ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 60 ยามที่ศิษย์พี่ใหญ่ไร้เขี้ยวเล็บ
บทที่ 60 ยามที่ศิษย์พี่ใหญ่ไร้เขี้ยวเล็บ
“ศิษย์น้องนี่จะหน้าไม่อายเกินแล้วนา นี่เขากล้าตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง”
“ใช่แล้ว เขานั้นต้องการมัดมือมัดเท้าศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ตอนประลองกันเนี่ยนะ หากเป็นแบบนั้นละก็ ข้าว่าศิษย์น้องต้องชนะศิษย์พี่ได้แหงๆ”
“ดูเหมือนว่าอาจารย์นั้นจะพูดถูกแล้ว ศิษย์น้องนั้นทำเพื่อชื่อเสียงจริงๆ การที่ระดับทหารชั้นสูงแล้ว ถ้าเขาชนะศิษย์พี่ได้จริงๆล่ะก็ แค่นี้ก็ทำให้ทั่วทั้งสำนักตกตะลึงไปทั่วแล้ว”
“นั่นสิ อาจารย์คงไม่โง่พอเอาด้วยหรอกนะ เขานั้นมองเห็นความคิดของศิษย์น้องได้ก่อนพวกเรา สองคนนั้นต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
“ข้าว่าดีไม่ดีศิษย์น้องจะโดนลงโทษด้วยซ้ำ”
“ท่านอาจารย์…” หลู่ฟางได้มองไปที่ฮู่ต้าไฮ่อีกครั้ง
นั่นก็เพราะความต้องการของเฉินเฉียงนั้นไม่ได้ขัดกับกฎของอาจารย์ของเขาแต่อย่างใด
เหนือสิ่งอื่นใดคือ เฉินเฉียงนั้นยินดีที่จะลงแต้มคะแนนทั้งห้าหมื่นแต้มของเขากับเรื่องนี้
แต้มคะแนนจำนวนนี้เพียงพอต่อการที่จะทำให้เขานั้นก้าวข้ามผ่านปังระดับนายพลวิญญาณชั้นกลางได้เร็วขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ฮู่ต้าไฮ่ได้ยื่นมือมาห้ามหลู่ฟางก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เขามองไปที่เฉินเฉียงก่อนที่จะฝืนยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“ไอ้ศิษย์เวรตะไล เจ้าบอกให้ศิษย์พี่ของเจ้ามัดมือมัดเท้าแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะให้เขานั้นกลายเป็นกระสอบทรายให้เจ้าซ้อมรึไงกัน หรือเจ้าจะหมายความว่าหากเจ้านั้นไม่อาจทำอะไรในสถานการณ์แบบนั้นได้ เจ้ายินดีที่จะมอบแต้มคะแนนทั้งหมดให้ศิษย์พี่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เฉินเฉียงที่เห็นท่าทางอันตรายของฮู่ต้าไฮ่แล้วนั้นก็ได้พยักหน้าออกมา
เขานั้นไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
นั่นก็เพราะทักษะการฝึกฝนร่างกายระดับต้นขั้นสุดยอดนี้ล่อตาล่อใจเขายิ่งนัก
แต่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันจากฮู่ต้าไฮ่นี้ทำให้เขาเองก็เริ่มนึกแบบเดียวกับเหล่าศิษย์พี่ว่าตัวเขานั้นต้องโดนฮู่ต้าไฮ่ลงโทษและสั่งสอนอย่างหนักเป็นแน่ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าฮู่ต้าไฮ่จะพยักหน้ายอมรับในเรื่องนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านเห็นด้วยอย่างนั้นเหรอ”
เฉินเฉียงและหลู่ฟางนั้นต่างก็พูดออกมาแทบจะพร้อมกับและมีท่าทางที่ประหลาดใจใกล้ๆกัน
“ใช่ ข้ายอมรับในเรื่องนี้” ฮู่ต้าไฮ่ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียง เจ้าไม่คิดว่าคำขอของเจ้านั้นไม่เกินไปหน่อยรึไง ข้าว่าข้าจะเพิ่มเงื่อนไขให้กับเจ้าด้วยเช่นกัน”
“เงื่อนไขที่ข้าตั้งขึ้นมานี้ ตราบใดที่เจ้านั้นยอมรับ เจ้าและศิษย์พี่ใหญ่สามารถประลองได้เลยในตอนนี้”
“เงื่อนไขอะไรครับ” เฉินเฉียงถามออกมาอย่างระวังเนื้อระวังตัว
“ฉากการต่อสู้ต้องไม่ใช่ฉากกลางคืน” ฮู่ต้าไฮ่ได้ยืดตัวตรงขึ้นมาและพูดต่อ “ในเมื่อศิษย์ของข้านั้นต่อสู้กัน แน่นอนว่าอาจารย์อย่างข้าย่อมมีสิทธิ์ได้รับชม ถูกต้องหรือไม่”
“หากเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ ศิษย์ไม่มีปัญหา” เฉินเฉียงยอมรับในเงื่อนไขนี้
แต่คำพูดของเฉินเฉียงและฮู่ต้าไฮ่นี้กลับทำให้ศิษย์คนอื่นๆนั้นกลับฮือฮาขึ้นมา
กัวเหลียงกระโดดออกมาถามด้วยรอยยิ้มก่อนเป็นคนแรก “อาจารย์ ท่านหมายความว่าให้พวกเราดูการแข่งขันระหว่างศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องได้หรือครับ”
“แหงสิ หรือว่าเจ้าไม่อยากจะเห็นการต่อสู้ที่น่าสนใจแบบนี้กัน”
“แน่นอนว่าย่อมต้องการสิครับ” กัวเหลียงพูดออกมา “แต่ … ท่านอาจารย์ ศิษย์ว่าหากดูเฉยๆจะน่าเบื่อไป ศิษย์ว่ามีการพนันสักหน่อยจะดีกว่าไหมครับ”
ฮู่ต้าไฮ่เองก็มองไปที่กัวเหลียงอย่างมีความหมาย “อ้อ ข้าก็ลืมไปเลยว่าเจ้านั้นพึ่งจะได้มาแปดพันแต้มคะแนน ตอนนี้เจ้ามีอยู่หมื่นหกแล้วสินะ”
“ได้ ในเมื่อเป็นแบบนั้น ในวันนี้ ข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าทำการพนันได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ข้านั้นไม่ชอบผิดคำพูดของตนเท่าไหร่นัก เอาเป็นว่าในรอบนี้ข้าขอเป็นเจ้ามือ หากพวกเจ้าต้องการพนัน เจ้าลงได้แต่ข้าเพียงเท่านั้น”
“ฮ่าฮ่าฮ่า สุดยอดไปเลยครับท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ข้าขอลงพนันทั้งหมดหนึ่งหมื่นหกพันคะแนนว่าศิษย์น้องจะชนะ”
เฉินเฉียงและกัวเหลียงในตอนนี้ได้มองหน้ากันและต่างก็ลอบยกย่องอีกฝ่ายอยู่ในใจ
“ศิษย์น้องกัว เจ้าจะไม่คาดหวังในตัวศิษย์น้องมากไปหน่อยรึไงกัน อย่าลืมสิว่าที่ผ่านมานี้ไม่มีใครเลยชนะศิษย์พี่ใหญ่ได้ ข้าขอลงข้างศิษย์พี่ใหญ่หนึ่งร้อยแต้มคะแนน”
“ข้าขอลงข้างศิษย์พี่ใหญ่ว่าชนะ” ชุยหยันหลันและหลู่ฟางนั้นสนิทกันมากทำให้เธอลงข้างเขาไปสองพันแต้มคะแนน
“อาจารย์ฮู่ ขอข้าลงด้วยแล้วกัน ข้าพนันว่าศิษย์น้องเฉินจะชนะ” หลิวซวนเอ๋อที่ยังไม่ได้จากไปไหน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการประลองภายในของแผนกวิชายุทธพิเศษก็ตาม แต่เธอเองก็อยากจะดูเช่นเดียวกัน แถมในครั้งนี้ยังเป็นการประลองที่มองเห็นได้ เธออยากรู้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะทำให้หลู่ฟางรับความพ่ายแพ้ได้หรือไม่
ฮู่ต้าไฮ่ได้มองไปที่หลิวซวนเอ๋อปราดหนึ่งก่อนที่จะรับแต้มคะแนนมา เขายิ้มและไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ทุกคนก็ได้ลงพนันกันครบแล้ว หลู่ฟาง เฉินเฉียง พวกเจ้าเข้าไปได้แล้ว”
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ เชิญ”
บรรยากาศของคนทั้งสองนี้ไม่ได้มีสภาพตึงเครียดแต่อย่างใด ทั้งสองเดินไปด้วยกันและคุยกันไประหว่างการเดินนี้ด้วยซ้ำ ทั้งสองต่างก็เดินไปที่ลานประลองด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าทั้งศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องต่างก็มั่นใจว่าตัวเองจะชนะนะ อาจารย์ ตามความเห็นของท่านแล้วท่านคิดว่าใครจะชนะ”
“เหอะ ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า ต่อให้เจ้าชนะจริงข้าก็มีปัญญาจ่าย….. ถ้าชนะล่ะนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดอันมั่นใจของฮู่ต้าไฮ่แล้วทำให้กัวเหลียงเริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมา
เอาจริงๆแล้วหากพูดตามหลักการแล้ว เฉินเฉียงนั้นย่อมไม่กลัวเรื่องพลังสายเลือดที่อีกฝ่ายต้องใช้อีกต่อไป เพราะเขานั้นก้าวผ่านจ้าวฮั่นมาได้แล้ว
และภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ให้ใช้ทั้งมือและเท้านี้แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมไม่ต่างจากเนื้อที่รอให้ศิษย์น้องตัดแต่งได้ตามต้องการหรอกเหรอ
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าเฉินเฉียงมีท่าเท้าที่แข็งแกร่ง แถมยังมีทักษะด้านวิญญาณอย่างการสะกดจิตอีก
ไม่ว่ามองยังไงศิษย์น้องก็สมควรจะชนะ
กัวเหลียงในตอนนี้พยายามปลอบประโลมตัวเองโดยการหาเหตุผลมากมาย ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งเชื่อว่าเฉินเฉียงต้องชนะ
และเป็นดังที่กัวเหลียงคิดเอาไว้ เฉินเฉียงเองก็มั่นใจว่าตัวเองนั้นต้องชนะแน่ๆ
นั่นก็เพราะจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้กับจ้าวฮั่นทำให้เขาเองก็เริ่มเข้าใจหลักการของการใช้พลังสายเลือดมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจได้ว่า ไม่ว่าการใช้พลังสายเลือดในการป้องกันนั้นแม้จะแข็งแกร่งแต่ก็มือจุดอ่อนเช่นเดียวกัน
เขาเพียงต้องหาโอกาสโจมตีจุดอ่อนของศิษย์พี่ใหญ่ของตนให้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าศิษย์พี่ของเขานั้นใช้มือและเท้าโจมตีเขาไม่ได้ นี่มันไม่ง่ายประดุจการกินเค้กหรอกเหรอ
แต่เมื่อเขานึกถึงว่าทำยังไงถึงจะได้ดูดเทคนิคการฝึกฝนร่างกายระดับสุดยอดนี้มาได้แล้ว เขาก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง และนี่ทำให้เขามองไปที่ศิษย์พี่และไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่ใหญ่ ระวังตัวด้วย ข้าจะเริ่มโจมตีแล้ว”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้นำกระบี่ดั้นเมฆออกมาก่อนที่จะจ้วงแทงไปยังหลู่ฟางอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้ม
แต่เพียงเมื่อดาบนี้ได้ปะทะกับร่างของศิษย์พี่ของเขา ข้อมือของเฉินเฉียงสั่นสะท้านจนลามไปถึงสันหลังในทันที นี่ทำให้เขานั้นต้องถอยร่นไปกว่าสิบก้าว
พลังสายเลือดที่ศิษย์พี่ของเขาใช้ป้องกันร่างกายเอาไว้นั้นเป็นอะไรที่จ้าวฮั่นจะเทียบได้เลยแม้แต่น้อย
ในสนามประลองที่โล่ง(โปร่งใส)แบบนี้ เฉินเฉียงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าทั่วทั้งร่างของหลู่ฟางนั้นเคลือบเอาไว้ด้วยชั้นสีเหลืองอ่อนๆ
ไม่เหมือนกับจ้าวฮั่น แม้แต่ศีรษะของหลู่ฟางเองก็ยังเคลือบเอาไว้ด้วยพลังงานสายเลือด
แล้วเขาจะโจมตีเข้าได้ยังไง
เฉินเฉียงไม่เชื่อว่าเขานั้นจะโจมตีไม่เข้า เขาพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้งและฟันไปที่ใบหน้าของหลู่ฟางอยู่หลางครั้งจนแน่ใจแล้วไม่สามารถทะลุผ่านชั้นพลังงานสายเลือดของศิษย์พี่ใหญ่ของเขาไปได้ เขาจึงได้หยุดมือ
ถึงแม้ใจจริงแล้ว เขานั้นตั้งใจว่าจะไม่ใช้วิธีการแทงประตูหลังแบบจ้าวฮั่นอีกแล้วก็ตาม แต่เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ เขาเองก็เลือกที่จะสนใจความตั้งใจนั้นไปในทันที
เฉินเฉียงเชื่อว่าหากเขาเตะศิษย์พี่ใหญ่ของตนให้ลอยขึ้นไปได้ เขาก็จะมีโอกาสสามารถทำแบบตอนที่ทำกับจ้าวฮั่นได้