ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 482 เขตแดน
บทที่ 482 เขตแดน
“ผอ.จ้ง ท่านผู้คุมหอได้ส่งข้อความมาหาข้าเมื่อสองวันก่อน ท่านขอให้ข้านั้นไปหาเจ้าที่สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า”
“ส่วนเรื่องที่จะไปพูดคุยด้วยนั้นก็จะเป็นเรื่องของเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในหลายๆเมืองในโลกปีศาจ รวมถึงการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก ที่อยู่ๆพวกมันก็ได้ปรากฏตัวขึ นมาทั่วโลกปีศาจทั้งห้าภูมิภาค จะเว้นก็เพียงป่าใต้ดินเพียงเท่านั้น”
“แถมในตอนนี้บางพื้นที่ยังมีเชื้อโรคที่ไม่รู้จักได้ปรากฏขึ้นมา และคอยกัดกร่อนชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้ และสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วทำให้สถานการณ์ของโลกปีศาจนั้นไม่มั่นคงไปทั้งหมดท ทั้งสิ้น”
“ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้คุมหอจึงหวังจะให้ผอ.จ้งจัดสรรศิษย์ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า จัดตั้งเป็นกองกำลังร่วมระหว่างสำนักทั่วทั้งโลกปีศาจให้กลายเป็นกองกำลังหนึ่ง หนึ่งคือช่วยกันจัด ดการสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก อีกหนึ่งคือเพื่อสรรหาคนที่มีความรู้ความสามารถด้านการปรุงยาเพื่อปรุงยาขจัดพิษจำนวนมากช่วยเหลือผู้คนบนโลกใบนี้”
“สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักรึ” เฉินเฉียงได้ถามออกมาด้วยความสงสัย “ผู้ตรวจการหลิว ท่านผู้คุมหอได้บอกออกมาบ้างรึเปล่าว่าไอ้สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักที่ว่านี่มันไม่รู้จักแบบไหนกัน น ไหนจะเรื่องไวรัสอะไรนั่นอีก”
หลิวซินเมื่อได้ยินก็ตอบกลับออกมาได้ในทันที “ผอ.จ้ง ข้าทำหน้าที่เป็นเพียงคนส่งสารเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นข้าหาได้รู้ไม่”
“แต่ในเมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกรายงานออกมาโดยผู้คนเบื้องล่าง ข้ายังได้ยินมาอีกว่าพวกมันบางตัวมีปีกที่แปลกประหลาด บางตัวมีแม้แต่ปีกสีเงินมันวาว แต่กระนั้น พวกมันกลับทรงพล ลังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และดูแข็งแกร่งสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้มากนัก”
“ส่วนเชื้อโรคที่ไม่รู้จักนั้น ผอ.จ้งจะเข้าใจเองเมื่อไปยังป่าใต้ดิน ข้าได้ยินว่าที่นั่นเป็นสถานที่แรกเริ่มที่เชื้อโรคนี้ปรากฏขึ้นมา”
“ด้วยการที่เรื่องนี้เร่งด่วนมาก ข้าหวังว่าผอ.จ้งจะรีบสนองรับต่อคำขอของเจ้าของหอได้และไม่ทำให้ท่านต้องกังวลอีก”
โดยที่หลิวซินผู้นี้ยังไม่ทันจะได้พูดจบดี เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปยังตึกตรงหน้าของเขา
หากว่านับตามคำพูดของหลิวซินผู้นี้ ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เขากล่าวพึงนั้นน่าจะเป็นทักษะพิเศษของมนุษย์กลายพันธุ์
และหากว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริง สำหรับเขามันก็ถือว่าดีมากนัก แต่นี่เองก็ทำให้เขานั้นอดที่จะนึกถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักที่เขาเคยพาคนในกองกำลังเทียนเว่ยไปสู้รบตบมือด้ วยที่เขตกันหนัน
และไอ้คนที่สร้างสิ่งมีชีวิตพวกนั้นขึ้นมาก็คือฮั่นจุย
แต่ฮั่นจุยผู้นั้นมันจะปล่อยไอ้พวกสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งเหล่านั้นในโลกปีศาจทำไมกัน
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือหลังจากฮั่นจุยมันปล่อยสัตว์คลั่งพวกนี้ไปแล้ว มันยังมีหน้ามาขอให้สำนักเต๋าต่างๆทั่วโลกปีศาจออกมาเก็บกวาดให้มันเสียอีก
“ท่านผู้ตรวจการ ในเมื่อมีเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้ปรากฏ ทำไมวิหารศักดิ์สิทธิ์ถึงไม่ส่งคนออกไปช่วยกัน”
หลิวซินเมื่อได้ยินก็รีบพูดแก้ตัวออกมา “นี่เป็นความคิดของผู้คุมหอ ข้าเป็นเพียงผู้ส่งสาร แล้วข้าจะไปกล้าถามท่านได้อย่างไรกัน”
“ผอ.จ้ง เรื่องนี้ถูกตัดสินใจไว้แล้วตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ข้าเองก็หวังเพียงว่าท่านนั้นจะรีบเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ข้า เองก็ยังต้องถูกท่านผู้คุมหอทวงถามเช่นกัน จะดีกว่าหากท่านไม่ปล่อยให้ท่านผู้คุมหอกล่าวโทษได้”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็รับรู้ได้ว่าคงไม่อาจได้รับรู้ข้อมูลอะไรได้อีก เขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่จะถามไป
“ตกลง ท่านผู้ตรวจการ ข้าจะไปจัดการเรื่องราวเหล่านี้ แต่….ในตอนนี้ข้านั้นไม่มีสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตมากพอที่จะ….”
โดยที่ไม่รอให้เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งพูดจบ หลิวซินก็เผยรอยยิ้มบางๆขึ้นมา “ผอ.จ้ง สำนักสวรรค์ชั้นฟ้าต้องได้รับอนุญาตก่อนถึงจะเก็บเกี่ยวสมุนไพรหมุนโลหิตตั้งแต่เมื่อ อไหร่กัน”
“เจ้านั้นสามารถไปเก็บเกี่ยวพวกมันที่ด้านนอกเมื่อไหร่ก็ได้เท่าที่เจ้าต้องการ”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็ลอบยินดีขึ้นมาในใจ ก่อนจะกล่าวลาหลิวซินและผู้ตรวจการอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินกลับไปตามทางที่เดินเข้ามา
แต่ด้วยการที่เขานั้นมาถึงเขาโรคาทั้งที มีหรือที่เขาจะจากออกไปง่ายๆได้ยังไง
โดยเฉพาะการที่ไอ้เวรตะไลฮั่นจุยผู้นั้นอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่หาวิธีเข้าใกล้เพื่อได้พบเจอ
ตรงบริเวณทางขึ้นเขาโรคา เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผอ.จ้งได้พบเจอหลิวเสี่ยวหลันและคนอื่นๆอีกครั้ง
“ท่านผอ. ทุกอย่างเรียบร้อยไหมครับ”
เฉินเฉียงส่ายหน้าไปมาในทันที “จะเรียบร้อยโดยง่ายได้เยี่ยงใด เสี่ยวหลัน ข้าจะรีบต้องนำศิษย์จากหลากหลายสำนักไปทำงานบนโลกปีศาจ ข้าต้องการรวบรวมสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตจำนวนมาก”
“ไม่มีปัญหา ท่านผอ. ท่านต้องการจำนวนเท่าใด”
“มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ” จากคำพูดของหลิวเซียนที่เป็นถึงผู้ตรวจการนั้น เฉินเฉียงสามารถนำสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตไปเท่าไหร่ก็ได้ นั่นสมควรจะไม่จำกัดแต่อย่างใด
ไหนจะการที่มีหลิวเสี่ยวหลันและพวกทั้งหมดหกคนนี้ที่ต้องการจะสร้างความดีความชอบกับเขาผู้นี้อยู่อีก
“เสี่ยวหลัน ข้าฝากพวกเจ้าจัดการให้หน่อยแล้วกัน ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องจัดการอยู่อีก”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็เดินแยกออกมา
หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้ส่งกระแสจิตออกไปโดยรอบ หลังจากไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด เขาจึงใช้พลังเหนือมนุษย์หลบหนีแสงและทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาทะลวงดำดินไป
พลังเหนือมนุษย์หลบหนีแสงระดับเก้านี้ทำให้เฉินเฉียงนั้นหายตัวไปได้ถึงห้าวินาที
ด้วยการที่เขาเองก็รับรู้ถึงการป้องกันอย่างเต็มพิกัดของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เขาจึงไม่คิดประมาทแต่อย่างใด
และเพื่อไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย เฉินเฉียงได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นหลิวเซียน ก่อนจะขึ้นมาจากผืนดิน
ด้วยการที่หลิวเซียนนั้นถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศของวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ต่อให้เขาถูกพบตัวก็ไม่มีผลอะไรกับเขา
แต่หากว่าเขานั้นยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของผอ.จ้งอยู่ล่ะก็ ไม่เพียงแค่เขาจะมอดม้วย ดีไม่ดีกลุ่มเหมันต์จันทรานับหมื่นจะตกตายกลายเป็นอาหารโลหิตไปในคราวเดียว
นี่จึงทำให้เมื่อเขามั่นใจในที่อยู่ของฮั่นจุย เฉินเฉียงจึงหมายจะเข้าไปเพียงตรวจสอบไม่คิดทำอย่างอื่น เขานั้นอยากจะรู้ว่าไม่ได้พบเจอไอ้ตัวเลวชาตินี้มาสองสามปีแล้ว มันไปทำ ำอีท่าไหนถึงได้กลายเป็นผู้คุมหอของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้แบบนี้
และหากมีโอกาส ต่อให้เขาจะต้องเสี่ยงไปสักหน่อย แต่เขาจะอาศัยโอกาสนี้แก้แค้นฮั่นจุยเพื่อล้างแค้นให้กับเฉินเทียนเว่ย พ่อของเขา
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉียงจึงรีบมุ่งตรงไปยังหอหลักของวิหารศักดิ์สิทธิ์ในทันที
-อะไร-
ตรงหน้าของเฉินเฉียงในตอนนี้เขาเห็นบอลแสงลูกหนึ่งที่ขนาดใหญ่ยักษ์อย่างชัดเจน
มันดูราวกับเป็นกำแพงเขตแดนขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นเอาไว้อย่างสมบูรณ์
และในตอนนี้มันอยู่ในลักษณะถูกฝังเอาไว้ในพื้นดินครึ่งหนึ่งและอยู่เหนือพื้นดินครึ่งหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงเคยเห็นของอย่างนี้มาก่อน
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่กำแพงเขตแดนแต่อย่างใด แต่รูปร่างของมันทำให้เขานั้นอดที่จะนึกเช่นนั้นไม่ได้
หากว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นผู้ควบคุมการเปิดใช้งานเขตแดนนี้ล่ะก็ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้เข้าไปอย่างหลบซ่อน
แต่ในเมื่อเป้าหมายของเขาอยู่ตรงหน้า มีหรือที่เขาจะถอยกลับไปเฉยๆ
เป็นไงก็เป็นกันวะ
เฉินเฉียงมั่นใจในทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของตนอย่างที่สุด
ต่อให้มันเป็นกำแพงเขตแดนที่แข็งแกร่ง แต่อย่างน้อยๆมันก็ยังเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์
ถึงแม้เขาจะไม่รู้เรื่องเขตแดนพวกนี้มากนัก จะให้บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ว่าได้ อย่างมากเขาก็ได้พบเห็นมันมาจากหอตำราก็เพียงเท่านั้น
เท่าที่เขาอ่านตำราเหล่านั้นดู เขตแดนนั้นสมควรจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าขอบเขตที่คนผู้หนึ่งได้สร้างขึ้นมา และยอมรับเฉพาะคนที่สร้างมันขึ้นมาเท่านั้นในยามที่มันถูกสัมผัส และจะ ะกีดกันหรือทำอะไรกับผู้อื่นหากไม่ใช่ผู้ที่สร้างอนุญาตให้กระทำหรือผ่านล่วงเข้าไป
นึ่จึงทำให้เฉินเฉียงนั้นไม่คิดที่จะแตะต้องเขตแดนตรงหน้า กลับกัน เขาได้เปิดใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาแทน
“ฟุบ”
เฉกเช่นเดียวกับไก่ที่จิกกะเทาะเปลือกหอย เฉินเฉียงได้เข้าไปในเขตแดนได้อย่างง่ายดาย