ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 64 ภารกิจสันเขาอูฐ
บทที่ 64 ภารกิจสันเขาอูฐ
“ศิษย์น้องเฉิน ตอนนี้พี่สาวอยู่ที่หอภารกิจน่ะ เอามาให้พี่สาวที่นี่แล้วกัน”
เมื่อได้ยินข้อความของเฉินเฉียงแล้ว หลิวซวนเอ๋อได้บอกให้เฉินเฉียงตามออกมาในทันที
เมื่อนึกได้ว่าบ้านพักของเขาอยู่ไม่ไกลจากหอภารกิจ นี่ทำให้เขารีบไปอย่างไว
“ศิษย์น้องเฉิน พี่สาวไม่คิดเลยว่าเจ้านั้นจะปรุงยาได้เสร็จเร็วขนาดนี้ ข้านึกว่าจะไม่ได้มันก่อนไปทำภารกิจที่นอกสำนักแล้วซะอีก”
หลิวซวนเอ๋อรับยามาจากมือของเฉินเฉียงและพูดออกมาด้วยท่าทางมีความสุข
“ศิษย์พี่หลิว ท่านเองพึ่งจะกลับมาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังออกไปทำภารกิจอีกล่ะ” เฉินเฉียงจำได้ว่าตอนที่หลิวซวนเอ๋อมาหาเขานั้นก็พึ่งจะกลับมาจากทำภารกิจเหมือนกัน นี่พึ่งจะผ่านไปสองวัน เขาไม่คิดว่าเธอจะรีบออกไปทำภารกิจแบบนี้
“ใช่แล้วล่ะศิษย์น้อง พอดีว่าพี่สาวได้ข่าวมาจากท่านปู่ว่าวันนี้จะมีภารกิจใหญ่ หากว่าทำสำเร็จจะทำให้คนที่ร่วมทำภารกิจได้คะแนนห้าร้อยแต้มเลยนะ”
“นี่จึงเป็นเหตุทำให้พี่มาที่นี่แต่เช้าไงล่ะ จะได้เป็นคนแรกที่รับภารกิจนี้ไป”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้รีบถามออกมาในทันที “ภารกิจอะไรล่ะนั่นถึงได้มอบแต้มคะแนนให้ตั้งขนาดนั้น”
ด้วยการที่เขาลงพนันกับศิษย์พี่ใหญ่ของเขาไปเมื่อวานทำให้เฉินเฉียงในตอนนี้ เปลี่ยนจากมหาเศรษฐีกลายมาเป็นยาจกในทันที ในตอนนี้เขาเหลือแต้มคะแนนไม่ถึงร้อยแต้มด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินว่ามีภารกิจที่รางวัลสูงแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
หลิวซวนเอ๋อได้บังเกิดประกายในสายตาทันที “หรือว่าศิษย์น้องจะสนใจภารกิจนี้ด้วยเหมือนกัน”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ “ก็แหม่ ศิษย์น้องคนนี้ตอนนี้เหลือแต้มคะแนนเพียงน้อยนิดเท่านั้น หากว่าข้าได้ร่วมทำภารกิจกับศิษย์พี่ได้ก็คงจะดีมิใช่น้อยเลยทีเดียวเชียว”
แต่ก่อนที่หลิวซวนเอ๋อจะได้พูดอะไรออกมา นักเรียนทั้งสี่ที่ติดตามเธออยู่นั้นในตอนนี้ได้เม้มปากแน่นจนสั่นระริก
หนึ่งในนั้นที่มีผิวสีกลางๆได้พูดออกมาอย่างฉุนเฉียว “ศิษย์น้องเฉิน เจ้านั้นยังเป็นเพียงระดับทหารเท่านั้น ตอนนี้เจ้าสมควรจะบ่มเพาะในสำนักไปก่อนจะดีกว่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะสามารถเผชิญหน้ากับภารกิจอันตรายแบบนี้ได้ หากเจ้าไปเจ้าอาจจะต้องเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ”
หลิวซวนเอ๋อได้มองกลับไปมองด้วยยสายตาที่ไม่พอใจและพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวกว่า “ไป่ชิจิ้ง หุบปากไปซะ ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรก็ไม่ควรพูด ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องตามข้าไปทำภารกิจ”
“โอ้ มันอันตรายอย่างนั้นเหรอ ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจแบบไหนกัน” ถึงแม้จะโดนท่าทีอันไม่เป็นมิตรของผู้ติดตามของหลิวซวนเอ๋อพูดใส่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจและถามออกมาในทันที
หลิวซวนเอ๋อพยักหน้ารับ เธอได้จัดแจงทรงผมที่เสียทรงหลังจากระเบิดอารมณ์ไปเมื่อครู่นี้และพูดออกมา “ใช่ เมื่อวานพวกเราพึ่งจะได้ข่าวมาว่าอาณานิคมเขาอูฐนั้นอยู่ๆก็เกิดเหตุผู้คนสูญหาย แต่หลังจากไปสืบสวนดูก็พบเข้ากับวานรเขี้ยววายุระดับนายพลวิญญาณขั้นต่ำตัวหนึ่งที่มาจากไหนก็ไม่รู้”
“ด้วยการที่อาณานิคมเขาอูฐนั้นมีเพียงเพียงผู้นำอาณานิคมเท่านั้นที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณ แถมเขาพึ่งจะบรรลุระดับนายพลวิญญาณได้เสียอีก นี่ทำให้เขานั้นไม่อาจต่อกรกับมันได้”
“และนี่จึงเหตุผลที่พวกเขาส่งคำขอมาทางสำนักให้ช่วยขจัดเภทภัยของพวกเขา”
“และนี่เองทำให้สำนักได้เตรียมที่จะประกาศภารกิจนี้ในเช้าวันนี้ นี่คือสิ่งที่พี่สาวได้ยินมา เมื่อได้ยินก็เลยมาที่นี่เพื่อรอรับภารกิจในทันที”
“ศิษย์น้องเฉิน หากเจ้าสนใจล่ะก็ ทำไมเราไม่ไปด้วยกันล่ะ”
“ไม่เอาน่า ศิษย์น้องหลิว ไอ้เด็กนี่เป็นเพียงแค่ระดับทหารเท่านั้นนะ หากว่าเขาไปพวกเราก็ต้องแบ่งให้เขาห้าร้อยแต้มคะแนนน่ะสิ”
ไป่ชิจิ้งที่ตอนนี้กำลังมองเฉินเฉียงอย่างไม่วางตาได้พูดสิ่งที่เขาคิดออกมาในทันที
เช่นเดียวกับผู้ติดตามอีกสามคนที่เหลือ พวกเขานั้นพยักหน้าเห็นด้วยในทันที
“เหอะ นี่พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลยเหรอ”
หลิวซวนเอ๋อได้ยกมือเล็กๆของเธอขึ้นมาให้ผู้ติดตามหยุดทุกการกระทำและคำพูด ก่อนจะพูดออกมา “มนุษย์เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกันแล้วถือว่าอ่อนด้อยกว่ามาก นี่คือเหตุผลที่เวลาทำภารกิจแบบนี้แล้วต้องทำด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน
“ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของศิษย์น้องจะไม่สูง แต่อย่าลืมว่าเมื่อวานเขาก็ได้ชนะจ้าวฮั่นที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณมาแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีทักษะโจมตีวิญญาณ เขาจะช่วยพวกเราในการสังหารวานรเขี้ยววายุได้”
“ฟังคำสั่งข้า ตราบใดที่เราหาคนมาเพิ่มได้อีกคนหนึ่ง พวกเราจะออกทำภารกิจ”
ถึงแม้ผู้ติดตามทั้งสี่นี้จะมีใจที่ไม่อยาก แต่ด้วยอำนาจอันเด็ดขาดแห่งราชินีอัคคีตรงหน้า พวกเขาไม่กล้าที่จะขัด
“โอ้ ศิษย์พี่หลิว ท่านต้องการคนเพิ่มงั้นเหรอ ทำไมไม่ลองชวนศิษย์พี่กัวจากแผนกวิชายุทธพิเศษดูล่ะ”
“ศิษย์พี่กัว…ศิษย์พี่กัวเหลียงงั้นเหรอ”
หลิวซวนเอ๋อได้นิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้ารับและพูดออกมา “ถ้าเป็นแบบนั้นได้จะดีมากจริงๆ ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาแล้ว เขาจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เรา เพียงแต่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่กัวจะยอมไปด้วยรึเปล่านี่สิ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวให้ข้าจัดการเอง เขาต้องไปแน่นอน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ส่งข้อความไปหากัวเหลียงในทันที
ผู้ติดตามทั้งสี่คนในครั้งนี้ไม่ได้คิดห้ามเฉินเฉียงแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะพวกเขานั้นรู้เป็นอย่างดีถึงความแข็งแกร่งของกัวเหลียง หากว่ามีผู้ที่แข็งแกร่งช่วยพวกเขาล่ะก็ พวกเขานั้นมั่นใจว่าภารกิจนี้ต้องสำเร็จลุล่วงเป็นแน่
ที่สำคัญที่สุดคือกัวเหลียงมีคนที่ชอบพออยู่แล้ว ชายคนนี้จะไม่เป็นศัตรูหัวใจของพวกเขาเป็นแน่
เพียงชั่วครู่ กัวเหลียงก็พุ่งตัวมาถึงอย่างรวดเร็วประดุจสายลม
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง เจ้านี่ดีกับข้าที่สุดเลยจริงๆ เวลามีเรื่องอะไรดีๆไม่เคยคิดทิ้งศิษย์พี่คนนี้เลยแม้แต่น้อย”
“ศิษย์พี่กัว ศิษย์พี่ยอมเข้าร่วมภารกิจกับพวกเราจริงๆเหรอ”
เป็นหลิวซวนเอ๋อที่ถามออกมาเป็นคนแรก
“แหม่ ศิษย์น้องหลิว ถึงเห็นอย่างนี้แต่ศิษย์พี่คนนี้ไม่ได้สนใจแต้มคะแนนนี้สักเท่าไหร่หรอกนะ อะไรก็ตามที่ศิษย์น้องเฉินร้องขอ มีหรือที่ศิษย์พี่คนนี้จะปฏิเสธได้”
“ว่าแต่พวกเราจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ ข้าพร้อมเสมอเลยนะเออ”
เฉินเฉียงที่ได้ยินคำพูดประหนึ่งด้านได้อายอดของกัวเหลียงนี้ก็รู้สึกอยากจะสบถด่าขึ้นมาในใจในทันที
ก็แค่พวกยาจกเหมือนกันยังกล้าพูดออกมาอย่างห้าวหาญได้หน้าตาเฉยแบบนี้มันช่าง…
แต่ด้วยการที่กัวเหลียงเข้าร่วม นี่ก็ถือได้ว่ากำลังรบของทีมภารกิจเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นพวกเราก็อย่าชักช้ากันดีกว่า พวกข้านั้นเตรียมตัวพร้อมแล้ว ถ้าพวกท่านไม่ต้องเตรียมอะไรล่ะก็พวกเราก็ไปกันได้เลย”
ในการรับภารกิจแต่ละครั้ง สมาชิกในแต่ละทีมภารกิจต้องวางแต้มคะแนนห้าสิบแต้มเป็นค่ามัดจำกับหอภารกิจ
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำภารกิจสำเร็จ พวกเขาจะได้รับแต้มส่วนนี้คืนพร้อมกับรางวัลที่ได้รับ
แน่นอนว่าหากภารกิจล้มเหลว แต้มคะแนนเหล่านี้จะหายวับไปกับตา
ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกยาแก้พิษ เข็มทิศ และแก่นคริสตัล หรืออย่างน้อยๆก็ต้องเตรียมเสบียงหรือน้ำสะอาดอะไรพวกนั้น
“ศิษย์พี่กัว ท่านทำอะไรล่ะนั่น”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมที่จะออกไปนั้น เฉินเฉียงก็เห็นกัวเหลียงทำอะไรลับๆซ่อนๆกับกำไลสื่อสารของตน
“ไม่มีอะไรหรอก พวกเจ้าไปกันก่อนได้เลยเดี๋ยวข้าจะตามไป”
หลิวซวนเอ๋อได้ดึงมุมเสื้อของเฉินเฉียงเล็กน้อยและพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเฉิน ไปกันก่อนแล้วกัน ปกติแล้วก่อนที่ศิษย์พี่ของเจ้าจะลงเขาได้นั้นต้องบอกใครบางคนก่อน ไม่อย่างนั้นละก็เขาจะต้องเจ็บตัวอย่างหนักยามที่กลับมา”
“โอ้ เข้าใจล่ะ” เมื่อเป็นแบบนั้น เขาจึงได้ออกจากสำนักไปพร้อมกับหลิวซวนเอ๋อและผู้ติดตามของเธอ
ในขณะเดียวกันชายท่าทางผอมแห้งวิ่งเข้าไปในห้องของจ้าวฮั่น
“นายน้อยจ้าว ไอ้คนแล่เนื้อออกจากสำนักไปแล้วครับ”
“ข้าพึ่งจะได้รับข่าวมาว่าหลิวซวนเอ๋อรับภารกิจไปเมื่อเช้าโดยมีไอ้คนแล่เนื้อนั่นตามไปด้วย”
ดวงตาของจ้าวฮั่นเปล่งประกายในทันที มุมปากของเขายกตัวขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันโหดเหี้ยม
“เฉินเฉียง ไอ้คนแล่เนื้อชั้นต่ำ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว”
“ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าคนอย่างแกจะมีปัญญากลับมาได้รึเปล่า”
“หม่าหลิว ให้หยูเว่ยและคนอื่นๆตามมันไป ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องกุดหัวไอ้คนชั้นต่ำนั่นให้ได้”
“ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไรก็ตาม”
ดวงตาในขณะที่จ้าวฮั่นพูดออกมานั้นแทบจะฉายออกมาเป็นสีแดงก่ำ เขาพูดออกมาด้วยเสียงที่บ่งบอกถึงความบ้าคลั่ง