ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 462 พบปะ
บทที่ 462 พบปะ
“ท่านนายเหนือหัว ท่านเป็นอะไรงั้นรึ”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงแสดงออกมาด้วยท่าทางที่แปลกตา ฮูเตี๋ยนก็รีบถามออกมา
“อ่า….ไม่มีอะไร” เฉินเฉียงปล่อยความคิดที่ล่วงเลยไปไกลของเขาทิ้งไปเสียอย่างนั้น ก่อนจะได้พูดต่อ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด นี่คือสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตจำนวนเจ็ดร้อยสี่สิบเอ็ดต้น ”
“ท่านมอบมันให้กับคนที่มีระดับการบ่มเพาะที่เหมาะสม รวมถึงแบ่งไปให้กับผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์”
“สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเหล่านี้เพียงกินมันเข้าไปตรงๆแค่หนึ่งต้น ก็จะทำให้เวลาสู้กับไอ้พวกผู้บ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตเหล่านั้นก็จะไม่ต้องกลัวที่จะถูกบอลเลือดปีศาจของหุ่นเชิดโล ลหิตของพวกมันอีกต่อไป”
“โอ้….” ฮูเตี๋ยนอุทานออกมาอย่างดังลั่นพร้อมดวงตาที่ราวกับจะฉายแสดงได้ “นี่มันเยี่ยมไปเลย”
“การรุกรานของไอ้พวกต่างเขตแดนในครั้งนี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของฮุยตู๋ที่มีต่อทั้งสามเผ่าพันธุ์ลดลงไปอย่างมาก”
“แต่มาในตอนนี้ท่านนายเหนือหัวกลับสามารถนำสมุนไพรที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการทำสงครามครั้งต่อไปได้ มันย่อมเพียงพอที่จะทำให้ความน่าเชื่อถือของพวกเราที่มีต่อทั้งสามเผ่าพันธุ์กลับค คืนมาเป็นแน่”
“ข้าสงสัยนักว่าท่านไปได้สมุนไพรพวกนี้มาจากที่ไหนกัน หากเป็นไปได้ท่านนายเหนือหัวพอจะหาเพิ่มได้อีกสักหน่อยหรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้เวลาที่พวกเราพบเจอไอ้พวกต่างเขตแดนครั งต่อไปจะได้ไม่ต้องกลัวพวกมัน”
เฉินเฉียงส่ายหน้าในทันที “สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเหล่านี้เติบโตบนโลกปีศาจในพื้นที่หวงห้ามของไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่น แถมยังคุ้มกันอย่างเข้มงวดอย่างที่สุดเสียอีก”
“ในตอนนี้ตัวของข้าเองก็กำลังวางแผนและก่อการบางอย่างในโลกปีศาจแล้วเหมือนกัน ข้าวางแผนว่าจะสร้างความปั่นป่วนที่โลกนั้น ไอ้พวกนี้จะได้ไม่มีเวลามารุกรานพวกเราในเวลาอันสั้น ”
ยิ่งฮูเตี๋ยนได้ยิ่งคำบอกเล่าของเฉินเฉียงมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแสดงออกมาอย่างตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น และนี่ทำให้ฮูเตี๋ยนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ท่านนายเหนือหัว ทำไมท่านไ ไม่นำคนของเราไปที่นั่นด้วยล่ะ”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาน่ะ” เฉินเฉียงยกมือขึ้นมาห้ามปรามความคิดนี้ในทันที “หากว่าท่านมีอะไรที่ต้องการ ข้าสามารถกลับมาหรือส่งคนกลับมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ”
“อย่างไรก็ตาม ท่านเองก็อย่าพึ่งวางใจไปโดยเฉพาะกับเรื่องประตูทางข้ามเขตแดนที่อยู่ที่ก้นสมุทรคาบสมุทรมังกรซ่อน อย่างน้อยๆท่านต้องวางคนคอยเฝ้าดูไว้สองคน”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านผู้อาวุโสสูงสุดก็มองหาใครที่ต้องการรับหน้าที่นี้แล้วมอบสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตนี้ไปให้ นี่จะทำให้เวลาพวกเขาพบเจอกับไอ้พวกผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเช ชิดโลหิตจะได้ไม่ต้องหลบซ่อนหรือแหนงหนี”
“ข้าเองก็สังเกตพวกมันอยู่นานแล้วก็พบว่า หากไปพวกนี้ไม่มีหุ่นเชิดโลหิต พลังการต่อสู้ของพวกมันจะลดลงไปเหลือเพียงหนึ่งในสามส่วนเป็นอย่างมาก”
ด้วยการที่ในตอนนี้เฉินเฉียงมีใจที่กังวล หลังจากเขาให้คำแนะนำส่วนที่สำคัญไปจนหมดสิ้น เขาก็รีบจากมาในทันที
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสังเกตเห็นว่าสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตหายไปหนึ่งต้น เขาเชื่อว่าหยานเสวี่ยนำติดมือไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาลองดูพิกัดที่หยานเสวี่ยกำลังไปในตอนนี้ เขาก็ยิ้มกริ่มออกมา ก่อนที่จะกลับไปยังเกาะเทียนเล่ยไปอย่างวางใจเสียอย่างนั้น
ที่เขาโชวหยาง
ตอนที่เฉินเฉียงกำลังต่อสู้ร่วมกับคนของฮุยตู๋ในการกำจัดคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น หยานเสวี่ยก็ตรงไปยังสภาสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์
การรุกรานจากโลกปีศาจในครั้งนี้ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพบเจอความเสียหายอย่างหนักหน่วง
ราชาจอมพลของเผ่าพันธุ์ต้องตกตายไปนับร้อยคน
และด้วยความเสียหายที่ใหญ่หลวงระดับนี้เองจึงทำให้ผู้อาวุโสของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นสิ้นหวังในฮุยตู๋ และนี่ทำให้พวกเขานั้นเรียกคนของตนกลับมา เหลือไว้ก็เพียงอาสาสมัครที่ยังค คงศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวฮุยตู๋เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในการตามล่าฆ่าล้างบางผู้รุกรานเหล่านี้
เป็นเมื่อหยานเสวี่ยได้มาถึงที่เขาโชวหยาง หลิวฉิงที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็รีบเรียกเว่ยฉิงเชินออกมาด้วยท่าทางที่ยากจะเอ่ย
“พี่สาวหยานเสวี่ย ทำไมท่านถึงมาที่นี่กัน”
เมื่อเห็นหยานเสวี่ยปรากฏตัวตรงหน้า ถึงแม้เว่ยฉิงเฉินจะประหลาดใจแต่นางก็รู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย
นั่นก็เพราะเธอเห็นหยานเสวี่ยมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งและดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าตอนที่ได้พบเจอในครั้งก่อน
ด้วยการที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน เธอย่อมรับรู้ว่านี่คือสภาพของคนที่มีคู่ครองคล้องใจ
หากไม่มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในตอนนั้น ตรงที่ที่หยานเสวี่ยได้อยู่ในตอนนี้ก็คงต้องเป็นของเธอไปแล้ว..กระมัง
“น้องฉิงเชิน เจ้าพอจะไปเดินเล่นกับข้าได้รึเปล่า”
เว่ยฉิงเชินพยักหน้ารับในทันที ก่อนจะพาหยานเสวี่ยเดินไปทางภูเขา
ที่พื้นที่หนึ่งใจกลางภูเขา อากาศบริเวณนี้บริสุทธิ์และปลอดโปร่ง
สองสาวงามได้นั่งประจันหน้ากัน ต่างคนต่างนิ่งคิดโดยไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเลยสักคำอยู่นาน
เว่ยฉิงเชินในตอนนี้นั่งก้มหน้าเล็กน้อย พลางเหลือบมองหยานเสวี่ยที่ยังคงนั่งนิ่งสง่าประดุจดั่งผู้มีชัย ในระหว่างนี้เว่ยฉิงเชินเองก็นั่งอยู่ไม่สุข พลางเตะก้อนหินเล็กไปมาประหนึ งดั่งกำลังรวบรวมความกล้า จนในที่สุดก็ถามออกไปด้วยเสียงเบาๆ “พี่หยานเสวี่ย….พี่…..แต่งงานแล้วรึ”
“ใช่”
หยานเสวี่ยตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน เธอไม่สังเกตเลยว่าในตอนนี้ดวงตาของเว่ยฉิงเชินแสดงออกมาก่อนจะพูดต่อ “ก็ถ้าให้พูดกันตรงๆก็คือพวกเราอยู่กินกันก่อนแต่งน่ะ”
ฉิงเชินในตอนนี้รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะหันไปในอีกทางด้วยท่าทางที่แสดงออกมาว่าราวกับจะยังไม่ยอมรับเรื่องของหยานเสวี่ย
หากไม่ใช่เพราะความแค้นของคนรุ่นก่อน เธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ติดตามเฉินเฉียงไปยังโลกปีศาจ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ผ่านไปแล้วหาเปลี่ยนแปลงได้ไม่
และมาในตอนนี้ เมื่อเธอได้เห็นหยานเสวี่ยที่มาปรากฏตรงหน้าด้วยใบหน้าของผู้มีชัย ในขณะที่เธอทำได้เพียงเป็นผู้ที่ต้องหลบซ่อน นี่จึงทำให้เธอนั้นอดที่จะอิจฉาริษยาเสียมิได้ แ แต่ไม่งั้นแล้วเธอจะทำอะไรได้อีกกัน
“น้องฉิงเชิน……” ในขณะที่หยานเสวี่ยที่ดูราวกับมีความสุขอย่างสุดหัวใจอยู่นี้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปวดร้าวหัวใจของเว่ยฉิงเชิน เธอจึงคิดจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
เมื่อเว่ยฉิงเชินเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก เธอก็ได้เห็นต้นหญ้าต้นหนึ่งมีสี่ใบอยู่ในมือหยางเสวี่ย
ต้นหญ้านี้ดูไปแล้วมีความพิเศษอย่างมาก ผิวของมันใสกระจ่างจนเห็นเส้นใบเลี้ยงข้างใน
“พี่สาวหยานเสวี่ย นี่คืออะไรกัน คงไม่ใช่ว่ามันเป็นพืชบนต่างเขตแดนนั่นหรอกนะ”
“ถูกต้อง น้องฉิงเชิน” หยานเสวี่ยพูดออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะที่จะสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตนี้วางไว้บนมือของตนแล้วพูดออกมา “ย้อนกลับไป เฉินเฉียงนั้นเกือบจะสละชีวิตของตนเองเ เพื่อให้ได้เจ้าหญ้าต้นน้อยนี้มาสักต้นหนึ่ง”
“เอ๋ นี่มันหญ้าอะไรกัน ทำไมพี่เฉินเฉียงถึงต้องยอมเสี่ยงเพื่อมันขนาดนี้ด้วย”
เว่ยฉิงเฉินมองไปที่สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตที่อยู่ในมือของหยานเสวี่ย และในตอนที่ถามนี้เอง เธอก็ทำตาแป๋ว ก่อนที่จะถามออกมาต่อด้วยดวงตาที่กลมโตสวยงาม “พี่สาวหยานเสวี่ย พี่ใ ใหญ่เฉินเฉียงมอบหญ้านี้กับท่านเหรอ”
“ใช่” หยานเสวี่ยยิ้มหวานอีกครั้ง ท่าทางของเธอในตอนนี้มันหยาดเยิ้มพอที่จะหลอมละลายภูเขาได้ไปครึ่งลูก แต่ท่าทางหวานเยิ้มนี้เองก็ไม่อาจจะทำอะไรหัวใจของเว่ยฉิงเชินได้เพียงส สักกระผีกนิ้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของหยานเสวี่ย จิตใจของเว่ยฉิงเชินเองก็ราวจะอยู่ไม่สุขอีกครั้ง หลังนิ่งเงียบไปนาน เธอก็พูดคำหนึ่งที่ค้างคาที่ปากออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียงช่างดีกับท่านนัก ”
ถึงแม้เธอจะจบความสัมพันธ์กับเฉินเฉียงไปแล้ว แต่เธอเองก็ยังรู้จักและจดจำเฉินเฉียงได้อย่างประทับใจ
เธอรู้ดีว่าเฉินเฉียงนั้นดูแลผู้หญิงของเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เธอเองก็อดที่จะนึกน่าเสียดายไม่ได้ที่ในตอนนี้เธอไม่ได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว
“น้องฉิงเชิน แม้เฉินเฉียงจะดูแลข้าเป็นอย่างดี แต่ในใจของเขานั้นก็ยังคงมีเจ้าอยู่”
“นอกจากข้าแล้ว คนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยล้วนแล้วแต่ได้รับสมุนไพรนี้กันหมดแล้ว”
“และต้นที่อยู่ในมือข้านี้ เป็นเฉินเฉียงที่บอกให้ข้ามามอบให้เจ้า”
“ข้า….ต้นนี้สำหรับข้า….เหรอ” เว่ยฉิงเชินได้หยิบสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตจากมือของหยานเสวี่ยด้วยดวงตาที่ฉายแววมีความสุข ซึ่งนี่ถูกสังเกตเห็นหยานเสวี่ยอย่างชัดเจน
เฮ้ออออ
ยัยเด็กนี่เองก็ยังมีเฉินเฉียงอยู่ในใจเหมือนกันสินะ
หยานเสวี่ยลอบถอนลมหายใจออกมา
ถึงแม้เฉินเฉียงและเธอนั้นจะถือว่าเป็นสามีและภรรยากันอย่างเป็นทางการ และครองคู่กันอย่างมีความสุข
แต่นี่เองก็ยังทำให้เธอนั้นอดที่จะรู้สึกผิดกับเว่ยฉิงเฉินไม่ได้อยู่ดี
ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เธอที่หยุดเฉินเฉียงเอาไว้โดยการเปิดเผยความเลวทรามที่เว่ยหยวนตี้ได้กระทำเอาไว้ ในงานแต่งงานของเว่ยฉิงเชินในวันนั้น ทั้งสองก็คงจะครองคู่กันไปแล้ว
และในภาคหน้า ทั้งสองก็คงจะมีลูกเอาไว้ให้คอยจูงมือเดินเล่น
แล้วเธอล่ะ
ถึงแม้เธอจะอยากมีลูกกับเฉินเฉียงขนาดไหนก็ตาม แต่นั่นก็ต้องเป็นตอนที่เธอมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชาจักรพรรดิไปแล้ว
ใครใช้ให้เธอเป็นมนุษย์กลายพันธุ์กันล่ะ