับสองไม่อยู่ที่นี่
“ท่านนายเหนือหัว ในที่สุดท่านก็กลับมา”
“เมื่อสามเดือนก่อนมีผู้บ่มเพาะลึกลับสิบกว่าคนได้ปรากฏตัวขึ้นมาในโลกของพวกเรา”
“ระดับการบ่มเพาะของพวกมันนั้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นสูงหรือไม่ระดับราชาจอมพลขั้นต้น”
“อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่พวกมันมีสิ่งมีชีวิตแปลกๆติดตัวมาด้วย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสัตว์ปีศาจที่ท่านนายเหนือหัวได้กำจัดไปก่อนหน้านี้”
“และพวกมันได้ทำให้เกิดฉากนองเลือดในโลกของพวกเรา พวกมันฆ่าล้างสังหารไปทั่วไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือคนธรรมดา และทุกคนล้วนเหลือเพียงแต่ซากโดยไอ้สิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนั้น ”
“และในตอนนี้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดได้นำกองกำลังทั้งหมดของฮุยตู๋ไปโจมตีหมายจะปิดล้อมและฆ่าล้างพวกมันให้หมดครับ”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็หน้าถอดสีและตื่นตระหนกขึ้นมาเมื่อได้ยิน
เพื่อป้องกันไม่ให้โลกปีศาจได้รุกราน เขาได้นำกองกำลังเทียนเว่ยข้ามผ่านเขตแดนเพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่เขาไม่นึกว่าไอ้พวกนั้นก็คิดทำเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป ผู้บ่มเพาะปริศนานั่นจะต้องเป็นคนของโลกปีศาจเป็นแน่
นี่ทำให้เขานั้นไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไปที่ก้นสมุทรมังกรคลั่งนั้นไม่มีผู้บ่มเพาะของฮุยตู๋คอยเฝ้าระวังไว้ เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นหากไม่พ่ายแพ้จนต้องถอยหนีก็ต้องตกตายตั้งแ แต่พบเจอกับพวกมัน