ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 475 หลักฐาน
บทที่ 475 หลักฐาน
“ถามได้ดี”
เฉินเฉียงได้กวาดไปที่หลังมือของตน พร้อมกับมีกำไลสื่อสารปรากฏออกมาที่ข้อมือ
และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่เขานั้นเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้
“ผู้อาวุโสเฟิง ศิษย์ทั้งหลาย ทุกคนรู้รึเปล่าสิ่งที่อยู่ในมือข้านั้นคือสิ่งใด”
นอกจากคนในกองกำลังเทียนเว่ยและคนในกลุ่มเหมันต์จันทราเพียงไม่กี่คนแล้ว ไม่กี่ใครที่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน
แน่นอนว่าคนที่รับรู้เรื่องนี้อย่างคนของกลุ่มเหมันต์จันทราย่อมไม่พูดอะไรออกมา หากหัวขบวนอย่างกัวเหลียงไม่พูด เช่นเดียวกับจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ย
ภายใต้ความสงสัยที่ปรากฏในสายตาของทุกคนที่จับจ้อง เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมา “เจ้าสิ่งนี้ได้ตกลงมาจากตัวของศิษย์สำนักเราคนหนึ่ง ที่เผอิญชนกับข้า ตอนที่ข้าออกไปติดตามคนทรยศของวิหารศักดิ์สิทธิ์ หลิวเซียน”
“ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้วว่ามีกำไลแบบนี้มากมายที่ได้ปรากฏออกมาในโลกของเรา และในกำไลวงนี้เองก็เก็บข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่ได้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”
“ในฐานะที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตผู้หนึ่ง ในฐานะผอ.สำนัก ข้าไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้”
“ถึงแม้ว่าในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของคนเฉกเช่นข้านั้น การที่จะยกระดับได้ จำเป็นต้องการเลือดปริมาณมหาศาลเพื่อชุบเลี้ยงสัตว์ปีศาจที่เป็นหุ่นเชิดโลหิตของตนที่อยู่ในร่างของพวกเรา”
“ผู้อาวุโสเฟิง ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิต พวกเจ้าคงไม่คิดปฏิเสธเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสเฟิงที่กำลังรับฟังอยู่ก็ได้พยักหน้ารับโดยที่ไม่เปลี่ยนท่าทีที่แสดงออกมาด้วยความสงสัยเฉกเช่นเดิม
บนโลกปีศาจแห่งนี้กับเรื่องนี้แล้วหาได้เป็นความลับที่ต้องหลบซ่อนแต่อย่างใด เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผอ.ของสำนักตนต้องหยิบยกเรื่องนี้มาพูดในตอนนี้
แม้แต่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตก็ยังพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายในทันที
แต่ศิษย์ในกลุ่มเหมันต์จันทราที่ติดตามกัวเหลียงนั้น ด้วยการที่พวกเขาได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ที่เกือบตกตายโดยคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาหลังจากเห็นฉากกวาดล้างเมืองไปแล้ว ทำให้พวกเขานั้นไม่อาจเก็บอาการได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นท่าทางคันปากของศิษย์ทั้งสองคนนี้ เฉินเฉียงก็ได้พูดต่อ “พวกเราที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้น สามารถรวบรวมอาหารเลือดเพื่อยกระดับการบ่มเพาะได้ เรื่องนี้ข้านั้นยอมรับ”
“แต่กลับมีไอ้พวกระยำบางตัวที่อาศัยข้ออ้างนี้ก่อปัญหาขึ้นมา และเอ่ยอ้างนามของวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวไปทุกหย่อมหญ้า”
“เรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าผู้นี้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
“แล้วพวกเจ้ารู้อะไรรึเปล่า”
“เมื่อไม่นานมานี้ ไอ้ฉากนองเลือดที่บันทึกอยู่ในนี้นั้นได้ทำให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตฆ่าผู้บริสุทธิ์นี้ ได้ถูกเผยแพร่ไปทุกมุมเมืองทั่วทั้งโลกปีศาจแล้ว”
“นี่ทำให้ชื่อเสียงของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เคยสูงล้ำต้องถูกดึงต่ำป่นปี้ไม่เหลือ รวมถึงพวกเราที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่ยังไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็ยังต้องรังเกียจเดียดฉันท์ประดุจดั่งหนูที่ข้ามถนนแล้วถูกผู้คนพบเจอ แล้วร้องขับไล่ไปทุกหัวระแหง”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ กลัวเหลียงกลับถามออกมาอย่างไม่เห็นด้วยเพื่อเปิดทางสุมไฟ “ท่านผอ. ไม่ใช่ว่าท่านกล่าวเกินจริงไปอย่างนั้นรึ”
บนเวที เมื่อผู้อาวุโสเฟิงได้ยินก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยในทันทีและรู้สึกพึงพอใจเมื่อเห็นว่าศิษย์แผนกวิชายุทธเองก็ยังออกหน้าพูดให้แก่แผนกหุ่นเชิดโลหิต
แต่เพียงสิ้นคำของกัวเหลียง เฉินเฉียงกลับสบถออกมาทีหนึ่งแล้วพูดออกมา “กล่าวเกินจริงเหรอ เหอะ ผิดแล้ว ข้ากล่าวน้อยไปด้วยซ้ำ”
“กัวเหลียง ครั้งก่อนตอนที่เจ้าออกไปทำภารกิจ ไอ้เหตุผลที่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตกว่าสามสิบหน่อที่ออกไปพร้อมพวกเจ้าแล้วไม่ได้กลับมานั้น ข้า รับรู้เหตุผลนั้นเรียบร้อยแล้ว”
“ข้ารู้แล้วว่าไอ้เวรตะไลพวกนั้นกล้าที่จะอ้าปากเข้าใส่คนธรรมดา แล้วใช้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นเพื่อชุบเลี้ยงหุ่นเชิดโลหิตในร่างให้อิ่มหมีพีมันเพียงเท่านั้น”
“ยังดีที่ข้าได้ฆ่าหลิวเซียนไปได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าของข้านั้นคงต้องถูกมันทำให้ป่นปี้ไปอีกหนึ่ง”
“และนี่คือฉากเหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตต้องวายป่วงกันหมด”
เมื่อพูดจบ ศิษย์กลุ่มเหมันต์จันทราก็ได้ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “ท่านผอ. ข้าว่าต้องมีใครบางคนคิดเล่นไม่ซื่อกับท่านเป็นแน่ ไอ้ของเล็กแบบนั้นจะไปมีหลักฐานเก็บเอาไว้ได้ยังไงกัน”
“หึ จงดู”
เมื่อเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งพูดจบ เขาก็ได้เขวี้ยงกำไลสื่อสารขึ้นฟ้าไป ก่อนที่เขาจะใช้พลังจากโลกใบเล็กทำให้กำไลสื่อสารทำงาน
นี่ทำให้บนท้องฟ้าปรากฏภาพฉายหนึ่งขึ้นมา
“เฮ้ย นั่นมันพวกคนที่มาสอบเข้าสำนักกับพวกเราไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ข้าจำได้ เพราะศิษย์น้องของข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนที่สอบตก แต่ก็ได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนเขาโรคาก่อนข้าเสียอย่างนั้น”
“ดูนั่น พวกเขาอยู่ที่เขาโรคาจริงๆ ห้าคนนั่นเป็นผู้อาวุโสของวิหารศักดิ์สิทธิ์ล่ะ”
“ไม่จริงน่า ทำไมคนของเขาโรคาถึงต้องฆ่าพวกเขากัน”
“ศิษย์น้อง…..ศิษย์พี่ผู้นี้คิดเพียงว่าเจ้านั้นแค่กลับไปที่สำนักของเราแล้วไม่มีเวลากล่าวลา…..ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะไปตกตายที่วิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีโอกาสหวนกลับ…”
“กลายเป็นว่าศิษย์ทุกคนที่ไปที่นั่นกลับกลายเป็นเพียงวัตถุบ่มเพาะของไอ้พวกหุ่นเชิดโลหิตของวิหารศักดิ์สิทธิ์เนี่ยนะ”
“ทำไมวิหารศักดิ์สิทธิ์ช่างโหดร้ายนัก…”
ในตอนที่มองฉากเหตุการณ์บนฟ้านี้ เมื่อเห็นผู้คนได้โกรธเกรี้ยว ผู้อาวุโสเฟิงเองก็ได้กัดฟันแน่นพลางโจนทะยานไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า หมายที่จะทำลายกำไลสื่อสารนี้
แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือ เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งก็ได้เก็บมันกลับไป
เมื่อกลับมายังที่เดิม ผู้อาวุโสเฟิงก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน “ท่านผอ. ไม่ว่าท่านนั้นต้องการทำสิ่งใด ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่คิดจะขัดขวาง”
“แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นสิ่งที่ทำร้ายวิหารศักดิ์สิทธิ์”
“หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปแล้ว วิหารศักดิ์สิทธิ์…ไม่สิ แม้แต่สำนักของเราดีไม่ดีจะเหลือเพียงเถ้าธุลี”
“ดังนั้นโปรดให้ข้าได้ทำลายสิ่งนี้ด้วยเถอะ”
เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งเมื่อได้ยินก็สบถออกมา “ผู้อาวุโสเฟิง เจ้านี่ช่างโง่งมนัก”
ในตอนนี้ ศิษย์เบื้องล่างได้แบ่งแยกออกมาเป็นสองฟากฝั่งเรียบร้อยแล้ว
ส่วนศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้น ทุกคนแล้วแต่แสดงออกมาอย่างตื่นเต้นยินดีจนใบหน้าแดงฉาน พร้อมใจที่มุ่งหวังอยากจะได้รับอาหารดีๆอย่างอิ่มหมีพีมันเฉกเช่นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า
ส่วนศิษย์กลุ่มเหมันต์จันทรานั้น ในตอนนี้ทุกคนเตรียมที่จะลงมือหมายจะเด็ดหัวศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตกันทั่วทุกตัวคน
เฉินเฉียงเมื่อเห็นฉากนี้จึงได้ชี้ไปยังศิษย์เบื้องล่างแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสเฟิง เจ้าเองก็น่าจะเห็นแล้วนะ”
“หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สำนักเราต้องแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยเวลาอีกไม่ช้านาน”
“หากเจ้ายังมีความคิดป่วยๆแบบนี้อยู่ล่ะก็ ลองหันกลับไปดู หากปัญหานี้เจ้าคิดว่ามันแก้ได้เพียงแค่ทำลายกำไลนี้ลง เจ้าก็จงทำให้ข้านั้นดูหน่อยแล้วกัน”
“การปิดซ่อนทำลายสิ่งนี้ไปมันได้อะไรขึ้นมากัน”
“เจ้ากับข้าต่างก็เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต มันไม่ผิดที่พวกเรานั้นจะดื่มเลือดเป็นอาหารตรงๆด้วยซ้ำ”
“แต่มันต้องไม่ใช่การจับใครก็ได้มาดื่มกินแบบนี้”
“แถมในตอนนี้ภาพฉากนี้ก็เผยแพร่ไปทั่วโลกปีศาจแล้ว เจ้าจะทำลายมันไปทำซากอะไร”
“เหตุผลที่ข้าต้องการให้ทุกคนได้เห็นไม่ใช่เป็นการเอามาล่อตาล่อใจเจ้าให้ทำลายมันแทนข้า แต่ข้าต้องการใช้มันเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ลับหลัง กว่าพวกเราจะรู้ตัวก็คงยากจะรับมือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้ง ผู้อาวุโสเฟิงก็มีใบหน้าที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ท่านผอ. ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้สำนึกผิดแล้ว โปรดให้อภัยข้าด้วย”
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นห้ามปราม “ช่างมัน ดูกันต่อไป เอาไว้พวกเราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันทีหลัง”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้โยนกำไลสื่อสารขึ้นไปอีกครั้ง
และในครั้งนี้เป็นภาพฉากเหตุการณ์ที่เมืองหยานกั๋น แห่งภูมิภาคตะวันออก
“นี่…คงไม่ใช่เมืองหยานกั๋นหรอกนะ”
ผู้อาวุโสตงเอามือขยี้ตาไปมาในทันที ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นท่าทางนี้ เขาก็รีบถามออกมา “….ผู้อาวุโสตง ท่านคุ้นเคยกับที่นี่งั้นรึ”
ผู้อาวุโสตงเมื่อได้ยินก็รีบหันไปตอบเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งด้วยความเคารพ “ท่านผอ. ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้แต่เดิมเป็นคนของที่นั่น ข้าเติบโตที่นั่น เพราะได้อยู่ที่นั่น ข้าถึงได้มายืนอยู่ที่จุดจุดนี้ได้”
“เป็นเช่นนั้น….อืมมมม” เฉินเฉียงได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับคิดบางสิ่งขึ้นมา หลังจากนั้นเขาใช้พลังฟ้าดินจากโลกใบเล็ก ระเบิดกำไลสื่อสารนี้ทิ้งไปในทันที
“เอ๋ เกิดอะไรขึ้น”
เหล่าศิษย์ทุกคนที่กำลังเฝ้าดูฉากเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ต่างก็ร้องอุทานออกมาและหันไปดูเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งกันอย่างเป็นตาเดียว
แม้แต่กัวเหลียงและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
-กัปตัน กำไลสื่อสารมีปัญหางั้นรึ ท่านจะให้ข้าใช้อันอื่นแทนรึเปล่า-
เฉินเฉียงลอบส่ายหน้าบอกปัดไปเล็กน้อย
หากเขาไม่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสตงก่อนหน้านี้ เขาเองก็คิดจะเปิดเผยเรื่องราวที่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนนั้นได้ก่อไว้โดยการกวาดล้างเมืองเมืองหนึ่ง
แต่ถ้าเขาทำขึ้นมาแล้วล่ะก็……