ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 488 สุสานวีรชน
บทที่ 488 สุสานวีรชน
“พุซซซซซซซซซซ”
หลังจากคลื่นพลังของเขาได้รับการรบกวน ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาก็หดกลับเข้ามาในทันใด และนี่ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาในทันที
ระดับราชาจอมพลขั้นต้น
นี่คือสิ่งแรกที่เฉินเฉียงนึกคิดขึ้นมาหลังจากเปิดเปลือกตาของตน
การต่อสู้ในครั้งนี้ช่วยผลักดันให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับราชาจอมพล
และเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตการบ่มเพาะราชาจอมพลแล้ว พื้นที่ของโลกใบเล็กของเขานั้นก็ได้ขยายตัวออกไปเป็นสามเท่า หรือก็คือเกือบแปดพันกิโลเมตร
ในขณะเดียวกัน ค่าพลังจิตของเขาในตอนนี้ก็ขึ้นไปอยู่ที่….แปดพันหนึ่งร้อยสาม
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินเฉียงประหลาดใจมากที่สุดนั้นกลับเป็นขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขา เขาไม่คิดมาก่อนว่าในตอนนี้ไม่เพียงขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาจะขยายตัวไปถึงระยะหนึ่งหมื่นเมตรแล้ว มันยังยกระดับไปอยู่ขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว
เมื่อสัมผัสถึงคลื่นพลังที่หลั่งไหลอยู่ในร่างของเขาแล้ว เฉินเฉียงก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างที่สุด
ฮื้ม
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงพึ่งจะสังเกตเห็นว่ารอบตัวเขานั้นมีผู้คนจากสามเผ่าพันธุ์จำนวนหนึ่งอยู่รอยรอบตัวเขา
ดูเหมือนว่าด้วยสถานการณ์ที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้จะทำให้สงครามทั้งสามเผ่าพันธุ์จะเลิกราและจับมือไม่คิดขัดแย้งกันแล้วจริงๆ
ในขณะเดียวกัน เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่ตรงหน้าเขาก็ทำให้เฉินเฉียงต้องรู้สึกไม่นึกฝันขึ้นมา
“ผู้สั่งการหลิงเว่ยรึ”
ใช่แล้ว ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็คือผู้สั่งการหลิงเว่ย ดอกเตอร์หลี่ และเพื่อนร่วมงานเก่า เจ้าอ้วน ทุกคนล้วนแล้วอยู่ที่นี่
“เฉินเฉียง เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือกายเนื้อ หลิงเว่ยก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นยินดี ก่อนจะตบไหล่ของเฉินเฉียงซ้ำไปมาราวกับต้องการตรวจสอบอะไรบางอย่าง
หลังจากเขามั่นใจแล้ว หลิงเว่ยก็มีน้ำตาที่ไหลล้นลงมาเป็นสายน้ำในทันที พร้อมกับท่าทางดีใจอย่างที่สุด
“เฉินเฉียง ก่อนหน้านี้เจ้านั้นอยู่ในสภาพที่น่ากลัวมากเลยนะเว้ย รู้รึเปล่า ตอนที่ข้าจะตบไหล่เพื่อเรียกให้เจ้าฟื้นขึ้นมาน่ะ ร่างของเจ้ามันโปร่งจนทะลุเลยนะวุ้ย ข้าคิด ข้าคิดว่าเจ้า เจ้า….เฮ้อออออ นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”
ด้วยการที่หลิงเว่ยนั้นพูดออกมาโดยสูญเสียตัวตนที่คอยรักษาภาพพจน์ไปจนเกือบหมดสิ้นออกมา นี่ทำให้เฉินเฉียงรับรู้ได้ว่าหลิงเว่ยนั้นห่วงใยเขาถึงขนาดไหน และนี่ทำให้เฉินเฉียงเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะพูดตอบ “ผู้สั่งการหลิง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าพึ่งจะฟื้นคืนสภาพร่างและตกเข้าสู่ภวังค์ทำให้ข้าไม่ได้รับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้าบ้างน่ะ”
“ว่าแต่ ทำไมพวกท่านถึงได้มาอยู่นี่กันล่ะ”
หลังจากเฉินเฉียงกลับฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ เขาก็รับรู้ได้ว่าที่นี่คือโลกใบเล็กของฮูเตี๋ยน และนี่ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าผู้คนจากอาณานิคมเขาหมางล้วนแล้วอยู่ที่นี่ นี่ทำให้เขาอดที่จะนึกสงสัยไม่ได้
“ไอ๊หยา….”
หลิงเว่ยถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างยาวในทันที “เฉินเฉียง กับเรื่องนี้ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนแห่งฮุยตู๋นั่นแหละ”
“เมื่อสักครึ่งเดือนก่อนเห็นจะได้ สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักได้ปรากฏตัวใกล้กับอาณานิคมของพวกเรา มันโผล่ออกมาอย่างกับลมบ้าหมูที่ไม่รู้มาจากไหน พวกมันเข้าไปในอาณานิคมเขาหมางตอนที่พวกเรายังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ยังดีที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนมาถึงได้ทันและรีบพาพวกเราเข้ามาในโลกใบเล็กของท่านในทันที”
“หลังจากนั้นท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนก็ได้นำพาผู้คนอีกจากสองเผ่าพันธุ์อีกจำนวนมากมายเข้ามาไว้ในโลกใบเล็กของท่าน”
“ยังดีที่ในตอนนี้ทั้งสามเผ่าพันธุ์สงบศึกกันแล้ว ทำให้พวกเรานั้นมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะผ่อนคลายในโลกใบเล็กดวงนี้”
“ส่วนสถานการณ์ที่ด้านนอกนั้น ข้าว่าเจ้าเองก็สมควรจะรับรู้มาแล้ว ว่าแต่เจ้าไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของเฉินเฉียงก็ได้หนักอึ้งขึ้นมา
ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้หายไปในบัดดล
ด้วยสถานการณ์การรุกรานจากโลกปีศาจที่พึ่งจะยังเกิด ถึงแม้จะไม่อยากแต่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็ทำได้เพียงอาศัยโลกใบเล็กนี้เป็นบ้านได้เพียงเท่านั้น
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงปล่อยกระแสจิตออกไป
ด้วยการที่เขาในตอนนี้เป็นราชาจอมพลขั้นต้น กระแสจิตของเขาครอบคลุมออกไปเป็นระยะทางห้าร้อยกิโลเมตรแล้ว
และในระยะห้าร้อยกิโลเมตรนี้ เขาพบว่ามีหุ่นเชิดซากศพจากทั้งสามเผ่าพันธุ์อยู่นับหมื่นตน
ยังดีที่ฮูเตี๋ยนนั้นคิดตัดสินใจขึ้นมาว่าในช่วงเกิดการรุกรานจากโลกปีศาจแบบนี้ เขาได้นำหลิงเว่ยและคนอื่นๆเข้ามาไว้ในโลกใบเล็ก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกเขาสมควรจะกลายเป็นอาหารโลหิตให้กับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตจนหมดสิ้น
“ผู้สั่งการหลิง หากข้าจะให้พวกท่านเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของข้า ท่านคิดว่ายังไง”
“แหงแซะ”
เมื่อเทียบกับการอยู่ในโลกใบเล็กของหลิงเว่ยแล้ว ด้วยการที่ผู้คนจากอาณานิคมเขาหมางนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับเฉินเฉียง ยังไม่รวมถึงการที่เฉินเฉียงนั้นเป็นนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ และระดับการบ่มเพาะของเขาก็ไม่ได้ต่ำต้อยอีกต่อไป นี่ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกปลอดภัยและอยากไปอยู่ในโลกใบเล็กของเฉินเฉียงมากกว่าเป็นไหนๆ
หลังจากนำพาทุกคนในอาณานิคมเขาหมางเข้าไปในโลกใบเล็กของตนแล้ว เฉินเฉียงก็ยังนำพาผู้คนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์เข้าไปในโลกใบเล็กของตนอีกด้วย
ส่วนเหตุผลนั้นหรือ แน่นอนว่าเพื่อสร้างชื่อเสียงอันดีให้กับตนเอง
หลังจากนำพาผู้คนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ไปไว้ในโลกใบเล็กของตนจนหมดสิ้น เฉินเฉียงก็ได้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาออกจากโลกใบเล็กของฮูเตี๋ยน
ฮูเตี๋ยนที่ในตอนนี้เองก็กำลังใส่ใจอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกใบเล็กของตนอยู่นี้ ก็ไม่คิดว่าคนที่เขากำลังสนใจอยู่นั้นจะทะลึ่งพุ่งพรวดออกมาจากโลกใบเล็กของตนแล้วมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“ท่านนายเหนือหัว ท่าเท้าที่ดีเยี่ยมนัก”
ฮูเตี๋ยนกล่าวสรรเสริญเยินยอในทันใด
เฉินเฉียงที่พึ่งจะออกมานั้น เมื่อเขาได้ดูโดยรอบก็พบเห็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน
“เฮ้ออออ ท่านนายเหนือหัว สถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตเป่ยเชิน”
หลังจากฮูเตี๋ยนถอนหายใจแล้วเขาก็ได้ส่ายหน้าไปมาแล้วพูดต่อ “ท่านนายเหนือหัว การรุกรานจากโลกปีศาจในครั้งนี้ช่างรุนแรงนัก แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่ได้เตรียมตัวไว้แล้วก็ยังพลาดพลั้งราวกับไม่ได้เตรียมแต่อย่างใด”
“ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าระดับเทียบเท่าราชาขุนพลนั้นโดนฆ่าล้างไปอย่างนับไม่ถ้วน เหล่าพื้นที่ที่เคยอาศัยอยู่ได้นั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นนรกบนดินไปจนหมดสิ้น”
“นี่จึงทำให้พวกเราเหล่าฮุยตู๋นั้นตัดสินใจว่าจนกว่าจะหยุดการรุกรานจากโลกปีศาจได้ จะดีกว่าหากพวกเราให้เหล่าผู้อ่อนแอจากทั้งสามเผ่าพันธุ์มาอยู่ในโลกใบเล็กเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียร้ายแรง”
“แต่ไอ้แก่ผู้นี้กลับลืมนึกถึงเรื่องหนึ่งไป”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ น้ำตาของฮูเตี๋ยนก็ไหลริน
“เรียนท่านนายเหนือหัว ไอ้แก่ผู้นี้แต่เดิมนั้นต้องการเพียงให้ผู้คนมีโอกาสรอดชีวิต จึงให้เหล่าผู้ทรงพลังทั้งหลายนำพาเหล่าผู้อ่อนแอจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ไปไว้ในโลกใบเล็ก”
“แต่ข้านึกไม่ถึงว่าในการศึกครั้งนี้จะทำให้ผู้บ่มเพาะล้มตายไปมากนัก”
“นี่ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกใบเล็กของผู้บ่มเพาะแต่ละคนนั้นไม่รู้ว่าจะผจญชะตากรรมเช่นไร ไม่รู้ว่าพวกเขาจะดับสูญไปพร้อมชีวิตผู้บ่มเพาะ หรือต้องติดค้างอยู่ในโลกใบเล็กเหล่านั้นไปตลอดกาล”
เฉินเฉียงที่ได้ยินนั้นกลับรีบถามสวนกลับออกมาในทันใด “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ร่างเขานักรบที่ตายแล้วเหล่านั้นอยู่ที่ใด”
เมื่อฮูเตี๋ยนได้ยินเขาก็นิ่งอึ้ง ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วรีบพูดตอบด้วยเสียงที่ราวกับจะเข้มแข็งขึ้น “เรียนท่านนายเหนือหัว เหล่านักรบที่ยอมสละชีพตัวเองในการต่อสู้นี้จากทั้งสามเผ่าพันธุ์ ข้าได้ทำหลุมศพพิเศษให้กับพวกเขาอยู่ที่ฐานบัญชาการของฮุยตู๋ อย่างน้อยๆวิญญาณของวีรชนเหล่านี้จะได้เป็นที่เคารพสักการะจากอนุชนคนรุ่นหลังได้”
“ข้าสงสัยนักว่าท่านนายเหนือหัวถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินเขาก็อดกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจไม่ได้ ก่อนที่จะปั้นหน้าเคร่งขรึมพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด พาข้าไปยังที่นั่น ส่วนเรื่องรับมือกับไอ้พวกโลกปีศาจ เราค่อยมาพูดคุยกันหลังจากนั้น”
ฮูเตี๋ยนเมื่อได้ยินก็รีบโค้งรับคำสั่งและนำพาเฉินเฉียงกลับไปยังฐานบัญชาการของฮุยตู๋ในทันที
ภายในพื้นที่เล็กๆของฐานบัญชาการฮุยตู๋ บริเวณที่จัตุรัสที่ๆเฉินเฉียงเคยรับรู้ความลับของฮุยตู๋และได้แสดงป้ายคำสั่งของฮุยตู๋ออกมาจากการเป็นนายเหนือหัวนั้น ในตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่โศกเศร้าและความอาลัยน่าหดหู่
ในระยะสิบตารางกิโลเมตรในจัตุรัสแห่งนี้ ได้มีแท่งจารึกตั้งขึ้นมาอันแล้วอันเล่าราวกับไม่มีท่าทีจะหยุดหย่อน สร้างแรงกดดันให้ผู้พบเห็นจนอดที่จะใจหายไปซ้ำๆติดๆกันเสียไม่ได้ในทุกครั้งที่มีอันใหม่ปรากฏในเวลาอันสั้น