ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 461 หายไปหนึ่ง
บทที่ 461 หายไปหนึ่ง
เมื่อเรื่องได้จบลง ทั้งซากร่างของเหล่าผู้รุกรานและสัตว์ปีศาจที่เป็นหุ่นเชิดโลหิตต่างก็ไม่เหลือซากให้จดจำ
บนท้องฟ้าในตอนนี้ เฉินเฉียงและฮูเตี๋ยนต่างจับจ้องไปที่เมืองหลูเฟิงและพื้นที่โดยรอบนับสิบไมล์ ที่ในตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงด้วยสายตาที่เลื่อนลอย
ถึงแม้ผู้รุกรานจากโลกปีศาจจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น แต่เชื้อร้ายที่คนเหล่านี้นำมาปล่อยในโลกมนุษย์ก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งใดที่จะรับประกันได้ว่าพวกมันจะไม่หลงเหลือเล็ดลอดอยู่ ถึงแม้พวก กเขาจะรู้สึกปวดใจที่ต้องทำ แต่การเผาเมืองที่เคยรุ่งเรืองนี้ไปนั้นย่อมดีกว่าการที่ปล่อยให้เชื้อร้ายคงอยู่และแพร่กระจายออกไป
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ไม่ใช่ว่าข้าให้ท่านส่งคนไปเฝ้าจับตาอยู่ที่ก้นสมุทรทะเลคลั่งไม่ใช่รึ”
ฮูเตี๋ยนรีบตอบกลับออกมา “เรียนท่านนายเหนือหัว หลังจากที่ท่านจากไป ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ก็รีบส่งมนุษย์กลายพันธุ์ระดับราชาเหนือมนุษย์ไปประจำที่นั่นแล้วจริงๆ”
“แต่ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าพวกมันจะรุกรานมาอย่างรวดเร็วในช่วงสองเดือนก่อน ตอนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ได้ส่งคนไปผลัดเปลี่ยน ก็พบว่าราชาเหนือมนุษย์ที่ส่งไปก่อนหน้าก็หายไปอย่ างไร้ร่องรอยแล้ว”
“เฮ้อ เพียงแค่ช่วงสองเดือน เผ่าพันธุ์ทั้งสามสูญเสียผู้คนไปนับหมื่นเลยทีเดียว”
ฮูเตี๋ยนได้ถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างยาวยืด พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะบรรยาย
หลังจากนั้นฮูเตี๋ยนก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้พบผู้รุกรานทั้งหมดให้เฉินเฉียงได้รับฟัง
กลายเป็นว่าหลังจากที่เฉินเฉียงจากไปอีกครั้งนั้น ความขัดแย้งระหว่างสามเผ่าพันธุ์ไม่ได้หยุดสนิทตามอย่างที่เฉินเฉียงได้คิดไว้ และนี่ทำให้การเตรียมตัวรับมือจากภัยอันตรายต่างจาก เขตแดนย่อหย่อนลงไปทุกชั่วขณะ
และเมื่อผู้รุกรานจากโลกปีศาจได้ลงมือ ทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็ไม่อาจตั้งตัวได้ทัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยการที่ผู้รุกรานกลุ่มนี้ยังก่อการอย่างไม่หยุดพัก นี่จึงทำให้พวกมันมีกำลังพลมากขึ้นเรื่อยๆ จากอาณานิคมย่อยๆ ไล่ไปเป็นอาณานิคมใหญ่ และสุดท้ายก็เริ่มโจมตี เมืองต่างๆของทั้งสามเผ่าพันธุ์ในช่วงเวลาอันสั้น
กว่าผู้อาวุโสของสามเผ่าพันธุ์และฮุยตู๋จะเริ่มลงมือก็เป็นตอนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สูญเสียเมืองไปกว่าหกเมือง โดยไม่มีผู้ใดเหลือรอดเลยสักคนเดียว
ส่วนผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่เฉินเฉียงเคยสอนฮูเตี๋ยนเอาไว้ นี่ทำให้ถึงแม้พวกเขาจะไม่อาจกำจัดผู้รุกราน แ แต่ก็ทำให้หลบหนีออกมาได้อย่างทันท่วงที
ด้วยการที่เกินความเสียหายอย่างใหญ่หลวงด้วยเวลาอันสั้น นี่จึงทำให้เหล่าผู้อาวุโสจากทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นเกิดการกระทบกระทั่งกันอีกครั้ง นี่จึงทำให้เหลือเพียงคนของฮุยตู๋ และอ อาสาสมัครบางส่วนจากเหล่าผู้อาวุโสจากสามเผ่าพันธุ์มาก่อการหมายจะขับไล่ผู้รุกรานในครั้งนี้
จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ในช่วงสองเดือน ฮุยตู๋ก็ได้เสียไพร่พลไปเกือบเจ็ดร้อยคน
ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะในระดับราชาจอมพลเป็นอย่างน้อย
และผู้ที่เหลือรอดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ส่วนเผ่าพันธุ์สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ ล้วนพลาดพลั้งและตกตายในมือผู้รุกราน
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้
หลังจากที่ผู้ที่พลาดพลั้งตกเป็นเหยื่อของหุ่นเชิดโลหิต เหล่าพี่น้องและพองเพื่อนผู้ซึ่งตกตายไปตรงหน้า เพียงไม่นานก็กลับกลายเป็นหุ่นเชิดซากศพหวนกลับมาโจมตีพวกเขา
ฉากที่วนเวียนซ้ำไปนี้เองทำให้พวกเขานั้นต้องต่อสู้กับผู้รุกรานจากโลกปีศาจและเข่นฆ่าพวกพ้องพี่น้องของตนเองกับมือ
การศึกในครั้งนี้เรียกได้ว่าคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่ถึงร้อยคนดีนั้น ได้สร้างความเสียหายโลกมนุษย์อย่างไม่อาจประเมินได้
และคนเหล่านี้สมควรจะได้รับการชี้นำจากฮั่นจุย
หากวิหารศักดิ์สิทธิ์คิดลงมืออีกครั้ง คนที่เหลือจะยังต้านทานไหวอีกรึเปล่าก็ไม่รู้
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด พวกเรากลับกันเถอะ”
เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะนำพากองกำลังกลับไปยังเขาเอเวอเรสต์
ในฐานบัญชาการของฮุยตู๋
ตลอดมานี้ ฮุยตู๋ได้ใช้วิธีการคัดเลือกผู้คนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์เพื่อมาเป็นกองกำลังสำหรับรักษาสมดุลของโลกใบนี้ และพวกเขาไม่เคยสูญเสียมากมายขนาดนี้มาก่อน
แต่ในครั้งนี้ เพียงการลงมือของผู้รุกรานกลุ่มเล็กๆจากโลกปีศาจ มันกลับทำให้โลกนี้สูญเสียอย่างยับเยิน
ในขณะเดียวกัน ความน่าเชื่อถือที่มีต่อทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นก็ลดต่ำลงอย่างที่สุด
แต่เฉินเฉียงนั้นไม่เข้าใจจริงๆว่าหากผู้รุกรานเหล่านี้ถูกชักจูงโดยฮั่นจุยจริงล่ะก็ ทำไมถึงได้ส่งมาเพียงแค่กองกำลังเล็กๆ
มีปัญหาระหว่างการรวบรวมกองกำลังรึ
หรือว่ามันผู้นั้นมีแผนอื่นกันแน่
หากว่ามีปัญหาในการรวบรวมคนจริง นี่จะแสดงให้เห็นว่ายามใดที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจที่จะส่งคนมารุกรานยังโลกมนุษย์จริงๆล่ะก็ พวกมันสมควรจะส่งคนมาเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
แล้วถ้าฮั่นจุยนั้นมีแผนการอย่างอื่นล่ะ
แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไหนก็ตาม เขามั่นใจว่าในตอนนี้ฮั่นจุยได้เข้าไปอยู่ในเขาโรคาเรียบร้อยแล้ว
และนี่แสดงให้เห็นว่าไอ้ตัวเลวชาติผู้นี้ได้บ้าคลั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นั่นก็เพราะโลกมนุษย์แห่งนี้ยังไงก็เป็นบ้านเกิดของฮั่นจุย แต่ไอ้การที่ไปปลุกปั่นคนจากโลกปีศาจให้มารุกรานโลกใบนี้ นี่แสดงให้เห็นว่ามันผู้นั้นต้องการที่จะเห็นโลกใบนี้ ให้กลายเป็นนรกบนดิน
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม สิ่งที่สร้างปัญหากับโลกมนุษย์ในตอนนี้ก็ยังคงเป็นสัตว์ปีศาจที่อยู่ในหุบเขาเสียงกระซิบอยู่ดี
นี่คือการพบเจอกับปัญหาในระดับโลกเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฉินเฉียงอยู่ในโลกปีศาจมาได้หนึ่งปี เขารับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าไอ้คนที่คิดหมายจะรุกรานโลกใบนี้นั้น มีเพียงไอ้พวกวังปีศาจ(วิหารศักดิ์สิทธิ์)นั่นเพีย ยงเท่านั้น
กับคนอื่นบนโลกปีศาจแล้วนั้น พวกเขาเพียงแค่ทำตามคำพูดของสิ่งที่ตัวเองศรัทธา ต่อให้ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะลงมือรุกรานจริง คนบนโลกปีศาจก็หาได้สนับสนุนวิหารศักดิ์สิท ทธิ์ไม่
ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่คิดกลับมาที่โลกนี้เพื่อหาวิธีไปคลี่คลายสถานการณ์ที่โลกปีศาจอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยการสนับสนุนจากฮูเตี๋ยน ตราบใดที่ยังคงเฝ้าระวังที่ประตูทางเชื่อมเขตแดนที่อยู่ใต้ก้นสมุทรคาบสมุทรมังกรซ่อนอยู่ล่ะก็ ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์จะไม่อาจลงมือ รุกรานได้ง่ายๆอีกต่อไป
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด การรุกรานจากโลกปีศาจในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเรานั้นยังอ่อนด้อยนัก”
“หากว่ามีการรุกรานจากโลกปีศาจอีกในอนาคต ท่านต้องจดจำสิ่งเหล่านี้แล้วนำไปใช้ให้ดี”
“ไอ้พวกที่กล้าเข้ามารุกรานพวกเรานั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต”
“และเหตุผลที่พวกมันดูทรงพลังมากนักก็เป็นเพราะพวกมันได้ฝังเซลล์ของสัตว์ปีศาจเอาไว้ในร่าง และเมื่อพวกมันถูกฝังตัวไปในร่างของผู้บ่มเพาะเหล่านี้แล้ว พวกมันจะถูกเรียกว่ าหุ่นเชิดโลหิต ส่วนหุ่นเชิดซากศพเองก็เป็นสิ่งที่พวกมันสร้างขึ้นมาอีกทีหนึ่ง”
“โดยในทั้งสามประเภทนี้ หุ่นเชิดโลหิตจะทรงพลังมากที่สุดเพราะไม่ว่าจะส่วนใดของมัน หรือแม้แต่ซากร่างของพวกมัน ล้วนแล้วแต่สามารถแพร่บอลเลือดปีศาจที่อยู่ในร่างของมันได้ในทันท ทีให้มีใครไปสัมผัส”
“ตอนที่ข้าพลาดพลั้งไปสัมผัสร่างของพวกมันในตอนแรกนั้น ข้าเองก็เกือบที่จะแห้งตายไปแล้วเหมือนกัน และหากไม่ได้สายเลือดของข้า ข้าก็คงไม่อาจรอดพ้นมาได้”
“ส่วนหุ่นเชิดซากศพนั้น…”
เมื่อเฉินเฉียงพูดมาถึงจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอดถอนลมหายใจออกมา หากว่ากันตามตรงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดโลหิตหรือผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตล้วนแล้วแต่ต้องถูกกำจั ดสิ้นไม่ให้เหลือซาก
มีเพียงหุ่นเชิดซากศพเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนนั้นหนักใจจนยากจะลงมือ
ยังไงก็ตาม หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์โหดร้ายมาด้วยตัวเองแล้ว เขาเชื่อว่าต่อให้ทุกคนนั้นยากจะลงมือ แต่ยังไงซะก็ต้องลงมือจัดการให้ได้ในที่สุด
“หุ่นเชิดซากศพนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยวิธีการพิเศษของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต หุ่นเชิดซากศพเหล่านี้จะมีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่ากับร่างร่างนั้นในตอนที่เคยมีชีวิตอยู่ พวกมันนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้เหล่าผู้คนที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับร่างร่างนั้นในยามที่มีชีวิตยากที่จะลงมือ”
“เท่าที่ข้ารู้มา นอกจากระดับการบ่มเพาะที่ทรงพลังเทียบเท่ากับตอนก่อนตายแล้ว อย่างอื่นนั้นล้วนแล้วแต่ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล”
“แต่กระนั้นหุ่นเชิดซากศพยังมีจุดอ่อนที่สำคัญอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือพวกมันจะจดจำได้เพียงใบหน้าของผู้เป็นนายของพวกมันเพียงเท่านั้น หากว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์คนใดที่พลังเหน นือมนุษย์เปลี่ยนรูปลักษณ์ เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นผู้เป็นนายของมันก็สั่งการหุ่นเชิดซากศพได้แล้ว”
“อ้อแล้วก็หากท่านได้พบเจอกับหุ่นเชิดซากศพที่ทรงพลังเช่นท่าน ท่านผู้อาวุโสสูงสุดสมควรจะรีบยัดพวกมันลงไปไว้ในโลกใบเล็กของท่านในทันทีที่ได้พบเจอ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เปิดโลกใบเล็กของตนก่อนที่จะนำสมุนไพรหมุนเวียนเลือดออกมาแล้วมอบให้ฮูเตี๋ยน
“นี่คือสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเจ็ดร้อยสี่สิบสองต้น ท่าน.….ฮื้ม”
ในตอนที่เฉินเฉียงนำสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตออกมานี้และก่อนที่เขาจะได้พูดจบลง เขาก็รับรู้ได้ว่ามีต้นหนึ่งที่ขาดหายไป นี่ทำให้ในมือของเขานั้นมีสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเพียงเ เจ็ดร้อยสี่สิบเอ็ดต้นเสียอย่างนั้น