ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 476 เชื้อเชิญ
บทที่ 476 เชื้อเชิญ
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสตงได้แสดงออกมาด้วยใบหน้าที่สับสนงุนงงและสงสัย
นั่นก็เพราะ ฉากเหตุการณ์บ้านเกิดเมืองนอนของเขาที่กำลังแสดงออกมานั้น ได้ถูกทำลายไปก่อนที่เขาจะได้รับรู้เรื่องราวสำคัญ
แถมฉากสุดท้ายที่ก่อนตัดไปนั้นยังเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์สองคนกำลังพูดออกมา
“ไอ้หนู เจ้าพูดถูกแล้ว ภาพเหตุการณ์ที่เจ้าแสดงให้ดูนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วมันยังไงล่ะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะหลบหนีจากพวกข้าได้รึ”
“ไม่สิ ไม่ใช่แค่เจ้า แม้แต่ผู้คนของเมืองนี้ก็อย่าได้หลุดรอดไปได้หลังจากรู้ความจริง….”
ด้วยประโยคทิ้งท้ายนี้เองในตอนนี้ทำให้ผู้อาวุโสตงที่ได้ยินถึงกับเกิดอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ท่านผอ. เกิดอะไรขึ้นต่อไปกัน”
เมืองหยานกั๋นนั้นเป็นบ้านเกิดของครอบครัวเขา
แต่ฉากที่เห็นเมื่อครู่นั้น กลับทำให้เขานึกภาพฉากเหตุการณ์หนึ่งได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…..การฆ่าล้างเมือง
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งไม่ตอบโต้ ผู้อาวุโสตงก็ได้กัดฟันแน่น ก่อนจะป้องมือและโค้งคำนับร้องขอออกมา “ท่านผอ. โปรดอนุญาตให้ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้กลับไป ปเยี่ยมเยียนครอบครัวด้วย”
เหตุผลที่เฉินเฉียงหยุดการฉายภาพบันทึกเหตุการณ์ไว้กลางคันนั้นเป็นเพราะเขากลัวว่าผู้อาวุโสตงจะสติหลุดและคิดสู้เป็นตายกับผู้อาวุโสคนอื่นๆของสำนักที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นท ทางหุ่นเชิดโลหิตเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าการต่อสู้เป็นตายระหว่างผู้บ่มเพาะบนเส้นทางยุทธ์และหุ่นเชิดโลหิตนั้นจะไม่ใช่เรื่องแปลกแตกต่างหรือเลวร้ายแต่อย่างใด แต่นั่นก็ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และหากทั้งสองเส ส้นทางประหัตประหารกันในตอนนี้ สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าจะตกเป็นเป้าหมายของวิหารศักดิ์สิทธิ์ในทันที
อย่างไรก็ตาม หากปมในใจของผู้อาวุโสตงผู้นี้ยังไม่อาจคลี่คลายไป นี่จะทำให้เขาไม่พร้อมรับมือกับภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาในภายภาคหน้า
และอาจจะเกินเลยไปถึงขั้นไม่อาจควบคุมได้อีก
“ผู้อาวุโสตง เจ้านั้นสามารถกลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ข้าเชื่อว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทำไมเจ้าไม่รอหลังการประชุมเสร็จล่ะ”
ถึงแม้ในตอนนี้ หัวใจของผู้อาวุโสตงจะร้อนรุ่มอย่างไม่อยากจะอยู่สุข แต่ในเมื่อเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งเอ่ยปาก เขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนไว้
ภาพฉากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นั้น แม้จะพึ่งแสดงออกไปได้เพียงเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอให้เหล่าศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตและศิษย์แผนกวิชายุทธ์ต่างก็หันหน้าฮึ่มแฮ่ใส่กันไปเรียบร้อยแล้ ว และพร้อมลงมือต่อกันได้ทุกเมื่อ
ส่วนศิษย์แผนกปรุงยาและศิษย์แผนกวัตถุวิญญาณนั้นวางตัวเป็นกลางกับเรื่องนี้
และแน่นอนว่าศิษย์แผนกอื่นเองก็ไม่คิดจะใส่ใจ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรในสายตาพวกเขา
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังใกล้จะปะทุ เฉินเฉียงก็ได้บินขึ้นฟ้าไป พร้อมส่งเสียงที่ก้องกังวานออกมา
“ศิษย์ทุกคน จงฟัง”
“สิ่งที่พวกเจ้าพึ่งเห็นไปนั้นเป็นสิ่งที่สามารถประสบพบเห็นได้ทั่วไปและเป็นที่คุ้นตาในโลกปีศาจแห่งนี้”
“แต่หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกควร โลกปีศาจแห่งนี้สุดท้ายแล้วจะย่อยยับในที่สุด”
“พวกเจ้าลองคิดดูว่าในหมู่ผู้คนที่ถูกสังหารไปนั้น มันสามารถรับประกันได้ยังไงว่าคนเหล่านั้นจะไม่มีคนที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้าที่ตกเป็นเหยื่อ”
“ต่อให้พวกเจ้านั้นจะมีชีวิตอันดีอยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้ แต่นั่นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนที่เจ้าผูกพันด้วยไม่ต้องตกกลายเป็นอาหารของหุ่นเชิดโลหิตเหล่านั้น”
คำพูดนี้อย่าว่าแต่ศิษย์แผนกอื่นเลย แม้แต่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตก็ยังต้องเงียบกริบ
ถึงแม้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตจะเป็นผู้ที่มีนิสัยเย็นชาโดยธรรมชาติ แต่พวกเขาก็ยังเคยถูกชุบเลี้ยงมาอย่างดีด้วยพ่อแม่ของตน
หากว่าจะให้พวกเขาเลือกว่าให้ใครที่พวกเขาเคารพรักต้องตกเป็นเหยื่อของสัตว์ปีศาจที่ฝังอยู่ในร่าง พวกเขาก็ยังต้องพบเจอความยากลำบากในการตัดสินใจ
ขนาดศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตยังต้องนิ่งคิด อย่าว่าแต่ศิษย์แผนกวิชายุทธเลย แม้แต่ศิษย์แผนกที่วางตัวเป็นกลางอย่างศิษย์แผนกปรุงยาและศิษย์แผนกวัตถุวิญญาณก็ต้องนิ่งอึ้งไป
แต่นี่ก็ทำให้ศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่หัวรุนแรง ตะโกนออกมาอย่างดังลั่น “ฆ่าไอ้พวกหุ่นเชิดโลหิตให้หมดสิ้น”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา มันก็ราวกับได้จุดชนวนความโกรธแค้นให้กับหมู่เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธทั้งมวลจนทำให้ทุกคนรีบชักกระบี่ประจำกายออกมา เตรียมที่จะถาโถมฟาดฟันกับศิษย์แผนก หุ่นเชิดโลหิต
เมื่อเห็นฉากเหตุการณ์ที่กำลังจะปะทุ ผู้อาวุโสเฟิงรีบรุดขึ้นหน้าออกมาห้ามทัพในทันที “พวกเจ้าทุกคนจงหยุด”
เมื่อทุกคนได้สงบสติอารมณ์ลงและเริ่มเงียบขรึม ผู้อาวุโสเฟิงก็ได้รีบพูดออกมาในทันที “ท่านผอ. หากพวกเราปล่อยเอาไว้ ข้าเชื่อว่าต้องเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ระหว่างศิษย์ทั้งสองแผน นกจนกว่าจะล้มตายหมดสิ้นกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่”
เฉินเฉียงก็ได้พูดตอบ “ผู้อาวุโสเฟิง ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้าไปเมื่อครู่ หากว่าเจ้าป่วยก็ต้องรักษาให้ถูกที่ หากว่ามีปัญหา มันก็ต้องแก้ให้ถูกทาง”
“และในตอนนี้ ข้าก็เชื่อได้ว่าเหล่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตบนโลกปีศาจแห่งนี้ล้วนแล้วถูกหมายหัวจากผู้คนทั่วไปและผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอื่นเรียบร้อยแล้ว”
“หากว่าพวกเรายังปล่อยเรื่องนี้ต่อไปโดยไม่เร่งจัดการ ที่เหลืออยู่นั้นก็คือการเฝ้ารอวันที่ผู้คนบนโลกนี้จะก่อการปฏิวัติ”
“และนั่นคือสถานการณ์ที่แม้แต่สำนักเต๋าของเราเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ต้องเผชิญ และก่อนจะถึงเวลานั้นจริง ข้าว่าจะดีกว่าหากจะให้ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้นได้รับรู้สถานะขอ องตนไว้ก่อนที่จะต้องพบเจอของจริง”
“หากพวกเขากล้าจะทำให้คนอื่นโกรธเกรี้ยว ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับความโกรธเกรี้ยวนั้นคือ และเมื่อถึงเวลานั้นจริงล่ะก็ ก็อย่าได้มาหาว่าข้าผู้นี้ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือแม้แต่ การบอกว่าข้าปล่อยให้คนอื่นมาย่ำยีพวกเดียวกันซะล่ะ”
คำพูดของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งนี้ ได้แสดงออกมาถึงความเท่าเทียมอย่างที่สุดราวกับสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ไม่ปาน นี่ทำให้ในตอนนี้ผู้คนที่ได้ยินไม่อาจจะหาคำหรือเหตุผลมาแย ย้งได้ แม้แต่ศิษย์แผนกเห็นเชิดโลหิตรวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นๆที่เดินบนเส้นทางบ่มเพาะเดียวกัน ล้วนแล้วแต่บังเกิดอาการครั่นคร้ามกันทั่วทุกตัวคนถึงคำที่เหมือนจะเป็นการเตือนจากเฉ ฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งนี้
แต่กับศิษย์แผนกวิชายุทธ์แล้ว พวกเขากลับนึกเห็นแตกต่างไปอีกทางหนึ่ง
พวกเขานั้นกลับรู้สึกราวกับพึ่งจะได้รับความเท่าเทียมขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา ไม่สิ พวกเขานั้นรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังได้อยู่ในสถานะที่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตได้รับ บมาก่อนหน้าถึงจะถูก
ยังไม่รวมถึงคำพูดของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งนั้นได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ว่าเป็นการหนุนหลังแนวทางของกลุ่มเหมันต์จันทราอย่างเต็มสูบ รวมถึงสายตาเกลียดชังที่ฝังลึกเข ข้าไปในดวงตา ยามที่เขาได้จ้องมองศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตก่อนหน้านี้ และดูเหมือนจะยิ่งฝังลึกมากยิ่งขึ้นไปทุกชั่วขณะก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งนั้นตัวราวกับน้ำนิ่งที่ไหลลึกแล้ว ผู้อาวุโสเฟิงได้ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำออกมา “ท่านผอ. ที่คนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มาหาท่ านเมื่อวันก่อนนั้นเป็นเพราะต้องการพูดคุยกับท่านในบางสิ่ง”
“น่าเสียดายที่ท่านนั้นได้ออกไปล่าหัวคนทรยศอย่างหลิวเซียนจึงทำให้ไม่ได้พบเจอกัน แต่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ฝากข้อความแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อส่งต่อให้กับท่าน”
“ในตอนนี้สิ่งมีชีวิตประหลาดได้ออกมาปรากฏทั่วแว่นแคว้น แถมยังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกมุมโลก”
“วิหารศักดิ์สิทธิ์จึงได้ขอให้สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าส่งศิษย์ไปช่วยเหล่าผู้คนในโลกหล้า ประดุจดั่งน้ำที่คอยดับไฟหายนะ”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็นิ่งอึ้งไป
สิ่งมีชีวิตประหลาด…
มันคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้คงอยู่ในโลกปีศาจงั้นรึ
“คงไม่ใช่ว่าไอ้พวกสัตว์ปีศาจหลุดออกมาจากหุบเขาเสียงกระซิบหรอกนะ”
เมื่อเฉินเฉียงพูดราวกับบ่นออกมา ผู้อาวุโสเฟิงเมื่อได้ยินก็แสดงออกมาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วพูดตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียด แต่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั นต้องการพูดคุยกับท่านด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าเขานั้นต้องการให้ท่านไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์”
“อืมมมม เดี๋ยวข้าจะไปที่นั่นทีหลังแล้วกัน” เฉินเฉียงพยักหน้ารับ
ด้วยการที่เขาในตอนนี้อยู่ในสถานะของผอ.สำนักศึกษาแห่งสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า นี่จึงทำให้เขานั้นเข้าถึงสิ่งต่างๆได้มากขึ้น
และนี่ทำให้เขาวางแผนที่จะเก็บเกี่ยวสมุนไพรหมุนเวียนโลหิต และล้วงข้อมูลที่ต้องการให้ได้ในครั้งนี้
แถมก่อนหน้านี้ผอ.จ้งยังบอกอีกว่าฮั่นจุยในตอนนี้ได้กลายเป็นผู้คุมหอของวิหารศักดิ์สิทธิ์ นี่ทำให้เขานั้นอยากจะเข้าไปดูหน้ามันผู้นั้นสักหน่อย
และหากประสบโอกาสเหมาะ เขาจะใช้โอกาสนี้ฆ่าฮั่นจุยเพื่อแก้แค้นให้พ่อของเขา
“ศิษย์ทุกคนจงฟัง พวกเจ้าคงได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเฟิงแล้วใช่หรือไม่”
“ในตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตประหลาดได้ปรากฏตัวและสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง”
“แต่ข้าเองก็ต้องบอกพวกเจ้าเอาไว้คำหนึ่ง”
“หากศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตคนใดก็ตามที่ฉวยโอกาสนี้ในการหาผลประโยชน์จากผู้บริสุทธิ์ คนที่เห็นสามารถฆ่ามันผู้นั้นได้โดยไม่ต้องปรานีหรือไต่ถาม”
คำพูดของเฉินเฉียงนั้นได้แสดงออกมาถึงความจริงจังด้วยสายตาที่เฉียบคมอย่างเอาจริง
ถึงแม้มันจะไม่พอที่จะทำให้ทุกคนต้องตระหนัก ต่ออย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนต้องคิดแล้วคิดอีกในสิ่งที่ตนเองกระทำ
“ผู้คุมกฎสำนัก ผู้อาวุโสตง ก่อนจะแยกย้าย ให้พวกเจ้าจัดระเบียบศิษย์หอผู้คุมกฎใหม่ซะ และต้องวางตัวกลับศิษย์ทุกคนในแต่ละแผนกอย่างเท่าเทียม ไม่ลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกเป็นอัน นขาด”
หลังจากสั่งการออกไปแล้ว เฉินเฉียงนั้นก็หมายที่จะรีบเร่งจากไป แต่ก็ถูกผู้อาวุโสตงรั้งเอาไว้ ก่อนที่จะร้องขอกลับบ้านเกิด
“ผู้อาวุโสตง ข้ากำลังจะไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเองก็ตามข้ามาแล้วกัน”
หลังจากศิษย์ทุกคนแยกย้ายไปแล้ว เฉินเฉียงก็แอบส่งข้อความไปหาเจิ้งยี่
ที่ด้านนอกเมือง ในบ้านหลังหนึ่งด้านหลังของหอการค้าเหมันต์จันทรา เฉินเฉียงได้สร้างกำแพงเขตแดนล้อมรอบบ้านหลังนี้ไว้
“ผอ. ท่าน...”
ผู้อาวุโสตงในตอนนี้แสดงออกด้วยท่าทางสับสนในทันที
เฉินเฉียงได้หยิบไวน์ออกมาไหหนึ่ง ก่อนจะรินลงไปในสองชามตรงหน้าของเขา
“ผู้อาวุโสตง ท่านขอกลับบ้านเกิดที่เมืองหยานกั๋น แต่หากที่นั่นไม่ได้คงอยู่แล้ว ท่านจะทำสิ่งใดต่อกัน”