ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 54 พลังสายเลือด
บทที่ 54 พลังสายเลือด
“ไม่เห็นต้องวุ่นวายขนาดนั้นเลยนา”
ทันทีที่จ้าวฮั่นพูดจบ กัวเหลียงที่ในตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆเฉินเฉียงได้เดินขึ้นหน้ามาด้วยรอยยิ้ม
“จ้าวฮั่น อ้อ ต้องเรียกว่านายน้อยจ้าวนี่เนาะ ได้ยินมาว่าเจ้านั้นขึ้นมาระดับนายพลวิญญาณแล้วนี่ ถูกรึเปล่า”
“ถ้านับตามกฎของสำนักเราแล้ว ศิษย์ที่มีระดับการบ่มเพาะต่างกันนี่สามารถท้าประลองได้นี่นา”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ ข้าเองก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้างั้นทำไมเจ้าไม่คิดจะท้าข้าสักหน่อยล่ะ หรือจะให้ข้าท้าเจ้าดี”
“โอ้ ลืมไปลืมไป เอาแบบนี้ก็ได้ ถ้าเจ้าคิดว่าชนะข้าไม่ได้ เจ้าสามารถท้าศิษย์คนอื่นในแผนกวิชายุทธพิเศษก็ได้นะ”
“ข้าเชื่อว่าไม่ว่าใครในหมู่พวกข้าก็อยากจะสู้กับเจ้า”
“เจ้า…”
จ้าวฮั่นชี้ไปที่กัวเหลียงที่กำลังยิ้มกว้างและไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้
นอกจากกัวเหลียงจะสามารถท้าประลองจ้าวฮั่นได้แล้ว แม้แต่ศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษคนอื่นเองก็ยิ้มกลิ่มเตรียมพร้อมสู้ในทันที
อย่างไรก็ตาม จ้าวฮั่นเพียงต้องการเอาคืนอัปยศของตัวเองเท่านั้น ใครจะไปกล้ามีเรื่องกับศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษทั้งแผนกกัน
แม้กัวเหลียงที่ได้ชื่อว่าอ่อนด้อยที่สุดในแผนก แต่เขานั้นกลับสามารถเปิดจุดชีพจรลับได้แล้วหกจุด ส่วนตัวเขานั้นกลับพึ่งเปิดได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น
แต่เหตุผลที่พวกเขายังไม่อยากจะท้าสู้จ้าวฮั่นก็เป็นเพราะปู่ของเขาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาเองก็คงถูกทำให้อับอายขายหน้าเป็นคนแรกๆด้วยซ้ำ
ด้วยการที่พวกนั้นยังไม่อยากจะเพิ่มเรื่อง มีหรือที่เขาจะเอาตัวเองไปสนอง
จ้าวฮั่นในตอนนี้มีใบหน้าที่แดงฉานแต่เขาก็ยังอดทนได้ในที่สุด เขาหันหลังกลับและเตรียมที่จะเดินจากไป
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาหันหลังกลับไปนั้น เสียงกำไลสื่อสารของเขาก็ดังขึ้นมา
“ตี๊ด ตี๊ด”
กำไลสื่อสารของทุกคนได้ดังขึ้นมา
“คนแล่เนื้อเฉินเฉียง ศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษ ระดับทหารขั้นสูง ขอท้าประลองกับจ้าวฮั่น ศิษย์แผนกวายุ ระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นต่างก็นิ่งอึ้งไปในทันที
คนแล่เนื้อคลั่งไปแล้ว
ถึงแม้ว่าหลู่ฟางและศิษย์คนอื่นแห่งแผนกวิชายุทธพิเศษจะได้ชื่อว่าบ้าคลั่งแล้วก็ตาม แต่ข้อความท้าประลองที่เฉินเฉียงส่งออกไปนั้น ทุกคนต่างก็นึกออกมาในคำเดียวกันคือ สติแตก
ก่อนที่หลู่ฟางและศิษย์คนอื่นจะได้ทำอะไรนั้น พวกเขาไม่คิดว่าอาจารย์ของตนผู้ที่ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่ได้พบมาพักใหญ่ ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
“เฉินเฉียง”
“ไอ้ศิษย์เวรตะไล”
“ไม่ใช่ว่าข้าลงโทษเจ้าให้ไปอยู่ในครัวไม่ใช่รึ”
“แล้วนี่เจ้ากล้าที่จะมาท้าทายศิษย์สำนักแผนกอื่นมาประลองอีกเนี่ยนะ”
“ไป รีบกลับไปอยู่ในครัวโสโครกนั่นได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิ”
เพียงเมื่อฮู่ต้าไฮ่พูดจบ ปู่ของจ้าวฮั่นหรือก็คือจ้าวหยางเองก็ได้ปรากฏกาย
จ้าวหยางได้มองเฉินเฉียงด้วยรอยยิ้มเยาะ “เหอะ คนแล่เนื้อเฉินเฉียง เหมาะดีนี่”
“สำนักเต่าดำของเรานั้นล้วนแล้วต้องการให้ศิษย์กล้าที่จะท้าประลองกันและกัน ตราบใดที่การลงพนันไม่ร้ายแรงจนเกินไป สำนักเราย่อมไม่ปฏิเสธ”
“อาจารย์ฮู่ ดูเหมือนว่าศิษย์ของท่านเองต้องการพัฒนาฝีมือจริงๆ ท่านควรจะส่งเสริมเขาไม่ใช่ทัดทานสิ”
“หึ ข้าไม่ได้ทัดทานเขาอย่างแน่นอน แต่ว่าประเด็นคือเฉินเฉียงยังอยู่ในระหว่างการถูกลงทัณฑ์ ต่อให้เขาอยากจะสู้ขนาดไหนก็ไม่สมควร นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องการให้เขากลับไปรับการลงทัณฑ์อยู่เงียบๆเฉกเช่นก่อนหน้านี้ เมื่อถึงเวลาครึ่งปีตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ยังไม่สายที่จะกลับมาประลองได้ ท่านไม่คิดอย่างนั้นรึ”
“ไม่ไม่ไม่” จ้าวหยางยกมือขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย “อาจารย์ฮู่ อย่าเป็นกังวลไป ข้าเองได้พูดคุยกับผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ข้าคิดว่าความผิดพลาดของเฉินเฉียงก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพราะเขานั้นยังคงเป็นวัยรุ่นจึงมีความเลือดร้อนจนเกินการ หากท่านต้องการสั่งสอนบทเรียนกับเฉินเฉียงจริง การส่งไปอยู่ในโรงครัวย่อมไม่ส่งผลแต่อย่างใด”
“วิธีการลงโทษของท่านนั้น ผู้อาวุโสใหญ่และข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของท่าน”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ เฉินเฉียงในตอนนี้นั้นมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการลงท้าประลองในสนามประลองเป็นตายแห่งนี้แล้ว”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างกว้างขวาง เขารีบถามออกมา “ผู้อาวุโสจ้าว นี่หมายความว่าข้าไม่ต้องกลับไปในโรงครัวเพื่อรับโทษทัณฑ์แล้วใช่หรือไม่”
“ไอ้ศิษย์เวรตะไร เงียบปากไปเลยเอ็ง”
ฮู่ต้าไฮ่หลังจากตะคอกใส่เฉินเฉียงไปแล้ว เขาได้หันกลับไปยังจ้าวหยางพร้อมกับรอยยิ้มประจบประแจงแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสจ้าว ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรจะปล่อยไปดีกว่า ศิษย์บ้าของข้านั้นยังไม่บรรลุระดับนายพลวิญญาณ ข้าเกร….”
ก่อนที่ฮู่ต้าไฮ่จะได้พูดจบ จ้าวหยางได้ยกมือขึ้นห้าม ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาจารย์ฮู่ ท่านเองก็เป็นถึงอาจารย์ของสำนัก ท่านเองก็ควรจะเคารพกฎของพวกเรา”
“ในเมื่อมีคนที่ต้องการประลองและไม่ได้ลงพนันที่เป็นการละเมิดกฎของสำนัก หากผู้ถูกท้าประลองไม่ได้ปฏิเสธ การท้าประลองย่อมต้องเกิดขึ้น”
“ฮั่น ในตอนนี้ศิษย์เฉินเฉียงแห่งแผนกวิชายุทธพิเศษต้องการท้าประลองกับเจ้า เจ้าต้องการปฏิเสธหรือไม่”
จ้าวฮั่นในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา
ถามว่าปฏิเสธ
อย่าให้ขำหน่อยเลย
เขารอคอยวันนี้มาตั้งนานแล้ว
แต่เป็นเพราะกฎของสำนักทำให้เขานั้นไม่อาจจะท้าทายเฉินเฉียงได้เพราะระดับการบ่มเพาะอยู่กันคนละระดับขั้น
แต่เขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินเฉียงจะมารนหาที่ถึงขนาดนี้
ในเมื่อมีเนื้อมาวางอยู่หน้าบ้าน แล้วเขาจะปฏิเสธทำไม
“ปู่ อาจารย์ฮู่ ในฐานะที่เป็นศิษย์สำนักเต่าดำ ข้าเองย่อมมีจิตวิญญาณของการเป็นศิษย์แห่งสำนักเต่าดำอยู่ และแน่นอนว่าข้าพร้อมที่จะพุ่งชนทุกคนที่กล้าจะมาท้าข้า ”
“ต่อให้ข้ารู้ว่าตัวข้านั้นไม่อาจเทียบเคียงกับความสามารถของศิษย์น้องเฉินเฉียงได้ แต่ข้าย่อมต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“และเมื่อเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องยอมรับคำท้า”
หลังจากนักรับสายเลือดระดับนายพลวิญญาณที่มีนามว่าจ้าวฮั่นผู้นี้กล่าวคำอันสวยหรูออกมาอย่างองอาจ เขาได้มองไปเฉินเฉียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง
-ไอ้เด็กนรก ถึงข้าจะฆ่าแกบนสนามประลองเป็นตายนี่ไม่ได้แต่อย่างน้อยเรื่องในวันนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ข้าหายแค้นแกไปได้บ้าง-
-การประลองในครั้งนี้ข้าจะนำชัยชนะกลับมาให้ได้-
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อขัดข้อง อาจารย์ฮู่ ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าไม่ขัดขวางศิษย์ทั้งสองคนนี่นา ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าเองก็อาจจะต้องบังคับใช้กฎสำนักกับท่าน”
เมื่อเห็นสถานการณ์ออกมาดังที่คิดไว้ทุกอย่าง จ้าวหยางเองในตอนนี้ก็หัวเราะออกมาดังลั่นขึ้นมาในใจ โดยเขาสามารถกั้นให้ไม่มีหลุดออกมาได้สักเสียงเดียว
-ไอ๊หยา-
ฮู่ต้าไฮ่รอบอุทานขึ้นมาในใจอย่างหนักหน่วง เขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าจะหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บหลังจากจบการประลองก็ตาม แต่เขาก็อดที่จะโกรธเฉินเฉียงที่เลือดร้อนจนไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่ดี
-เฉินเฉียง เจ้านี่น้า…..-
ฮู่ต้าไฮ่รู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ในตอนนี้เขาจึงเลือกที่จะใช้ทักษะถ่ายทอดเสียงกับเฉินเฉียงแทน -เจ้าไม่รู้รึไงว่าช่องว่างระหว่างระดับทหารกับระดับนายพลวิญญาณน่ะมันกว้างขนาดไหน-
-การที่ใครสักคนนั้นได้ก้าวข้ามไปยังระดับนายพลวิญญาณได้นั้นจำเป็นต้องเปิดจุดชีพจรได้ทั้งหมดพร้อมกับเปิดจุดชีพจรลับได้อีก นี่หมายความว่าพลังสายเลือดของคนคนนั้นย่อมเข้มข้นและรุนแรงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญที่สุดก็คือระดับนายพลวิญญาณนั้นสามารถใช้การปลดปล่อยพลังสายเลือดออกมาได้-
-ในการต่อสู้ระหว่างระดับนายพลวิญญาณนั้น พลังสายเลือดไม่เพียงจะถือว่าเป็นไพ่ตายได้ มันยังสามารถใช้ในการอาบร่างกายให้มีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นกว่าปกติมากกว่าระดับทหารขั้นสูงได้อย่างน้อยๆก็สองเท่า-
-เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วเจ้าคิดว่ายังมีโอกาสชนะอีกเรอะ-
-ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าคิดว่าเจ้านั้นมีถึงหกสายเลือดที่ผสมปนเปทำให้ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะพัฒนารวดเร็วขนาดนี้จึงไม่ได้อธิบายออกไป ข้าไม่คิดเลยจริงว่าเพียงการชนะศึกเล็กๆไม่กี่หนจะทำให้เจ้านั้นสติแตกออกมาแบบนี้ สติแตกจนถึงขั้นกล้าข้ามขั้นท้าประลองกับระดับนายพลวิญญาณ-
“หลังจากเจ้าแพ้ในครั้งนี้แล้วเจ้าต้องไปปิดตนอยู่ในห้องบ่มเพาะ จนกว่าเจ้าจะเปิดจุดชีพจรหลักทั้งสิบสองจุดได้ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกมาอีก”
หลังจากได้ยินคำพูดของอาจารย์ตนไปแล้ว เฉินเฉียงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมจึงกล่าวกันว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างขั้นของการบ่มเพาะอยู่ระหว่างเขากับจ้าวฮั่น
การใช้พลังสายเลือดอย่างนั้นเหรอ
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้คำท้าของเขานั้นเป็นผลไปแล้ว จะให้เขาคิดมากความไปก็เท่านั้น
ยังไงซะ จ้าวฮั่นก็ยังอยู่เพียงแค่ระดับต้น
แต่ให้จ้าวฮั่นสามารถใช้พลังสายเลือดได้ก็จริง แต่ยังไงเขาก็ยังมีโอกาสชนะจ้าวฮั่นอยู่
ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจก็เถอะนะ
แต่อย่างน้อยๆด้วยทักษะของเขาในตอนนี้ ตราบใดที่เขาไม่ประมาท การชนะจ้าวฮั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้