ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 464 แยก
บทที่ 464 แยก
เฉินเฉียงรออยู่ที่เกาะเทียนเล่ยหนึ่งวัน และหยานเสวี่ยก็ได้กลับมา
“ไปไหนมาเหรอ”
หยานเสวี่ยกลอกตามองเฉินเฉียงก่อนจะพูดออกมาราวกับไม่อยากจะพูด “กำไลสื่อสารของเจ้าก็มีตำแหน่งของข้าปรากฏไม่ใช่รึไงกัน แล้วเจ้าจะถามทำเพื่อ ผู้ชายนี่มันจะมีแต่กล้ามกันไปหมด เลยรึไงกัน”
เฉินเฉียงยิ้มแหยๆก่อนจะเกาจมูกแล้วถามออกมา “นางเป็นไงบ้าง”
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้นักทำไมไม่ไปหานางซะเองล่ะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ได้พูดต่อ “อ้อ ข้าลืมไป ครั้งนี้เป็นข้าที่ขอมากับเจ้านี่เนาะ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าไม่ไปเจ้าเองก็คงจะไปที่เขาโชวหยางอยู่แล้วสินะ”
เฉินเฉียงรู้ดีว่าไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป ล้วนแล้วแต่เข้าตัว เขาจึงรีบพูดตัดบทไป “หยานเสวี่ย ตอนที่ข้าไปพบผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ข้าก็ได้พบว่าไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ส่งคนมาก่ อการที่นี่แล้ว แถมยังสร้างความเสียหายให้โลกของเราอย่างหนักหน่วง”
“การที่พลังวิญญาณบนโลกนี้ลดลงไป เข้าคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับไอ้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตนั่น”
“นี่จึงทำให้ข้านั้นคิดว่าจะเริ่มสืบเรื่องนี้ในทันทีที่ได้กลับไป”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยจึงได้พูดออกมา “แล้วเราจะรออะไรอีกล่ะ พวกเราจะไปกันเลยรึเปล่า”
เฉินเฉียงส่ายหน้าไปมา “ตอนนี้ประตูข้ามเขตแดนที่ก้นสมุทรคาบสมุทรทะเลคลั่งนั่นได้ปิดไปแล้ว เราจะรออยู่ที่นี่อีกสักเดือนค่อยไปดูแล้วกัน”
ด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉินเฉียงในตอนนี้ไม่อาจพาหยานเสวี่ยทะลวงผ่านประตูเขตแดนที่ปิดตัวลงแล้วไปได้โดยที่นางไม่เป็นอะไร นี่จึงทำให้เขาจะใช้เวลาที่รอประตูเปิดนี้อย่างคุ มค่า
เขาวางแผนว่าจะบ่มเพาะอยู่ที่นี่อย่างหนักสักเดือนนึง เมื่อถึงตอนที่เขาขึ้นเป็นระดับราชาขุนพลขั้นสูง เขาจะสามารถพาหยานเสวี่ยไปด้วยได้อย่างไม่มีปัญหา
หยานเสวี่ยเองก็ไม่ได้มีปัญหาอันใด
ตราบใดที่เธออยู่ด้วยกันกับเฉินเฉียงได้ จะโลกนี้หรือโลกไหนเธอก็ไม่ได้ใส่ใจทั้งนั้น
นี่จึงทำให้ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ เฉินเฉียงมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะเพื่อเพิ่มระดับขั้น
และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาแต่อย่างใด
หลังจากสั่งสมประสบการณ์และทรัพยากรบ่มเพาะมากว่าหนึ่งปี เขาเชื่อว่าเขาจะยกระดับได้แม้จะเป็นเวลาอันสั้น
ก่อนหน้านี้เขาเองก็มุ่งเน้นไปที่การควบคุมโลกใบเล็กและขยายขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาเองเพียงเท่านั้น
และนี่จึงทำให้เขาใช้เวลายังไม่ถึงเดือนดีก็สามารถยกระดับไปถึงขั้นราชาขุนพลขั้นสูง
เมื่อเฉินเฉียงเปิดตาขึ้น เขาก็พบหยานเสวี่ยนั่งจ้องเขาตาแป๋ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือที่แขนของหยานเสวี่ยนั้น มีเมิ่งน้อยที่เขาไม่ได้พบเจอมานานปีนป่ายอยู่
“เจี๊ยกเจี๊ยก”
เป็นอย่างที่เฉินเฉียงคิด เมิ่งน้อยเองก็ปิดประตูฝึกตนไปครึ่งปี และในตอนนี้มันเองก็อยู่ในระดับราชา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถึงแม้เมิ่งน้อยจะอยู่ในระดับราชา แต่มันนั้นก็ยังไม่อาจพูดคุยภาษาคนได้เฉกเช่นสัตว์วิญญาณหรือสัตว์ประหลาดตนอื่น
หากว่ากันตรงๆล่ะก็ มีเพียงดวงตาของมันที่ใสกระจ่างมากขึ้นเท่านั้น ส่วนที่เหลือแล้วเขาเองก็ยังมองไม่ออกว่าเมิ่งน้อยนั้นมีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไปกัน
“เฮ้ เมิ่งน้อย ข้าเองก็ไม่ได้เห็นเจ้ามานาน ทำไมข้านั้นไม่เห็นเจ้าจะตัวโตขึ้นเลยล่ะ ฮื้ม”
เมื่อได้ยินเสียงหยอกเอินของเฉินเฉียง เมิ่งน้อยก็ใช้มือทุบอกตนเองไปสองสามที ก่อนจะกลอกตามองเฉินเฉียงราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันนานแล้วก็ดันมาทักกันเร รื่องนี้
เมื่อเห็นเฉินเฉียงพูดคุยกับเมิ่งน้อยด้วยภาษาสัตว์ประหลาด หยานเสวี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“เฉินเฉียง เมิ่งน้อยว่าไงล่ะ”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็มองเมิ่งน้อยแหยๆแล้วพูดออกมา “ก็ไอ้เจ้านี่ดันบอกว่าขอเพียงทักษะที่เหนือล้ำกว่าใครในตอนนี้ และมันไม่ใช่สิ่งที่แค่เพียงมองร่างกายแล้วจะมองออก”
“แต่หากว่าอยากจะเห็นจริงๆล่ะก็ ด้วยมันนั้นจะแสดงออกมาให้ประจักษ์”
“ฮึ่ม ข้าว่าที่ไอ้เจ้าหนูเก่งขึ้นน่ะไม่ใช่ทักษะอันใดหรอก เพียงแค่ฝีปากเจ้าหนูนี่มันดีขึ้นเพียงเท่านั้น”
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็หัวเราะอย่างไม่หยุด
“ฮี่ฮี่ฮี่ ต่อให้มันเรียนรู้เรื่องนี้มาจริง ข้าว่ามันก็เรียนมาจากเจ้านั่นแหล่ะ รึไม่จริง”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยก็นำเศษแก่นวิญญาณออกมาจากโลกใบเล็ก แล้วนำไปจ่อที่ปากของเมิ่งน้อย
“ไปกันเถือหยานเสวี่ย เดี๋ยวเรื่องนี้ไปถึงที่นั่นเดี๋ยวเราก็ได้รู้เอง ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะกลับไปฝั่งนู้นกันแล้ว”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็พาหยานเสวี่ยและเมิ่งน้อยเข้าไปในโลกใบเล็ก ก่อนจะพุ่งตรงไปยังก้นสมุทรแห่งคาบสมุทรมังกรซ่อน
แม้หนึ่งเดือนจะผ่านไป แต่ประตูข้ามเขตแดนก็ยังคงปิดสนิทอยู่
แต่เรื่องนี้หาได้มีผลกับเฉินเฉียงไม่
แต่ก็ยังพอจะมีสิ่งที่ทำให้เฉินเฉียงยกย่องฮูเตี๋ยนอยู่บ้างเมื่อมาถึงที่นี่นั่นก็คือเขาพบว่าฮูเตี๋ยนนั้นได้วางมนุษย์กลายพันธุ์ระดับราชาเหนือมนุษย์และราชาทักษะพิเศษเอาไว้ ที่นี่อย่างละสองคน
“ทำความเคารพท่านนายเหนือหัว”
ทั้งสี่นั้นล้วนแล้วแต่ได้รับสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตกันหมดแล้ว นี่ทำให้พวกเขาไม่ต้องกลัวผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตจากโลกปีศาจอีกต่อไป
“อื้ม จำคำของข้าไว้ล่ะ ยามใดที่ประตูข้ามเขตแดนนี้เปิดออก ไม่ว่าจะเป็นไอ้พวกสัตว์ปีศาจหรือผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต ก็จงกำจัดพวกมันให้หมดสิ้น”
“รับคำสั่ง ท่านนายเหนือหัวโปรดวางใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะปักหลักรอพวกมัน ไม่ยอมให้ไอ้พวกนั้นทำอะไรคนบนโลกของเราได้อีก”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหายวับไปกับตา ในตอนนี้เขาได้กลับไปยังโลกปีศาจเรียบร้อยแล้ว
แต่เป็นเพียงตอนที่เฉินเฉียงเหยียบเท้าลงบนเขาฟานหยิน กำไลสื่อสารของเฉินเฉียงก็ได้ดังไม่หยุด
“กัปตัน ศิษย์ที่เข้ากลุ่มเหมันต์จันทราของพวกเรานั้นไม่อยากจะกลับไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าอีก พวกเราควรจะทำยังไงกันดี”
“กัปตัน ศิษย์ที่พวกเราพามานั้นต้องการจะท่องไปทั่วโลกภายนอกอยู่ พวกเราทำยังไงกันดี”
“กัปตัน ไอ้พวกแผนกหุ่นเชิดโลหิตที่มากับกลุ่มข้านั้นในตอนนี้พวกมันกระจัดกระจายไปทั่วแล้ว เท่าที่ข้าลองตามดูในตอนนี้พวกมันนั้นได้พยายามหาผู้บริสุทธิ์มาเป็นอาหารให้กับหุ นเชิดโลหิตของพวกมันอยู่”
“…”
ข้อความทั้งหมดที่ถูกส่งมานี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นข่าวคราวที่จางหยวนคอยส่งมาให้
ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่จางหยวนเป็นผู้นำกลุ่มนั้นไม่ยอมทำภารกิจในการจับตัวเจิ้งยี่ แต่กลับมองหาคนทั่วไปในทุกที่ที่เหยียบย่างเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเอง
ส่วนศิษย์กลุ่มที่กัวเหลียงเป็นผู้นำกลุ่มอยู่นี้ หลังจากได้เห็นฉากนองเลือดที่ภูมิภาคเหลียงตะวันตก พวกเขาก็ราวกับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักหน่วงจึงไม่อยากจะกลับ ไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าอีก และเมื่อได้พบเจอผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่โลกภายนอกนี้ พวกเขาก็ต้องรู้สึกปวดใจในทุกๆครั้ง
หลังจากอ่านข้อความจนหมดสิ้น เฉินเฉียงก็พาหยานเสวี่ยออกมาจากโลกใบเล็ก ก่อนจะบอกเธอถึงแผนการที่เขานั้นได้จัดเตรียมภาพเหตุการณ์ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ใส่ไว้ในกำไลสื่อสาร แล้ วขอให้เธอนำกำไลสื่อสารเหล่านี้ไปให้กัวเหลียงและคนอื่นๆ โดยความหวังที่ว่าศิษย์ที่เข้าร่วมกลุ่มเหมันต์จันทราเหล่านี้จะกระจายไปตามเมืองต่างๆอย่างหลบซ่อนตัวแล้วเผยแพร่ให้ผู้ค คนทั่วทั้งโลกปีศาจตาสว่างกันสักที
หลังจากที่เขามอบกำไลสื่อสารให้หยานเสวี่ยเป็นคนจัดการ เขาก็ติดตามไปหาจางหยวนในทันที
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็เลยคิดจะยกระดับเหตุการณ์ให้ใหญ่ขึ้น
เขาต้องเปิดโปงวิหารศักดิ์สิทธิ์ให้จงได้
ส่วนไอ้พวกศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่ตามพวกเขาตามภารกิจมานั้น….
ก็อย่าได้หวังจะกลับได้อีกเลย
ที่ภูมิภาคตะวันออก เมืองฉิงจิ้งเฟิ้ง (สายลมสดชื่น)
เมื่อเฉินเฉียงมาถึง เขาก็ปล่อยกระแสจิตออกไปเพื่อดูว่าจางหยวนนั้นอยู่ที่ใด
และนี่ทำให้เขาพบว่าจางหยวนได้ลงมือสังหารศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตไปคนหนึ่ง เพื่อช่วยคนในหมู่บ้านนับร้อยชีวิต
เมื่อได้รับฟังคำอ้อนวอนสรรเสริญจากคนเหล่านี้ เฉินเฉียงที่แต่เดิมแสดงตนออกมาประดุจดั่งบุรุษเหล็ก ดวงตาของเขาก็เริ่มที่จะเปียกชื้น
“จางหยวน…”
เฉินเฉียงได้ส่งเสียงเรียกออกมาเบาๆ
และเมื่อทั้งสองได้พบเจอหน้า เฉินเฉียงก็ได้ส่งมอบกำไลสื่อสารที่มีภาพเหตุการณ์ที่เขาโรคาให้
“จางหยวน จงจำไว้ให้มั่น ยามที่เจ้าแสดงสิ่งนี้ให้คนอื่นดู เจ้าจะต้องระวังตัวเอาไว้อย่างที่สุด หากพวกเราทำการโดยไม่ระวัง ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นย่อมต้องส่งคนมาสอบสวนในเร รื่องนี้”
“พวกเราต้องไม่เปิดเผยตัวตนของพวกเรา”
“แล้วก็ไอ้พวกศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตอะไรนั่นก็พยายามปล่อยให้ศิษย์แผนกวิชายุทธกับแผนกอื่นๆเป็นคนจัดการไป”
“มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่เราควรทำ พวกเรานั้นไม่อาจที่จะตกอยู่ในกลางกองเพลิงหรือคอยเป็นน้ำให้คนธรรมดามาใช้สกัดไฟอย่างวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้หรอก”