ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 466 ต่อต้าน
บทที่ 466 ต่อต้าน
“สี่คนนั้นคือผู้อาวุโสสูงแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่รึ”
ชายวันกลางคนที่อยู่ในชุดที่ผู้บ่มเพาะเส้นทางนิยมใส่กันได้มองฉากเหตุการณ์ที่สี่คนได้ก่อเหตุนองเลือดด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างตกตะลึง
“อย่าได้พูดจาไร้สาระนะ วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นเทพพิทักษ์ของโลกปีศาจของเรา แล้วจะไปทำเรื่องโหดร้ายนองเลือดแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“ใครว่าไร้สาระ ข้า ผู้อาวุโสฮู่ผู้นี้ถึงแม้จะไม่เคยอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แต่ข้าก็ยังเคยเจอคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว และเสื้อผ้าของไอ้พวกนั้นเหมือนกับเสื้อผ้าขอ องไอ้พวกนี้อย่างกับแกะ”
“ถูกต้อง ผู้อาวุโสฮู่เคยอยู่ในสำนักเต๋ามาก่อน การที่เขาจะเคยได้พบเห็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์บ้างย่อมไม่ใช่สิ่งที่แปลกแต่อย่างใด แต่ว่าทำไมคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ฆ่าคนอ อย่างเป็นผักปลาแบบนี้กัน ท่านพอจะรู้รึเปล่าว่าพวกเขาทำไมถึงลงมือ”
ผู้อาวุโสฮู่ส่ายหัวไปมาอย่างหนักหน่วง “ข้าไม่รู้ แต่เท่าที่เห็นคือทั้งสี่คนนี้เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต แต่ที่ข้าแน่ใจก็คือไอ้พวกนี้มันได้เข่นฆ่าศิษย์สำนัก เต๋าจากแต่ละสำนักไปอย่างชัดเจน”
“หวา คนนับหมื่นตกตายไป ทำไมคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งถึงได้ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้กัน ทำไมพวกเขาต้องลงมือฆ่าคนเหล่านี้ด้วย”
“ข้าได้ยินมาว่าเพื่อยกระดับการบ่มเพาะ ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นจะต้องปล่อยให้สัตว์ปีศาจใช้ร่างของคนเหล่านี้อยู่อาศัย จากที่ดูแล้วไอ้พวกสัตว์ปีศาจที่อยู่ในฉาก เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นหุ่นเชิดโลหิตหรือสัตว์ปีศาจที่อาศัยในร่างผู้บ่มเพาะที่ว่า นี่ทำให้ข้าคิดว่าเหตุผลที่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ฆ่าคนเหล่านี้ไปเป็นเพราะต้องการเพิ่มระดับก การบ่มเพาะเพียงเท่านั้น”
ผู้อาวุโสฮู่พยักหน้ารับ “นั่นน่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว แต่ทำไมวิหารศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ใช้วิธีการฆ่าผู้บ่มเพาะด้วยกันเองแบบนี้ นี่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยรึไงกัน”
“ฮึ่ม ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งจะทำเรื่องเช่นนี้ได้น่ะ”
“ไม่เชื่อรึ แล้วใครจะสร้างภาพเหตุการณ์หลอกๆพวกนี้ขึ้นมาล่ะ เจ้าทำได้รึเปล่า ข้าว่านี่น่าจะเป็นคำเตือนจากสรวงสวรรค์มากกว่า”
“นี่แสดงว่าเจ้าจะบอกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นชั่วร้ายรึ”
“ยังไม่ได้พูดเฟ้ย”
ถึงแม้ภาพฉากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้จะเป็นของจริง แต่ด้วยชื่อเสียงเกียรติยศที่วิหารศักดิ์สิทธิ์สร้างมานั้นสูงล้ำจนไม่มีใครคิดกล้าจะกังขาวิหารศักดิ์สิทธิ์เลยสักคน
และที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือถึงแม้จะมีบางคนเชื่อว่านี่คือคำเตือนจากสรวงสวรรค์ แต่นั่นก็เป็นเพียงการทำเพื่อใส่ความวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่มีข้อยกเว้น
โดยเฉพาะกับผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใกล้ชิด หรือแม้แต่เป็นคนสนิทของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพฉากนี้ที่ถูกฉายอยู่ บนอากาศ ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มใบด้วยน้ำตาที่หลั่งไหล
“อ๊ากกกกก สวรรค์ ในที่สุดท่านก็ช่วยเปิดตาของพวกเรา ในที่สุดก็มีใครบางคนเผยธาตุแท้ของไอ้พวกหุ่นเชิดโลหิต ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์เองก็ช่างน่าเกลียดชังนัก พวกมันถือว่าไอ้พ พวกหุ่นเชิดโลหิตเป็นสมบัติที่มีค่า แต่เห็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอื่นอย่างพวกเล่นเป็นเพียงแค่อาหารให้หุ่นเชิดโลหิตของพวกมัน”
“ไอ้พวกผู้บ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตที่น่าเดียดฉันท์ ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตนว่าเป็นเทพพิทักษ์นั่นก็อีก พวกมันล้วนแล้วเป็นปีศาจที่ฆ่าคนเพื่อดื่มกินเลือดของพวกเรา พวก กมันตั้งได้รับการตอบแทนอย่างสาสมในไม่ช้าก็เร็วนี้ล่ะโว้ย”
….
และนี่เองทำให้มีผู้เข้าร่วมในกระบวนการต่อต้านผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตมากขึ้น
ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์วิหารศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นเกลียดชังเข้ากระดูก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตัดสินใจสุมไฟเผาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้
หากดูจากแนวโน้มนี้ไปแล้วก็สามารถเชื่อได้ว่าเวลาที่วิหารศักดิ์สิทธิ์จะกลายเป็นศัตรูของคนบนโลกใบนี้เองก็คงอยู่อีกไม่ไกลมากนัก
ที่เมืองชั้นในของเมืองแห่งหนึ่ง ในหอฝึกฝนที่มีขนาดตึกระดับกลาง
หลังจากภาพฉากเหตุการณ์ที่เขาโรคาได้ปรากฏ เหล่าศิษย์สำนักเต๋าแห่งหนึ่งที่พบเห็นฉากนี้ก็รีบทิ้งระยะห่างของตนจากศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตในทันที
ส่วนศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้น เมื่อได้เห็นฉากเหตุการณ์นี้ พวกเขากลับทำเพียงมองฉากเหตุการณ์ด้วยสายตาที่เปล่งประกาย พร้อมรอยยิ้มอันโหดร้ายที่มุมปาก ศิษย์บางคนก็อดนึกอิจฉ ฉาอย่างที่สุดจนหลุดปากพูดออกมาเสียมิได้ “แม่…เอ๊ย เมื่อไหร่พวกเราจะได้เข้าไปอยู่ในงานเลี้ยงเลือดแบบนี้บางวะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ราวกับไม่ใช่คนของศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตแล้ว ใบหน้าศิษย์ของอีกสามแผนกก็แสดงออกมาอย่างเดือดดาลยิ่งขึ้นตามระดับ
“ดูนั่น นั่นมันศิษย์พี่เจิ้งของสำนักเต๋าเราไม่ใช่เหรอ”
หนึ่งในศิษย์แผนกวิชายุทธได้ชี้ไปที่ภาพฉากบนอากาศ ด้วยใบหน้าที่ราวกับสะพรึงหวาดหวั่นและร้องโวยวายดังลั่น
“ใช่ นั่นมันศิษย์พี่เจิ้งจริงๆ”
“ไม่ใช่ว่าพี่เจิ้งไปเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงได้มาตกตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว ในภาพนี้เป็นภาพจากวิหารศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้ชี้ไปที่ฉากเหตุการณ์แล้วพูดออกมา “ที่ด้านบนเขาโรคานั้นเป็นที่ตั้งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ข ข้าจะไม่เคยขึ้นไป แต่พื้นที่เบื้องล่างนั้นข้าจดจำมันได้เป็นอย่างดี”
“งั้น…เจ้าหมายความว่าพี่เจิ้งตกตายในวิหารศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ”
“ไม่ผิดแน่ ไอ้ตัวชั่วร้ายสี่คนนั่นเองก็แต่งชุดของผู้คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์อีก”
“ศิษย์พี่เจิ้ง…ช่างน่าอนาถนัก สำนักของเรายึดถือท่านเป็นศิษย์ผู้เดินบนเส้นทางยุทธที่ทรงคุณค่า ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าท่านต้องมาตกตายอย่างน่าอนาถนัก”
“เป็นเพราะไอ้พวกผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั่น….”
หลังจากพูดจบไปพักหนึ่ง เหล่าศิษย์จากสามแผนกค่อยๆรุมล้อมศิษย์แผนกวิชาหุ่นเชิดโลหิตเอาไว้
แต่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตก็หาได้มีท่าทางเกรงกลัวไม่
“มาเลยไอ้หนูทั้งหลาย ข้าเชื่อว่าเลือดของพวกเจ้าจะยกระดับให้กับหุ่นเชิดโลหิตที่น่ารักของข้าได้มากพอเลยทีเดียว”
“เข้ามา ทำให้หุ่นเชิดโลหิตของข้าได้ละเลงเลือดหน่อยเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลังจากพูดจบ ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตสิบกว่าคนก็ได้ปลดปล่อยหุ่นเชิดโลหิตของตนออกมา ก่อนจะพุ่งตรงไปยังฝูงชนหมู่ศิษย์ที่รายรอบอยู่
“หยุด”
เมื่อเห็นฉากนี้ เสียงหนึ่งก็ได้ดังอย่างก้องกังวานไปทั่วสำนักเต๋าแห่งนี้
แต่นอกจากอาหารโลหิตที่รายล้อมอยู่ตรงหน้า เหล่าศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ก็ราวกับไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตาอีก และได้ปลดปล่อยสัญชาตญาณความบ้าคลั่งของตัวเองออกมาอย่างเต็ม มพิกัด
และเป็นตอนนี้ที่ก่อนที่ตัวภัยพิบัติทั้งสิบกว่าตัวจะพุ่งตรงไปยังฝูงชนหมู่ศิษย์ หุ่นเชิดโลหิตทั้งสิบกว่าตนก็ถูกกักเอาไว้อยู่ท่ามกลางกองเพลิงที่มาจากไหนไม่รู้
“ใครวะ”
ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทั้งหมดต่างคำรามลั่นในทันที
เป็นตอนนี้ที่ทุกคนได้เห็นว่ามีชายแปลกหน้า พร้อมปีกคู่ใหญ่ยักษ์โบกสะบัดอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปยังศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตราวกับคนที่ตายไปแล้ว
เฉินเฉียงได้ใช้ไฟรายรอบหุ่นเชิดโลหิตเอาไว้ แต่ไม่ได้ฆ่ามันแต่อย่างใด เขาเพียงแค่กักขังมันไว้เท่านั้น
“ศิษย์แผนกวิชายุทธทั้งหลาย ไอ้พวกแผนกหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้เป็นเสือไร้เขี้ยวเล็บแล้วในตอนนี้ หากมีสิ่งใดโกรธแค้นก็จงไปลงที่พวกมัน”
เพียงสิ้นเสียงของเฉินเฉียง ศิษย์ทั้งสามแผนกที่มีความรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่แล้ว นี่จึงทำให้พวกเขารีบถาโถมเข้าใส่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่ไม่มีปัญญาทำอะไรได้อีกต่อไป
เมื่อไม่มีหุ่นเชิดโลหิต ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ก็ถูกฆ่าอย่างง่ายดายราวกับผักปลา
ไม่นาน ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทุกคนก็ตกตายจนหมดสิ้น
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็จัดการเผ่าหุ่นเชิดโลหิตทิ้งไป
หลังจากเสร็จสิ้น เฉินเฉียงก็เก็บกำไลสื่อสารแล้วไปยังเมืองถัดไป
ฉากเหตุการณ์ซ้ำๆบังเกิดขึ้นไปอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งโลกปีศาจ
ผู้คนทั่วไป ไปตลอดถึงศิษย์สำนักเต๋าเล็กๆหรือแม้แต่ศิษย์สำนักเต๋าระดับกลางล้วนแล้วแต่อดไม่ได้ที่จะสังหารศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเพื่อเป็นการระบายความเคียดแค้นเมื่อได้เห็นฉากเ เหตุการณ์ที่เขาโรคา
แต่ไม่นาน เรื่องนี้ก็ไปเข้าหูวิหารศักดิ์สิทธิ์
ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่คนของหอกองโจรหมาป่าและหอหุ่นเชิดโลหิตได้ตระเวนไปทั่วโลกปีศาจเพื่อรวบรวมอาหารโลหิตมาอยู่เนืองๆ
และนี่เองก็ทำให้มีศิษย์บางคนผู้ร่วมแผนการก่อความวุ่นวายนี้ตกเป็นเป้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์
ภูมิภาคตะวันออก เมืองหยอนกั๋น
ภาพฉากเหตุการณ์ที่เขาโรคาในวันนี้ก็ปรากฏบนท้องฟ้าของที่นี่
แต่เป็นตอนนี้ที่มีวัตถุที่เรียวเล็กแหลมได้พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แล้วคว้าจับไปที่กำไลสื่อสารที่ฉายภาพเหตุการณ์นี้อยู่
“ใครกันวะ แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้”
คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์คำรามลั่นก่อนมองไปยังผู้คนที่กำลังดูฉากเหตุการณ์ที่ถูกฉายด้วยกำไลสื่อสารนี้อยู่เมื่อครู่