ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 470 ทรมาน
บทที่ 470 ทรมาน
ในห้อง เฉินเฉียงได้ปล่อยตัวผู้คุมกฎสำนักที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ออกมาจากโลกใบเล็ก ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นกัวเหลียง
เมื่อเห็นฉากนี้ กัวเหลียงก็ถึงกับต้องตกตะลึงไปไม่น้อย
-ศิษย์น้องเล็ก นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกัน ผอ.จ้งนั่นเป็นราชาเหนือราชาขั้นกลางเลยนะ-
เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปลอมก่อนจะส่งเสียงผ่าจิตวิญญาณตอบกลับไป –ไม่ต้องห่วงศิษย์พี่ แค่คิดจะเล่นอะไรกับไอ้หมอนี่หน่อยเท่านั้น ท่านก็รออยู่เฉยๆที่นี่แล้วกัน อย่างมากท่าน ก็อยู่ที่นี่เป็นเวลาสามไม่ก็ห้าวันเพียงเท่านั้น-
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็เดินออกไปโดยไม่พูดจบ โดยมีผู้อาวุโสผู้คุมกฎเดินติดตามไป
ที่ด้านนอก ผอ.จ้งในตอนนี้ได้ไล่ผู้อาวุโสฉีและผู้ติดตามไปจนหมดสิ้น หลังจากนั้นเขาก็ได้จับไปที่ตัวเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของกัวเหลียงพุ่งตรงออกไปนอกเมืองในทันใด
“ท่านผอ. ปล่อยข้าก่อน ข้าขอจับสัมผัสโดนจมูกของข้าก่อน”
ผอ.จ้งรีบตอบปฏิเสธทันที ก่อนจะรีบพูดตอบออกมา “ไม่ ระดับการบ่มเพาะของเจ้าต่ำเกินไปเจ้าไม่อาจจะบินบนฟ้าได้นานนัก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเราจะตามจับหลิวเซียนทันได้ยังไงกัน น”
“ท่านผอ. ถึงแม้ข้าจะบินไม่ได้นาน แต่ข้าก็มั่นใจในความเร็วของข้า หากท่านไม่เชื่อ ท่านสามารถลองดูข้าก่อนก็ได้”
เมื่อผอ.จ้งได้ยินดังนั้นก็ได้ลองให้เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของกัวเหลียงทำตามที่ต้องการดู
เมื่อเฉินเฉียงลงสู่พื้น อยู่ๆร่างของเขาก็เปล่งแสง หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้ทักษะย่างก้าวสวรรค์ที่ไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว
แต่ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มานาน ด้วยการที่เขาในตอนนี้อยู่ระดับราชาขุนพลขั้นสูง ความเร็วของเขาย่อมไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิม
เมื่อผอ.จ้งได้เห็นฉากนี้ก็ถึงกลับต้องนิ่งอึ้งไป แต่ไม่นานเขาก็สงบจิตใจลงได้
เขาสามารถบอกได้เลยว่าท่าเท้าของเฉินเฉียงนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์พันลึก ถึงแม้ว่าช้ากว่าการบินของเขา แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขานั้นไม่ต้องเปลืองแรงพาเฉินเฉียงที่อ อยู่ในรูปลักษณ์ของกัวเหลียงบินไปด้วย
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้แกล้งทำจมูกฟิตฟุต ก่อนจะหันหน้าของตนไปทางเหนือแล้วพูดออกมา “ท่านผอ. หลิวเซียงในตอนนี้น่าจะกำลังวิ่งขึ้นเหนือไป ข้าว่าพวกเราเร่งตามไปจะดีกว่า หากเขา าวิ่งไปไกลกว่านี้ศิษย์เกรงว่าจะไม่อาจแกะรอยได้อีก”
ด้วยการที่ผอ.จ้งเป็นผอ.ของสถานศึกษา เขาย่อมแสดงออกมาอย่างห้าวหาญยอมที่ต้องอยู่ต่อหน้าศิษย์แม้จะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวก็ตาม เขาจึงรีบพยักหน้ารับและเร่งติดตามเฉินเฉียงที่อ อยู่ในรูปลักษณ์ของกัวเหลียงไป
แต่หลังจากผ่านไปสองวันเต็ม ทั้งสองก็ยังไม่เห็นวี่แววใดๆ จนในตอนนี้พวกเขาเกือบจะไปถึงเขตเมืองเป่ยหมิงแล้ว
“กัวเหลียง เจ้าแน่จะนะว่าหลิวเซียงยังมุ่งมาทางนี้น่ะ” ผอ.จ้งที่ในตอนนี้เริ่มรำคาญใจที่ไม่ได้พบเจอเป้าหมายของเขาสักที นี่ทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ใช่ครับท่านผอ. ข้าได้กลิ่นของหลิวเซียนชัดมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานจะตามทำแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ได้พบป่ารกทึบตรงหน้า เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของกัวเหลียงได้กระซิบออกมาด้วยเสียงอันเบา “ท่านผอ. พวกเราใกล้เจอหลิวเซียนแล้ว พว วกเราลงไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ร่อนลงพื้นไป
ผอ.จ้งเองเมื่อได้ยินก็ทำได้เพียงตามไปเท่านั้น
ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ เฉินเฉียงในตอนนี้ได้สะกิดมือของผอ.จ้ง พร้อมทั้งส่งเสียงผ่าจิตวิญญาณออกไป
-ท่านผอ. ลองดูตรงหน้านั่น อีกสามสิบไมล์ตรงหน้าใช่หลิวเซียนรึเปล่าน่ะ-
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผอ.จ้งก็เพ่งจิตของตนไปยังทิศทางเบื้องหน้าเพื่อดูว่าใช่หลิวเซียงดังว่าหรือไม่
แต่เป็นตอนนี้ที่เขาได้ยินเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างหลัง
“อั๊ค ช่วย…”
มันเป็นเสียงของกัวเหลียง
ด้วยการที่ผอ.จ้งนั้นเป็นถึงราชาเหนือราชาขั้นกลาง มีหรือที่เขาจะถูกทำร้ายในระยะประชิดเฉกเช่นคนทั่วไปได้
แต่เมื่อเขานั้นหันกลับไปดู เขาก็ต้องประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่ากัวเหลียงที่ตามเขามาอย่างไม่ห่างนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
ขนาดเขาที่เป็นถึงราชาเหนือราชา เขากลับไม่พบเจอร่องรอยของคนที่ตามหลังเขามาราวกับไม่เคยมีกัวเหลียงติดตามเขามาก่อนตั้งแต่ต้น
ต้องเป็นผู้บ่มเพาะระดับไหนกันถึงสามารถทำให้ผู้คนหายไปได้อย่างไร้ร่องรอยแบบนี้
แถมอีกฝ่ายที่พวกเขากำลังติดตามร่องรอยอยู่นั้นยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่กล้าทรยศต่อวิหารศักดิ์สิทธิ์
นี่คือฝีมือของหลิวเซียนงั้นรึ
เมื่อคิดได้แบบนี้ ผอ.จ้งก็รีบปลดปล่อยกระแสจิตไปรอบตัวในทันที
นี่ทำให้เขาอดจะสงสัยไม่ได้ว่าหลิวเซียนนั้นยังมีระดับการบ่มเพาะอยู่ระดับราชาเหนือราชาขั้นกลางจริงๆรึเปล่า
คงไม่ใช่ว่าในตอนนี้หลิวเซียนได้ก้าวเข้าสู่ระดับราชาเหนือราชาขั้นปลายไปแล้วหรอกนะ
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ผอ.จ้งก็มีท่าทีร้อนรนขึ้นมาในทันที
นั่นก็เพราะแต่เดิมเขานั้นคิดเพียงว่าหลิวเซียนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกันเท่านั้น
หากเขาไม่ประมาท เขาเชื่อว่าจะสามารถโค่นล้มหลิวเซียนลงได้อย่างแน่นอน
แต่ว่าหากหลิวเซียนนั้นยกระดับบ่มเพาะขึ้นไปแล้วจริงๆ นี่จะทำให้เขาห่างชั้นจากหลิวเซียนอย่างมาก
ท่ามกลางป่ารกทึบ ยิ่งผอ.จ้งครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นไปได้อย่างมาก และนี่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะรีบออกจากป่า แต่เป็นตอนนี้ที่เขารั บรู้ได้ว่ามีบางอย่างพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
ด้วยการที่ในตอนนี้เขาคิดเพียงจะถอยกลับไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เขารู้ตัว มันก็ช้าเกินไป
และด้วยความประมาทนี้เอง ในตอนนี้แขนและขาของได้ถูกตัดขาดในคราวเดียว
หลังจากได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด เมื่อเขามองลงไปยังพื้นดิน เขาก็ได้พบหลิวเซียนที่เขานั้นคุ้นเคย
ตั้งแต่ตอนที่ผอ.จ้งแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการล่าหัวหลิวเซียน เฉินเฉียงก็ได้คิดแผนในการกุดหัวผอ.สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าผู้นี้เรียบร้อยแล้ว
ต่อให้ผอ.จ้งจะมีระดับบ่มเพาะอยู่ในระดับราชาเหนือราชาแล้วยังไงกัน ผู้อาวุโสทั้งห้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์เองที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกันก็ยังตกตายในมือของเขามาแล้วล่ะ ะนะ
เฉินเฉียงเชื่อว่าตราบใดที่เขาลงมือได้ถูกเวลา มันไม่ยากเกินกว่าที่เขานั้นจะจัดการผอ.ของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าผู้นี้ลงได้อย่างไม่ยากเย็น
และนี่คือสาเหตุที่เขาเลือกลงมือในตอนนี้
หลังจากลงมือครั้งแรกสำเร็จไปแล้ว เฉินเฉียงก็ไม่ได้รีบเร่งสังหาร กลับกัน เขายังแสดงใบหน้าที่ยิ้มเยาะออกมาด้วยซ้ำ
“หลัวเซียน เป็นแก…”
ผอ.จ้งในตอนนี้ความแข็งแกร่งลดลงไปอย่างมากเนื่องจากสูญเสียแขนและขาไปอย่างละข้าง
อย่างไรก็ตาม เขานั้นยังมีหุ่นเชิดโลหิตอยู่ในร่าง เขาจึงยังมีความมั่นใจอยู่ว่าสามารถรับมือเฉินเฉียงได้สักพัก
เฉินเฉียงในตอนนี้ก้มลงมองผอ.จ้งด้วยท่าทางราวกับรู้สึกสนใจในคำพูดของผอ.จ้งก่อนจะถามออกมา “โฮ่ เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ”
ผอ.จ้งเมื่อได้ยินก็สบถออกมาในทันใด “หลิวเซียน แกกับข้าต่างก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว แล้วข้าผู้นี้จะไม่รู้จักแกได้ยังไง แกต่างหากที่พูดห่าเหวอะไรออกมา”
เมื่อเห็นผอ.จ้งโกรธจนตัวสั่นราวและกระอักเลือด เฉินเฉียงก็รับรู้ได้ว่าเหลือแค่เวลาเท่านั้นที่เขาจะลงมือจัดการชายผู้นี้
นี่จึงทำให้เขาไม่คิดเร่งรีบที่จะจัดการผอ.จ้งแต่อย่างใด
“ผอ.จ้ง ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า หากเจ้าพูดออกมาตามตรง ข้าจะทำให้เจ้าตกตายอย่างรวดเร็วและสงบสุที่สุด”
ผอ.จ้งที่ตอนนี้บาดเจ็บหนัก ความเจ็บปวดที่มากล้นได้ทำให้หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลไม่หยุด เขาไม่ตอบสิ่งใดออกมาทำเพียงจ้องมองเฉินเฉียงอย่างเกลียดชัง
“ผอ.จ้ง ข้าอยากถามเจ้าว่ารู้รึเปล่าว่าทำไมเคล็ดวิชาหุ่นเชิดโลหิตถึงได้แพร่หลายในโลกใบนี้ และใครเป็นผู้เผยแพร่มันกัน”
ผอ.จ้งที่ได้ยินก็สบถออกมา “หลิวเซียน คำถามของแกนี่ช่างแปลกนัก แกกับข้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้ ดังนั้นแกเองก็ควรจะรู้อย่างชัดเจนว่าพวกเราได้รับเคล็ด วิชานี้มาได้ยังไง กับความลับยิ่งใหญ่เช่นนี้มีหรือที่พวกเราจะไปรับรู้ได้กัน”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ใจแป้วขึ้นมาในทันที
ดูเหมือนว่าหากเขาอยากจะรู้เรื่องนี้เพิ่มเติม คงทำได้เพียงเข้าไปยังวิหารศักดิ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“งั้นเจ้ารู้รึเปล่าว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นมีผู้บ่มเพาะอยู่เท่าไหร่ และมีใครบ้างที่เป็นผู้คุมหอ”
หลังจากได้ยินคำถามนี้ ความสงสัยก็ได้แทรกแซงความรู้สึกทุกอย่างของผอ.จ้งจนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
“หลิวเซียน แกเป็นผู้ทรยศของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แกก็ควรรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้าไม่ใช่รึไงกัน”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาอย่างหน่ายจิต เพราะเขารู้ว่าเขานั้นคงไม่ได้คำตอบจากคำถามนี้เป็นแน่
“คำถามสุดท้าย ผอ.จ้ง ข้าอยากจะถามเกี่ยวกับคนผู้หนึ่ง ตราบใดที่เจ้าบอกมาเกี่ยวกับคนผู้นี้ ข้าสามารถปล่อยเจ้าไปได้ เจ้าคิดว่ายังไง”
ผอ.จ้งมีได้ยินก็นึกสนใจขึ้นมาจึงได้พูดตอบไป “ว่ามา”
“ฮั่นจุย มันผู้นี้อยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์หรือไม่”