ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 460 ภัยที่แท้จริง
บทที่ 460 ภัยที่แท้จริง
“ส่งที่อยู่ของผู้อาวุโสสูงสุดมาให้ข้า”
เฉินเฉียงนำกำไลสื่อสารออกมาเพื่อรับพิกัดของฮูเตี๋ยนในทันที
เมื่อได้รับพิกัดที่อยู่ของฮูเตี๋ยนแล้ว เฉินเฉียงก็รีบเร่งออกไปในทันที เขาไปยังด้านเหนือของเขาเอเวอเรสต์ด้วยความเร็วสูงสุดจนกระทั่งไปถึงเขตเป่ยเชิน
เขตเป่ยเชิน เมืองหลูเฟิง
หลังจากเฉินเฉียงออกไปจากโลกใบนี้ ด้วยการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์กลายพันธุ์ และสัตว์ประหลาดต่างก็สร้างสัญญาสงบศึก และนี่จึงทำให้เขตที่เปรียบได้ดั่งรอยต่อแห่งนี้ กลายเป็น นสถานที่ที่สงบสุขที่สุดแห่งหนึ่งของทั้งสามเผ่าพันธุ์
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เมื่อเฉินเฉียงไปถึง เขากับพบว่าแทบจะทั่วทุกหัวระแหงที่เขามองเห็นและรับรู้ได้นั้น ไม่ได้ต่างไปจากนรกบนดิน
แม้จะมีผู้บ่มเพาะระดับราชาขุนพลขั้นสูงบางส่วนที่ยังรอดชีวิต แต่ผู้คนทั่วไปนับหมื่นกลับกลายเป็นเหยื่อของการต่อสู้ในครั้งนี้
ซากศพที่เหือดแห้งจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพบเห็นอยู่ทุกที่ และเขาได้พบเห็นผู้บ่มเพาะระดับนายพลขั้นกลางจำนวนกว่าร้อยได้ล้อมวงกัน โดยภายในนั้นมีนายพลขั้นต้นอีกห้าสิบถึงหกสิบคนท ที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ถูกส่งออกมาโดยศพที่แห้งเหือด
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ศพที่เหือดแห้งเหล่านั้นก็ได้กลับฟื้นคืนขึ้นมา ก่อนที่จะเดินออกไปจากวง แล้วร่วมมือกับสิ่งมีชีวิตประหลาดอีกสิบกว่าตัว ต่อสู้กับนักรบจากทั้งสามเผ่าพัน นธุ์
เมื่อเห็นฉากนี้และตรวจสอบด้วยกระแสจิตของเขาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้เข้าใจ
ไอ้พวกที่อยู่ตรงกลางวงนั้นสมควรจะเป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์
และไอ้ที่พวกหุ่นเชิดซากศพและหุ่นเชิดโลหิตรายล้อมอยู่นั้น มันสมควรจะเป็นกระบวนการสร้างหุ่นเชิดซากศพ
พวกมันกำลังสร้างกำลังเสริมในสงครามครั้งนี้
ด้วยวิธีการนี้ ยิ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์สัตว์ประหลาดล้มตายไปมากเท่าไหร่ พวกมันจะยิ่งมีหุ่นเชิดซากศพมากขึ้นไปอีก
และหากเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเขาจะฆ่าผู้รุกรานให้หมดสิ้นได้ยังไง
“ท่านนายเหนือหัว”
“ท่านนายเหนือหัวกลับมาแล้ว”
คนของฮูยตู๋ที่กำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นเฉินเฉียงปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า เขาก็รีบตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
ไม่นาน ฮูเตี๋ยนก็ได้ปรากฏตัวข้างกายของเฉินเฉียง
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าการต่อสู้นี้มันเกิดขึ้นมานานขนาดไหนแล้ว เพียงแค่เห็นท่าทางที่เหนื่อยล้าของฮูเตี๋ยน พร้อมทั้งรอยยับย่นที่ฝังลึกกว่าแต่ก่อน มันก็เพียงพอที่เขาจะตระหนักไ ได้ว่านานมากจริงๆ
“ท่านนายเหนือหัว ในที่สุดท่านก็กลับมา”
เสียงที่แหบพร่าพร้อมใบหน้าที่ราวกับกำลังรู้สึกสำนึกผิดเกิดขึ้นในระหว่างที่เขาเอ่ยคำพูดและเหลือบมองไปที่เมืองหลูเฟิงที่แปรเปลี่ยนเป็นเมืองแห่งความตายไปแล้ว ก่อนที่เขาจะพูด ดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาซึ่งความขุ่นเคืองใจในความไร้สามารถของตน “ข้าผู้นี้สงสัยจริงๆว่าไอ้พวกบ้านี้มันมาจากที่ไหนกัน”
“กว่าสองเดือนแล้วที่คนของโลกเรานั้นตกตายไปเพราะพวกมัน”
“กว่าพวกเราจะรู้ตัว ผู้คนมากมายก็ตกตายไปหมดแล้ว แถมพวกมันยังใช้คนที่พวกมันฆ่าตายไปให้มาเข่นฆ่าพวกเราทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่ออีก”
“พวกมันช่างโหดเหี้ยมนัก”
เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนจะพูดออกมา “เดี๋ยวพวกเราค่อยมาพูดคุยเรื่องนี้ทีหลัง”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านต้องสั่งห้ามไม่ให้พวกเราถูกสัตว์ปีศาจพวกนั้นแตะต้องพวกเราได้”
“หากมีผู้ใดที่ถูกแตะต้อง คนผู้นั้นต้องรีบแยกตัวออกไปในทันที”
“แล้วก็รีบจัดให้ผู้บ่มเพาะที่มีสายเลือดอัคคีและอัสนีให้เป็นแนวหน้าในการจัดการสัตว์ปีศาจพวกนี้”
“พลังสายฟ้าและพลังไฟเป็นศัตรูทางธรรมชาติที่พวกมันไม่อาจต้านทาน ส่วนคนที่ตกตายไปแล้วและลุกขึ้นมาอีก ท่านบอกไปว่าไม่ต้องกังวลกับคนเหล่านี้ เพราะพวกมันมีเพียงความแข็งแกร่ง งเทียบเท่ากับตอนที่ตายไปเท่านั้น ไม่ได้มีผลให้โดนติดเชื้อแต่อย่างใดเมื่อสัมผัสกับร่างเหล่านั้น”
“ตราบใดที่พวกเราฆ่าสัตว์ปีศาจที่กำลังวิ่งพล่านอยู่นี่ได้ ไอ้พวกที่อยู่เทียบเท่าระดับราชาจอมพลพวกนั้นก็ไม่ต่างจากเสือที่ถูกถอดเล็บถอดเขี้ยวไปแล้ว พวกเราจะทำอะไรกับมันก็ไ ได้ทั้งนั้น”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้พุ่งตรงไปยังจุดที่กำลังมีหุ่นเชิดโลหิตอยู่ ก่อนที่จะสร้างกำแพงไฟขึ้นมาลุมร้อมสัตว์ปีศาจสองตัวไว้ตรงกลาง
นี่จึงทำให้ราชาจอมพลที่มีสายเลือดอัคคีรีบทำตาม และทำให้พวกเขานั้นสามารถควบคุมการคุกคามจากหุ่นเชิดโลหิตส่วนใหญ่ไว้ได้
แต่นี่ไม่อาจหยุดยั้งยั้งให้พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีฝูงชนคนอื่น
โดยธรรมชาติของสัตว์ปีศาจนั้นพวกมันไม่เคยเกรงกลัวอันตรายใดๆ ตราบใดที่พวกมันได้กลิ่นเลือดและอาหารของพวกมัน ต่อให้พวกมันรู้ว่าตนเองต้องตายก็ยังเลือกที่จะพุ่งเข้าใส่อยู่ดี
ถึงแม้สัตว์ปีศาจเหล่านี้จะถูกทำให้เป็นหุ่นเชิดโลหิตที่มีเจ้านายของพวกมันไปแล้วก็ตาม แต่เฉินเฉียงที่เคยพบเจอพวกมันมาอย่างมากมาย ก็ได้รู้ดีว่ายามที่พวกมันก้าวเข้าสู่ระดับ บราชาขึ้นไป มันจะมีสติปัญญาพอที่จะคิดหนีจากภัยอันตราย
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาไปสี่ครั้งสี่คราต่อเนื่อง ทะลวงผ่านหุ่นเชิดโลหิตไปจนหมดสิ้น
“อย่าแตะต้องพวกมัน”
เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังพุ่งเข้าใส่ซากร่างของหุ่นเชิดโลหิต เฉินเฉียงรีบตะโกนออกมา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉินเฉียงจะเร็วขนาดไหน แต่เขาก็ไม่อาจจะห้ามปรามผู้ที่อยู่ในระดับนี้ได้ทัน และนี่ทำให้ราชาจอมพลสองคนถูกบอลเลือดปีศาจกลืนกินในทันทีไปสัมผัสร่างของพวก มัน
เพียงเมื่อได้เห็นตัวอย่างกับตาตัวเองว่ามีใครบางคนที่ฝืนคำเตือนแล้วตกตายไปตรงหน้าอย่างไร้ค่า คนอื่นๆก็รีบถอยกรูดออกไปไกล
ก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีผู้บ่มเพาะจำนวนมากมายตกตายไปนับไม่ถ้วนเพราะสิ่งมีชีวิตประหลาดที่พวกเขาไม่รู้จัก ด้วยจิตใจที่คลุ้มคลั่งและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวนี้อัดอั้นอย ยู่ในใจอย่างที่สุด เมื่อมีโอกาสเอาคืนพวกเขาก็คิดจะเข้าไปซ้ำศพเหล่านี้เพียงเพื่อระบายแค้นเพียงเท่านั้น
“ผู้ที่มีสายเลือดอัคคีจงฟัง เผาทำลายซากศพที่พื้นดินไม่ว่าจะเป็นใคร เผ่าพันธุ์ใด หรือแม้แต่จะเป็นคนรู้จักหรือไม่ก็จงอย่าให้เหลือซาก ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อไป ปอย่างไม่รู้จบ”
เพียงสิ้นเสียงคำพูดของเฉินเฉียง ดวงตาของเหล่าผู้บ่มเพาะระดับราชาเหนือราชาทั้งหลายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
หากไม่มีหุ่นเชิดโลหิต ต่อให้พวกเขาสร้างหุ่นเชิดซากศพขึ้นมามากมายขนาดไหน พวกเขาก็ไม่อาจจะหลีกหนีความตายไปได้เป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ต่อให้พวกเขาจะตกตาย ราชาเหนือราชาเหล่านี้ก็หมายจะลากเฉินเฉียงให้ตกตายไปด้วยกัน
นั่นก็เพราะหากเฉินเฉียงไม่ปรากฏ สงครามที่พวกเขาได้ก่อไว้ก็คงไม่จบสิ้นอย่างนี้เป็นแน่
“ไอ้หนู แกเป็นใคร”
เหล่าราชาเหนือราชาทั้งหลาย ต่างก็จ้องมองเฉินเฉียงด้วยสายที่โกรธเกรี้ยวที่เกลียดชัง
มีหรือที่เฉินเฉียงจะมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับคนเหล่านี้
เมื่อเห็นว่าเหล่าพวกปีศาจอมนุษย์จากโลกปีศาจมองเขาด้วยความแค้นเคืองดุร้ายหมายเอาชีวิต เฉินเฉียงก็ได้ชูมือขึ้นมาและตะโกนออกไปอย่างดังลั่น “นักรบทั้งสามเผ่าพันธุ์จงฟัง ไอ้พวกเ เวรตะไลเหล่านี้คือผู้รุกรานที่มาจากโลกปีศาจ”
“ในเมื่อพวกมันมาเยือนถึงบ้านของพวกเราและฆ่าคนของพวกเราดั่งเป็นผักปลา พวกเจ้าก็จงข้าพวกมันดั่งสัตว์เดรัจฉานอย่าได้ออมมือ”
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
ผู้บ่มเพาะจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดรวมถึงฮุยตู๋นั้นต่างก็รับรู้ว่าเฉินเฉียงไปต่างเขตแดนมานานแล้ว แต่ในตอนที่พวกเขาได้รับรู้ที่มาของคนเหล่านี้จา ากปากคำของเฉินเฉียง พวกเขานั้นก็ยังไม่ได้มีท่าทีไม่เชื่อแต่อย่างใด
“ไอ้หนู แกเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้ว่าพวกเรามาจากโลกปีศาจวะ”
เมื่อเห็นว่าคนจากโลกปีศาจเหล่านี้ไม่มีทางต่อสู้แล้ว คนของทั้งสามเผ่าพันธุ์และฮุยตู๋ก็รายล้อมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน หมายจะให้คนเหล่านี้ตกตายอยู่ที่นี่อย่างไม่ได้หวนคืนไปท ที่โลกที่คนเหล่านี้จากมา
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้พุ่งเข้าไปตรงหน้าราชาเหนือราชาขั้นต้นคนหนึ่ง ก่อนที่จะตวัดดาบดั้นเมฆตัดช่วงล่างของราชาเหนือราชาผู้นี้ออกไม่ให้หนีไปได้
“พูดมา ฮั่นจุยมันอยู่ใน อยู่ในวิหารศักดิสิทธิ์รึเปล่า”
ถึงแม้ราชาเหนือราชาขั้นต้นผู้นี้จะเกือบตกตาย แต่เฉินเฉียงก็ยังถามออกไปอย่างดุดัน พร้อมปลายดาบที่จ่อไว้ที่คอของราชาเหนือผู้นี้
“ฮั่นจุยเรอะ ใครวะ” ราชาเหนือราชาขั้นต้นผู้นี้ได้กลั้นใจเฮือกสุดท้ายแล้วถามตอกกลับไป ก่อนจะหัวเราะอย่างเสียสติ “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกข้ามันเป็นเพียงกองหน้าเบิกทางของวิหารศักดิ์สิทธิ เท่านั้นล่ะเว้ย และพวกข้าจะไม่ได้มาเพียงเท่านี้”
“พวกแกรอก่อนเถอะ วันหนึ่ง โลกของพวกแกจะเป็นบันไดให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้เหยียบย่ำ”
“ฝันไปเถอะ” เฉินเฉียงได้บรรจงกดปลายดาบลงไปที่คอของราชาเหนือราชาจนขาดออก ก่อนจะพูดออกมา
“ฆ่า ฆ่าล้างพวกมัน เข่นฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือซาก”
เฉินเฉียงคำรามลั่นก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปอีกวงการต่อสู้หนึ่ง หลังจากเขาได้ร่วมมือกับนักรบที่ทรงพลังคนอื่น พวกเขาก็กำจัดผู้รุกรานจากโลกปีศาจจนสิ้นซาก
เมื่อไม่มีหุ่นเชิดโลหิต เหล่าผู้คนที่หยิ่งยโสของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดที่จะต่อสู้อีก และเพียงชั่วอึดใจ ร่างของราชาเหล่านี้ก็ถูกสับละเอียดยิบจนไม่อาจรับรู้ว่า าเคยเป็นผู้คนมาก่อน