ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 484 แก่นหุ่นเชิด
บทที่ 484 แก่นหุ่นเชิด
“อีกอย่างนึง” เฉินเฉียงได้ถามต่อ “ท่านผู้อาวุโสตง ท่านรู้บ้างรึเปล่าว่าสำนักสวรรค์ชั้นฟ้ามีศิษย์จำนวนเท่าไหร่ที่ยังไม่ได้สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตน่ะ”
เมื่อผู้อาวุโสตงได้ยินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา
“ท่านผอ.จ้ง ศิษย์แผนกปรุงยาและแผนกวัตถุวิญญาณส่วนใหญ่จะได้รับพวกมันแล้ว หากจะให้พูดถึงศิษย์จากทั้งสี่แผนกแล้ว แผนกวิชายุทธของข้ามีคนที่ได้รับมันเพียงไม่ถึงสองหมื่นคนดี นี่ทำให้พวกข้านั้นรู้สึกกดดันมาโดยตลอด”
หากนับตามที่ตงติ๋นพูดแล้วเฉินเฉียงคาดว่าน่าจะเป็นศิษย์ของแผนกวิชายุทธที่เข้าร่วมกลับกลุ่มเหมันต์จันทราสามหมื่นกว่าคนที่หมายจะบั่นหัวศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตในทุกจังหวะที่มีโอกาส
ยังดีที่เขาได้รับสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตมาจากเขาโรคามากมายทำให้เขาไม่ต้องกังวลใจ
แต่เป็นตอนนี้เองที่ตงติ๋นได้พูดประโยคต่อไปออกมา และนี่ทำให้เฉินเฉียงประหลาดใจขึ้นมาในทันที
“ท่านผอ.จ้ง สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเรานั้นไม่เคยขาดสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตสำหรับศิษย์ทุกคน เพียงแต่การที่พวกเราจะเปิดประตูเก็บพวกมันได้นั้นต้องการกุญแจจากผู้อาวุโสสูงทั้งสี่แผนกเพียงเท่านั้น”
“แล้วพวกเราจะรออะไรกันอยู่อีกล่ะ” เฉินเฉียงตบโต๊ะด้วยมือของตนไปฉาดหนึ่ง “ผู้อาวุโสตง รีบไปเรียกผู้อาวุโสสูงอีกสามแผนกไปที่หอฝึก”
ตงติ๋นเมื่อได้ยินก็ยิ้มแหยๆขึ้นมา “ผอ. ข้าเกรงว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้น ถึงแม้ผู้อาวุโสอีกสองแผนกจะว่าง่าย แต่ไอ้แก่เฟิงผู้นั้นมันคุยด้วยยากอย่างแน่นอน”
“เหตุผลนั่นก็เพราะสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตกับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้นเปรียบได้ดั่งดาบสองคม ไอ้แก่เฟิงผู้นั้นจึงค่อนข้างจะมีปัญหากับการแจกจ่ายสมุนไพรเหล่านี้ในทุกๆครั้ง และข้าเชื่อว่าในครั้งนี้ไอ้แก่นี่จะไม่เห็นด้วยเช่นเดิม”
เฉินเฉียงยิ้มกริ่มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยิน “ท่านผู้อาวุโสตงไม่ต้องคิดมากในเรื่องนี้ เพียงเรียกมันมาแต่บอกเพียงว่าข้านั้นมีเรื่องต้องพูดคุยกับเขาให้มาที่นี่ก็พอ”
ตงติ๋นก็เหมือนจะเข้าใจในความนัยที่เฉินเฉียงต้องการจะสื่อจึงรีบออกจากห้องไป
ไม่นานผู้อาวุโสเฟิงก็ได้มาถึง
“ท่านผอ.ท่านเรียก….”
ก่อนที่เขาจะได้ถามคำถามจบ รูอันใหญ่โตก็ปรากฏอยู่ที่หน้าอกของผู้อาวุโสเฟิง
ในเมื่อชายคนนี้มีใจแต่เพียงคิดจะตั้งแง่ เฉินเฉียงก็ย่อมไม่ปล่อยให้กลายเป็นหอกมาคอยทิ่มตำให้เสียงาน
แต่เพื่อให้เขายังคงจัดการศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทั้งสามหมื่นกว่าคนให้อยู่ในร่องรอยได้นั้น เขาจึงให้หยานเสวี่ยฝังแผ่นแก่นพลังงานลงในร่างของผู้อาวุโสเฟิง หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ ผู้อาวุโสเฟิงก็ได้ตกอยู่ใต้อาณัติของหยานเสวี่ยไปอีกคน
การที่เขาไม่อธิบายให้ตงติ๋นฟังในเรื่องนี้ก็เพื่อไม่ให้ตงติ๋นและศิษย์แผนกวิชายุทธเคลือบแคลงสงสัยมากมายนัก
และในตอนนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าตกอยู่ในมือของเฉินเฉียงเรียบร้อยแล้ว
ส่วนศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตอีกสามหมื่นคนนั้น เขาคิดจะปล่อยไปก่อนเพื่อไม่ให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ตื่นตัวและยื่นมาเข้ามายุ่งในตอนนี้
หลังจากคลังเก็บสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเปิดออก เฉินเฉียงก็นำสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตกว่าแสนต้นเก็บไว้กับตัวในทันที
นอกจากส่วนของศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว เฉินเฉียงยังมีสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตอยู่อีกหกแสนต้น
หากเขานำสมุนไพรทั้งหกแสนนี้กลับไปยังโลก เขาจะทำให้ผู้คนบนโลกกว่าหกแสนชีวิตมีโอกาสรอดมากขึ้น
“ท่านผู้อาวุโสตง ท่านและผู้อาวุโสสูงอีกสามแผนกไปรวบรวมศิษย์ทั้งหมดให้ไปรวมกันลานฝึกซ้อม”
ด้วยการที่ผู้อาวุโสเฟิงได้รับการฝังแผ่นแก่นพลังงานโดยหยานเสวี่ยไปแล้วเขาจึงว่าง่ายอย่างที่สุด ส่วนผู้อาวุโสสูงอีกองแผนกนั้นล้วนแล้วแต่มีสายสัมพันธุ์อันดีกับตงติ๋นย่อมไม่แข็งขืนแต่อย่างใด
ในจังหวะนี้ เฉินเฉียงได้เข้าไปยังหอตำราเพียงลำพัง
ในที่สุดเขาก็มีใจที่สงบพอจะอ่านตำรา การสังเคราะห์หุ่นเชิดซากศพ ได้สักที
หลังจากที่เขานั้นดูดซับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดซากศพไปพอสมควร ในตอนนี้เฉินเฉียงมีทักษะการหลอมสร้างหุ่นเชิดซากศพระดับสูงไปแล้ว
เพียงแต่ว่าหากเขาต้องการจะสร้างหุ่นเชิดซากศพขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เขาจำเป็นต้องใช้พลังจากสัตว์ปีศาจที่เป็นหุ่นเชิดโลหิต ซึ่งนี่ทำให้เขานั้นไม่สามารถทำได้
เขาจึงคิดจะมาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อว่าจะพบแนวทางอื่น
เขาเชื่อว่าในเมื่อเขานั้นมีทักษะการหลอมสร้างหุ่นเชิดซากศพขั้นสูงอยู่ เขาน่าจะมีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตให้กลายเป็นหุ่นเชิดซากศพได้ และนั่นทำให้ต่อให้คนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มาพบก็ไม่อาจพบเจอได้ว่าศิษย์แผนกนี้ได้สูญสิ้นไปหมดแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้อ่านตำรา การสังเคราะห์หุ่นเชิดซากศพ ไปนั้น ทำให้เขานั้นเข้าใจเพิ่มเติมได้ว่ามันมีเพียงแค่การที่เขานั้นฝังสัตว์ปีศาจไว้ในร่างแล้วเท่านั้นถึงจะสร้างหุ่นเชิดซากศพได้
มันกลายเป็นว่าเขาจะไม่มีทางสร้างหุ่นเชิดซากศพได้เลยหากว่าเขานั้นไม่ใช่ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต
หุ่นเชิดซากศพนั้นมันเป็นเพียงชื่อที่ใช้บ่งบอกลักษณะของร่างที่ถูกผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเปลี่ยนสภาพไปก็เท่านั้น มันไม่หลงเหลือวิญญาณ เฉกเช่นเดียวกับนักรบซากศพของมนุษย์กลายพันธุ์
เพียงแต่นักรบซากศพของมนุษย์กลายพันธุ์นั้นสร้างขึ้นมาโดยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพียงเท่านั้น
สำหรับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้น พวกเขาจะใช้แก่นสายเลือดของสัตว์ปีศาจที่กลายเป็นหุ่นเชิดโลหิตของตนแบ่งถ่ายลงไปในสมองของหุ่นเชิดซากศพ
และด้วยวิธีการนี้เองจึงทำให้หากผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตต้องการจะสร้างหุ่นเชิดซากศพขึ้นมา ควรจะต้องมีหุ่นเชิดซากศพที่อยู่ในระดับราชาปีศาจเป็นอย่างน้อย
นั่นก็เพราะมีเพียงหุ่นเชิดโลหิตตั้งแต่ระดับราชาขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีสติปัญญาขึ้นมา
ถึงแม้สติปัญญาที่ว่ามันจะน้อยนิด แต่มันก็ยังเพียงพอที่จะมอบสติปัญญาเหล่านี้ให้กับหุ่นเชิดซากศพที่ไม่มีวิญญาณหลงเหลือไว้ในร่างแล้ว
และด้วยสติปัญญาที่น้อยนิดนี้เอง ถึงแม้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตและหุ่นเชิดโลหิตที่แบ่งแก่นโลหิตให้มันจะตาย แต่มันก็ยังจดจำใบหน้าของผู้สร้างมันเอาไว้ได้
นอกจากนี้ สิ่งทำให้หุ่นเชิดซากศพจดจำหน้าตาของผู้เป็นนายของพวกมันได้นี้จะมีพลังฟ้าดินอยู่ มันถูกเรียกว่าแก่นหุ่นเชิด และเท่าที่เขาอ่านดูก็พบว่ามันมีพลังฟ้าดินสูงเสียยิ่งกว่าแก่นวิญญาณชั้นสูงเสียอีก
การมาในครั้งนี้ ถึงแม้เฉินเฉียงจะรู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถสร้างหุ่นเชิดซากศพได้ด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยๆมันก็ทำให้เขาเข้าใจถึงความลับของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต และนี่ทำให้เขานั้นไม่ถือว่าเสียเวลาที่มาแต่อย่างใด
แต่ที่เฉินเฉียงยังคงรู้สึกเสียดายอยู่บ้างก็คงเป็นเพียงการที่เขายังไม่อาจหาที่มาของเคล็ดวิชานี้ได้ในการมาครั้งนี้เพียงเท่านั้น
ดูเหมือนว่าความลับส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
และในการที่เขาได้รับรู้ข้อมูลของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตในหอตำราของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้คลายปมในใจเขา แต่มันกลับทำให้เขาสงสัยเพิ่มมากขึ้น
เขารู้สึกว่าปมในใจของเขาเหล่านี้มันจะไม่อาจคลี่คลายลงได้คงมีเพียงหลังจากที่เขาลอบเข้าไปหาหรือโค่นล้มวิหารศักดิ์สิทธิ์ลงได้แล้วเท่านั้น
หลังจากวางตำราการสังเคราะห์หุ่นเชิดโลหิตลง เฉินเฉียงก็พุ่งตรงไปยังสนามฝึกซ้อมในทันที
บนเวที ผู้อาวุโสสูงทั้งสี่แผนก ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ และศิษย์ทั้งสี่แผนกวิชายุทธกว่าสองแสนต่างจ้องมองมาที่เขา
“คารวะ ท่านผอ.”
เมื่อเฉินเฉียงมาถึง ผู้อาวุโสสูงทั้งสี่แผนก ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ และศิษย์จากหลากหลายแผนกกว่าสองแสนคนได้กล่าวขิ้นมาอย่างพร้อมเพรียงและแสดงออกมาอย่างเคารพ
เมื่อชำเลืองมองศิษย์กว่าสองแสนคนที่อยู่หน้าเวทีไปปราดหนึ่ง เฉินเฉียงก็พูดออกมาด้วยท่าทางที่นิ่งเรียบแต่กลับก้องกังวาน “ข้าเชื่อว่าทุกคนในที่นี้คงจะรับรู้จากผู้อาวุโสสูงของพวกเจ้าแล้วว่าในตอนนี้โลกปีศาจของพวกเรานั้นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์”
“และด้วยคำสั่งโดยตรงจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ นี่ทำให้พวกเราสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า กลายเป็นสำนักผู้นำพาสำนักเต๋าทั้งหมดทั่วโลกปีศาจเข้าจัดการกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ประดุจน้ำที่ใช้ดับไฟ”
“และที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในครั้งนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าแบ่งออกเป็นกลุ่มสี่คน โดยมีตัวแทนจากแต่ละแผนก และมุ่งตรงไปยังแต่ละสำนักทั่วทั้งห้าภูมิภาคเพื่อรวบรวมไพร่พลมา”
“ขอให้ศิษย์แผนกปรุงยาและศิษย์แผนกวัตถุวิญญาณจัดเตรียมของใช้ทั้งหมดที่จำเป็นต่อความสามารถของเจ้าทั้งหมดติดตัวไปด้วย”
“และด้วยภารกิจครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หากมีศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตคนใดที่คิดก่อปัญหาหรือแม้แต่การคุกคามสิ่งมีชีวิตบนโลกปีศาจ พวกเจ้าสังหารศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่ทำเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องรีรอ”
“และหลังจากนี้สามเดือน ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่ป่าใต้ดิน”
“เอาล่ะ ผู้อาวุโสสูงทั้งสี่ พวกท่านรีบไปแจกแจงสิ่งจำเป็นให้กับศิษย์ของพวกท่านได้แล้ว”