ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 465 ถ่ายทอด
บทที่ 465 ถ่ายทอด
เมื่อเฉินเฉียงได้กลับมายังโลกปีศาจ ในครั้งนี้เข้าได้นำกำไลสื่อสารที่ใส่ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เขาโรคามาด้วยหนึ่งพันวง เป้าหมายของเขาก็คือการจะทำให้ทุกคนทั่วโลกปีศาจ จได้รับรู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของวิหารศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอื่นและคนทั่วไปของโลกปีศาจแห่งนี้และขับไล่ไสส่งผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตให้เหมือนกั บหนูที่หลบซ่อนอยู่ตามท้องถนน
หลังจากจางหยวนเข้าใจความหมายที่แท้จริงในประโยคที่เฉินเฉียงได้พูดออกมาแล้ว เขาก็ได้พยักหน้าเห็นด้วยอย่างหนักแน่น
“จางหยวน ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า เท่าที่ข้าสืบรู้มาได้ ดูเหมือนว่าโลกปีศาจแห่งนี้และโลกมนุษย์ของพวกเรานั้นจะมีที่มาเดียวกัน”
ที่เฉินเฉียงก็พูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำนี้เป็นเพราะว่าเขานั้นได้ใช้คะแนนผลงานของผู้อาวุโสผู้คุมกฎสำนักตรวจสอบเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรมาแล้ว ซึ่งเคล็ดวิชาที่อยู ที่นี่เองก็มีประวัติศาสตร์มานับพันปีเลยทีเดียว
และมันได้ล่วงเลยเกินกว่าตอนที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามได้เข้ามาที่โลกใบนี้หลายร้อยปีนัก เพราะพวกเขาทั้งสามพึ่งจะมาปรากฏที่นี่เมื่อสี่ร้อยปีก่อน
นี่หมายความว่าในตอนที่ทั้งสามได้มาที่นี่ เคล็ดวิชานี้ก็ได้ปรากฏบนทั้งสองโลกอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันมากพอที่จะบอกได้ว่าทั้งสองโลกนั้นมีที่มาเดียวกัน แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าทั้งสองโลกต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้อง งกัน
เฉินเฉียงตัดสินใจบอกจางหยวนในเรื่องนี้หลังจากที่เห็นว่าจางหยวนนั้นรู้สึกผิดกับชาวบ้านของโลกปีศาจที่ตายไป
นี่ทำให้จางหยวนที่ได้รับรู้ก็ตกตะลึงในทันที
หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้บอกเหตุผลที่ทำไมเขาถึงตัดสินใจออกมาเช่นนี้
นี่ทำให้จางหยวนนั้นไม่อาจจะบอกได้เช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เฉินเฉียงบอกนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่อย่างน้อยๆ ในฐานะที่เขาเองก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง จะปล่อยให้เขานั้นทนเห็นผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่าต่อหน้าต่อตาได้ยังไงกัน
“เรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่นั้น เดี๋ยวเราค่อยมาพูดคุยกันเรื่องนี้กันเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
หลังจากบอกการตัดสินใจของเฉินเฉียงไป จางหยวนก็ได้ส่งตำแหน่งของศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าคนอื่นให้เฉินเฉียง พร้อมกับที่อยู่ของคนอื่นๆก่อนจะจากไป
หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็รีบพุ่งตรงไปหากัวเหลียงในทันที
เมื่อเฉินเฉียงไปถึง เขาก็พบว่ากัวเหลียงและหยานเสวี่ยกำลังช่วยกันรับมือศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตสองคนที่เลือกเดินทางหาอาหารโลหิตพร้อมกัน
เท่าที่ดูแล้ว เหมือนทั้งสองจะให้หุ่นเชิดโลหิตในร่างของพวกเขาสวาปามผู้คนไปจนอิ่มหนำ ก่อนที่จะพบกัวเหลียงและหยานเสวี่ย นี่ทำให้ทั้งสองเตรียมตัวจะเผ่นหนีในทันที
“บังอาจ”
กัวเหลียงตะโกนไล่หลังทั้งสองคนไป
นี่ทำให้ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองหันมาเหลือบมองกัวเหลียงปราดหนึ่งอย่างดูแคลนแล้วพูดออกมา “ไอ้หนู แกมันก็แค่ศิษย์แผนกวิชายุทธ แล้วยังมีหน้ามาวางท่าสั่งห้ามข้าอีกรึ ”
กัวเหลียงไม่เสียเวลาต่อปากคำ เขารีบตวัดกระบี่ในมือออกไป
เมื่อศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองเห็นฉากนี้ก็รีบปลดปล่อยหุ่นเชิดโลหิตออกมาจากร่าง
“ไอ้น้อง ไสหัวไปไกลๆซะดีกว่า หากเจ้าไม่เคยกินสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตหรือเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอัคคีที่หุ่นเชิดโลหิตของข้าเกลียดชัง รึเจ้าจะบอกว่าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นท ทางแห่งไฟล่ะ ห้ะ”
ว่ากันตามตรงแล้วหากกัวเหลียงคิดจะกำจัดศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองตรงหน้าแล้วนั้น เขาเองก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้แผนการของเฉินเฉียงคลาดเค คลื่อน เขาจึงไม่คิดจะลงมือฆ่าทั้งสองในทันที กลับกัน เขาคิดจะปล่อยให้คนในกลุ่มเหมันต์จันทราเป็นผู้ลงมือ
“ข้าเอง”
“ข้าเองก็เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟ”
“ฝุบฝุบฝุบ.…”
เพียงชั่วครู่ ศิษย์ในกลุ่มเหมันต์จันทราเจ็ดถึงแปดคนก็ได้มายืนเคียงข้างกัวเหลียงเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งทำการสกัดกั้นหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองด้วยเปลวไฟหนาอย่างน่ากลัว
นี่จึงทำให้หุ่นเชิดโลหิตทั้งสองตนแทบจะถูกตัดขาดออกจากเจ้านายของพวกมันในทันที และไม่ว่าพวกมันจะพยายามดิ้นรนออกจากกำแพงไฟอย่างหนักหน่วงขนาดไหนก็ไม่อาจจะหนีรอดออกมาได้
แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธอยู่เฉยแต่อย่างใด พวกเขาทำตัวราวกับได้พบเจอศัตรูคู่ชีวิต ต่างก็พุ่งตรงเข้าใส่สัตว์ปีศาจทั้งสองด้วยท่าทางที่โหดร้าย
นี่ทำให้คนในกองกำลังเทียนเว่ยที่เห็นต่างก็รู้สึกเบาแรงลง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจการลงมือของศิษย์แผนกวิชายุทธที่สามารถจัดการได้โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีว วิต
และไม่นาน ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองคนก็ถูกฆ่าตายไปโดยศิษย์ในกลุ่มเหมันต์จันทรา
หลังจากติดต่อหาคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว เขาก็พบว่าศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่ติดตามพวกเขาออกมาทำภารกิจนั้นก็ได้ตกตายจนหมดสิ้น
“พี่น้อง สิ่งนี้มีภาพบันทึกฉากเหตุการณ์ที่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์เข่นฆ่าไปที่เขาโรคา”
“ข้าคิดว่าจะใช้สิ่งนี้ในการเปิดโปงไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ให้คนในโลกนี้ได้รับรู้”
“และเรื่องนี้จะทำให้ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นไล่ล่าค่าหัวตามพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัย”
“นี่จึงทำให้ข้าคิดว่าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปยังสำนักเต๋า และขออาสาสมัครบางส่วนไปเผยแพร่ภาพฉากเหตุการณ์นี้เพียงเท่านั้น”
หลังจากกัวเหลียงได้พูดจบ ใครบางคนได้ยืนขึ้นและโต้ตอบคำพูดของกัวเหลียงในทันที “ลูกพี่ ท่านพูดอะไรออกมาเนี่ย”
“พวกเราคือกลุ่มเหมันต์จันทรานา”
“ยามพวกเราสุขก็ร่วมเสพ มีทุกข์ก็ร่วมต้าน”
“ในเมื่อไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นมันทำตัวราวกับไม่ใช่คน แล้วจะให้พวกเราที่เหลือแกล้งหูหนวกเป็นใบ้ปล่อยให้ไอ้พวกนี้ทำตามอำเภอใจได้ยังไงกัน”
“ใครจะรู้ ครอบครัวของพวกเราที่เคยตกตายไปก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของไอ้พวกนี้ด้วยก็ได้”
“ดังนั้น ไอ้พวกหุ่นเชิดโลหิตที่อยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรจะหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้”
“ให้พวกเราเปิดเผยความชั่วร้ายของไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันกับท่านด้วยเถอะ”
“ใช่แล้วลูกพี่ รีบเอาไอ้กำไลนั่นมาให้พวกเราเร็วเข้า พวกเราจะแยกกันไปเปิดโปงไอ้พวกหุ่นเชิดโลหิตและวิหารศักดิ์สิทธิ์และผู้คนได้รับรู้”
……
เมื่อเห็นผู้คนในกลุ่มเหมันต์จันทราแสดงออกมาอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น กัวเหลียงก็รีบตีเหล็กในตอนร้อนรีบแจกจ่ายกำไลสื่อสารในมือและสอนวิธีใช้ให้ทุกคนในทันที
“พี่น้อง ถึงแม้สิ่งที่พวกเรากำลังจะทำอยู่นี้จะเป็นสิ่งที่กล้าหาญ แต่ตัวตนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในใจผู้คนบนโลกปีศาจก็สูงล้ำสุดจะหยั่ง พวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดีหลังจ จากที่พวกเราแยกจากกันไป”
“หากมีใครถูกพบโดยคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ขอให้คนนั้นกดปุ่มส่งสัญญาณเตือนในทันที และเมื่อนั้นพี่น้องของพวกเราที่ได้รับข้อความฉุกเฉินจะรีบพุ่งตรงไปช่วยเหลือพวกเจ้า”
“นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด”
หากว่าเรื่องนี้มีกองกำลังเทียนเว่ยเป็นคนก่อการ สำหรับพวกเขาแล้วนี่ถือว่าเป็นงานที่ง่ายอย่างที่สุด
แต่เมื่อในตอนนี้ ผู้ที่ลงมือทำการนั้นเป็นศิษย์ที่เข้าร่วมกลุ่มเหมันต์จันทราผู้ซึ่งกำลังเลือดร้อนและเกลียดชังผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอย่างสุดหัวใจ ถึงแม้จะดูยากเย็ นแต่พวกเขาก็เหมาะสมกับงานนี้ที่สุดแล้ว
“ดี พี่น้อง แยกย้ายกันไปได้”
เมื่อสิ้นคำของกัวเหลียง กลุ่มเหมันต์จันทราก็แยกย้ายกันไปในทันที
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้ปรากฏตัว
“กัปตัน พวกเราจะแยกย้ายไปด้วยรึเปล่า”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “พี่ชายทั้งหลาย ภารกิจของเราในครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก และสิ่งที่พวกเราได้ทำไปย่อมเตะตาไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย”
“ดังนั้นขอให้ทุกคนจดจำคำของข้าเอาไว้”
“ภารกิจนี้จะสำเร็จอย่างลุล่วงได้ก็ต่อเมื่อทุกคนกลับมาอย่างมีชีวิตอยู่”
“ยามที่ทุกคนได้พบเจออันตราย ขอให้ทุกคนรีบปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ในทันที”
“และที่สำคัญที่สุดนั้น”
“หากใครก็ตามที่ได้พบเจออันตราย ขอให้รีบบอกข้าในทันที”
ทุกคนพยักหน้ารับก่อนจะแยกย้ายกันไป
“หยานเสวี่ย เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
แม้เฉินเฉียงจะไม่ต้องการให้หยานเสวี่ยเคลื่อนไหวด้วยตัวคนเดียวก็ตาม แต่เขาเองก็รู้จักนิสัยของเธอดี ยิ่งเขาปกป้องเธอมากเท่าไหร่ นี่ก็จะยิ่งทำให้เธอเกลียดเขามากขึ้น เขาจ จึงทำได้เพียงปล่อยให้เธอทำตามใจได้เพียงเท่านั้น
หลังจากทุกคนจากไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้นำกำไลสื่อสารออกมา ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเมืองอื่น
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น บนน่านฟ้าของเมืองต่างๆนับร้อยบนโลกปีศาจ ฉากเหตุการณ์ที่น่าสะพรึง สะอิดสะเอียนและสะเทือนขวัญก็ได้ปรากฏอยู่แทบจะพร้อมๆกัน
มันเป็นภาพที่ปรากฏขึ้นอยู่บนท้องฟ้าราวกับถูกแสดงออกมาโดยพระเจ้าผู้สูงส่ง
มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นบนเขาโรคาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เลื่อมใสและศรัทธาของผู้คนทั่วโลกปีศาจแห่งนี้ มันคือฉากเหตุการณ์ที่ศิษย์สำนักเต๋านับหมื่นคนที่ ถูกเข่นฆ่าสังหารโดยผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอย่างไร้ความปรานีจนซากศพกองพะเนินเทินถึก โดยผู้ที่สังหารนั้นแต่งชุดราวกับเป็นผู้อาวุโสสูงของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แถมยังมี ท่าทางสุขสันต์ยามที่เห็นหุ่นเชิดโลหิตได้ล่าสังหารผู้คนจนต้องหัวเราะร่าออกมา
เมื่อภาพฉากเหตุการณ์เหล่านี้ปรากฏขึ้นบนเมือง เหล่าผู้คนในเมืองก็ได้ออกจากบ้านขึ้นมารับชมฉากเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาเหล่านี้