ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 66 เฉินเฉียงที่เดือดดาล
บทที่ 66 เฉินเฉียงที่เดือดดาล
ไม่นาน ประตูของอาณานิคมก็ได้เปิดออกกว้าง และชายที่ท่าทางกำยำคนหนึ่งได้เดินออกมาพร้อมผู้ติดตามที่เป็นนักรบใส่ชุดเกราะอีกสองแถว
“ไอหยา…..นายท่าน ในที่สุดพวกท่านก็มา”
นายพลฮั่นเปียวและผู้ติดตามได้กล่าวต้อนรับเฉินเฉียงและคนอื่นๆ
หลังจากแนะนำตัวกันเล็กน้อย ฮั่นเปียวก็ได้เหลือบไปมองเฉินเฉียงด้วยท่าทีสับสน “เอ่อออ ท่านผู้นี้ดูเหมือนว่า…”
ฮั่นเปียวนั้นเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณ จึงไม่แปลกที่เขาจะพบว่าเฉินเฉียงมีระดับการบ่มเพาะเพียงระดับทหารขั้นสูงได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เขาหารู้ไม่ว่าในภารกิจครั้งนี้ เฉินเฉียงที่ถูกนำมาในฐานะผู้สนับสนุน จะกลายเป็นตัวหลักในการทำภารกิจครั้งนี้ในที่สุด
หลิวซวนเอ๋อได้อธิบายออกมาด้วยรอยยิ้มในฐานะหัวหน้าทีม
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่หลิวซวนเอ๋อพูดจบลง ไป๋ชิจิ้งได้กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงน่าตบกะโหลก “ใช่แล้วผู้การฮั่น ท่านไม่ควรจะมองข้ามในความสามารถของเขา ต่อให้เขานั้นจะคือคนแล่เนื้อแห่งสำนัก แต่ทักษะของเขาน่าเหลือเชื่ออย่างไม่อาจมองข้ามได้”
“คนแล่เนื้อ…เหรอ” ใบหน้าของฮั่นเปียวแสดงออกมาอย่างแปลกประหลาดในทันทีที่ได้ยิน อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นถึงผู้นำของอาณานิคม ฮั่นเปียวได้รีบเปลี่ยนท่าทีโดยพลัน “ฮี่ฮี่ฮี่ สำนักเต่าดำช่างเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง วิกฤตการณ์ของอาณานิคมของพวกข้านั้นในที่สุดต้องคลี่คลายได้เป็นแน่”
…
“นายพลฮั่น ท่านช่วยบอกสถานการณ์เกี่ยวกับวานรเขี้ยววายุในปัจจุบันให้พวกเรารู้ได้รึเปล่า”
บนโต๊ะอาหาร กัวเหลียงได้ถามออกมาในขณะที่กำลังกัดกินเนื้อสัตว์ประหลาด
ฮั่นเปียวที่ได้ยินก็ได้ถอนลมหายใจออกมายาวๆและแสดงท่าทีอึดอัดออกมาอย่างเห็นได้ชัด “นายท่าน เมื่อครึ่งเดือนก่อนนั้นเจ้าวานรเขี้ยววายุที่มีระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นตัวนี้ที่ไม่รู้มาจากไหนเหมือนกันได้ปรากฏตัวขึ้นและเริ่มทำลายอาณานิคมของเรา โดยมันได้ลอบโจมตีอยู่หลายครั้ง”
นอกจากข้าแล้วก็มีเพียงนักรบสายเลือดระดับทหารเพียงสองคนเท่านั้นที่พอสู้ได้ ไม่อย่างนั้นอาณานิคมของพวกเราคงจบสิ้นไปแล้ว แต่หากพวกเราเผชิญหน้าตรงๆก็ไม่ได้ต่างไปจากการรนหาที่ตายเหมือนกัน
“และในช่วงเวลาเพียงครึ่งเดือนมานี้ ชาวอาณานิคมของข้านั้นต้องตกตายไปเกือบสี่สิบคน”
“ด้วยความแข็งแกร่งของตัวข้านั้นไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้เพียงลำพัง นี่จึงเป็นเหตุที่ข้าส่งคำขอไปยังสำนักเต่าดำ”
ในทันทีที่ฮั่นเปียวพูดจบลง ไป่ชิจิ้งได้ยกมือขึ้นมาและพูดด้วยความมั่นใจ “อย่ากังวลไปนายพลฮั่น มันก็แค่ลิงภูเขาที่ดุร้ายก็เท่านั้น ในตอนนี้ท่านมีนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณถึงหกคนเลยนะ ท่านจะยังคงกังวลอะไรอีก หรือท่านคิดว่าพวกเราจะโค่นมันไม่ได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ได้ ข้าไม่กังวลเรื่องนั้นแล้ว เอาล่ะ ข้าได้เตรียมไวน์กับการแสดงเต้นรำให้พวกท่านเป็นการต้อนรับไว้แล้ว เชิญรับชม”
ฮั่นเปียวในตอนนี้แสดงท่าทีมีความสุขออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยิน เขาได้ปรบมือส่งสัญญาณและในทันทีนั้น หญิงสาวจำนวนหนึ่งได้ออกมาร่ายรำอย่างสุดความสามารถ
ในขณะเดียวกัน ได้มีสาวน้อยน่ารักได้ออกมารินไวน์ให้กับทุกคน
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ข้าขอแนะนำให้รู้จัก เธอคนนี้คือฮั่นหยูน้องเล็กของข้า เธอเป็นหนึ่งในสองคนที่เป็นนักรบวิญญาณระดับทหารหนึ่งในสองของอาณานิคมของข้า”
ฮั่นหยูได้ยิ้มออกมาด้วยท่าทีเอียงอายในขณะที่รินไวน์ลงในชามให้กับเฉินเฉียงและคนอื่นๆ
“มาดื่มกันดีกว่า ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษแห่งสำนักเต่าดำ เพื่อเป็นการต้อนรับพวกท่าน พวกเราได้นำไวน์ที่ดีที่สุดในอาณานิคมนี้มาเลี้ยงต้อนรับ ขอให้ทุกท่านมีช่วงเวลาดีๆกันนะ”
ฮั่นเปียวและน้องสาวได้ยกชามไวน์ของตนขึ้นและพูดออกมาอย่างให้เกียรติ
เฉินเฉียงและคนอื่นๆได้มองหน้ากันด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะยกชามไวน์ของตนขึ้นมา
หลังจากดื่มไปได้อึกหนึ่ง โดยไม่มีใครคาดคิด ไป่ชิจิ้งได้พ่นไวน์ออกมา เขาขมวดคิ้วและโวยวายออกมาในทันที
“นายพลฮั่น พวกเราศิษย์แห่งสำนักเต่าดำมาช่วยท่านถึงที่นี่แต่ท่านกลับเลี้ยงต้อนรับเราด้วยไวน์ห่วยแตกอย่างนี้เนี่ยนะ”
รอยยิ้มของฮั่นเปียวได้กระตุกในทันทีที่ได้ยินก่อนที่จะรีบพูดออกมา “ข้าต้องขอโทษนายท่านจริงๆ ด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบากของเราในตอนนี้ทำให้ไม่สามารถหาไวน์ที่ดีกว่านี้ได้จริงๆ โปรดให้อภัยพวกเราด้วยนายท่าน”
“ศิษย์น้องไป่ นี่มันเกินไปแล้ว นั่งลงเดี๋ยวนี้” หลิวซวนเอ๋อได้มองไปที่ไป่ชิจิ้งอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะหันไปหานายพลฮั่นเปียวด้วยรอยยิ้มและพูดออกมา “ศิษย์น้องไป่ของข้าคนนี้มาจากเมืองเหมันต์จันทรา เขาไม่เคยได้สัมผัสความยากแค้นในอาณานิคมมาก่อน ขอให้ท่านอย่าได้ถือสา”
“ไม่ไม่ไม่ ไม่ต้องหรอกทุกท่าน ในเมื่อเป็นคนของสถานที่ที่สงบสุขและสมบูรณ์แบบนั้น นี่ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ทุกท่านอย่าได้กังวลไป ลองชิมเนื้อกันดูก่อน”
เฉินเฉียงในตอนนี้รู้สึกขุ่นเคืองในท่าทางที่เกินเลยของไป่ชิจิ้งในทันที
เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลิวซวนเอ๋อว่าไป่ชิจิ้งนั้นเป็นคนจากเมืองใหญ่อย่างเมืองเหมันต์จันทรา จึงไม่แปลกที่คนคนนี้จะไม่รู้เห็นหรือรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกภายนอก นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่คนคนนี้จะมีนิสัยแย่ได้ถึงขนาดนี้
“แหว่ะ ผู้การฮั่น ข้าขอบอกไว้เลยนะ นอกจากไวน์นั่นจะไม่ดีแล้ว เนื้อนี่ยังห่วยแตก นี่ท่านกำลังคิดว่าพวกเรานั้นเป็นหมารึไงกันถึงคิดว่าพวกเราจะกินเนื้อห่วยๆแบบนี้ได้ลง”
ไป่ชิจิ้งที่นั่งลงได้หยิบเนื้อในจานและเขวี้ยงเนื้อลงพื้นด้วยใบหน้าที่แสดงออกซึ่งความขยะแขยง
ฮั่นหยูที่นั่งอยู่ข้างๆฮั่นเปียวได้วิ่งไปหยิบเนื้อชิ้นนั้นอย่างเสียดายเพราะที่อาณานิคมแห่งนี้เองก็ไม่ได้มีเนื้อสัตว์ประหลาดมากมายอะไรนัก เธอหยิบเนื้อชิ้นนี้ขึ้นมาไว้ในมือและปัดมัน
“อ่า… ท่านเฉิน…” ฮั่นหยูในตอนนี้มองเฉินเฉียงด้วยดวงตาที่กลมโตที่สวยงามอย่างสับสนในทันที
นั่นก็เพราะเฉินเฉียงได้หยิบเนื้อจากมือเธอโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่จะกลับไปนั่งที่และเคี้ยวเนื้อไปอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่แม้แต่จะปัดฝุ่นดินที่เลอะอยู่
“เหอะ ไอ้คนแล่เนื้อชั้นต่ำ”
ไป่ชิจิ้งได้ยิ้มเย้ยออกมาอย่างดูถูก
“ไป่ เจ้าพูดอีกทีสิ”
ต่อให้เฉินเฉียงพึ่งจะเข้ามาในสำนักเต่าดำ แต่กัวเหลียงนั้นกลับมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับศิษย์น้องของตนคนนี้
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความรวดเร็วในการบ่มเพาะ เฉินเฉียงนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่รักในพวกพ้องจนเรียกได้ว่าภักดีได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เดิม ศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษนั้นมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นประดุจพี่น้องกันอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นไป่ชิจิ้งหาเรื่องศิษย์น้องของตนอยู่ซ้ำๆ ในฐานะศิษย์พี่อย่างกัวเหลียง มีหรือที่จะอดทนได้ตลอดไป
ถึงแม้ไป่ชิจิ้งจะดูแคลนเฉินเฉียงขนาดไหนก็ตาม แต่เขาย่อมไม่กล้าที่จะมีเรื่องกับกัวเหลียงอย่างแน่นอน
แต่นั่นก็เป็นเพราะระดับการบ่มเพาะของกัวเหลียงนั้นสูงล้ำกว่าเขาเพียงเท่านั้น
“ศิษย์พี่กัวอย่าได้โกรธเคืองไป”
เฉินเฉียงได้ยิ้มก่อนที่จะดึงมือของกัวเหลียงให้นั่งลงหลังจากโกรธจนต้องยืนขึ้นและเตรียมที่จะมีเรื่องไปเมื่อครู่
“ศิษย์พี่ไป่ สิ่งที่ท่านกล่าวมาถูกต้องแล้ว ตัวข้า เฉินเฉียงนั้นมีพื้นเพอันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ก่อนจะเข้ามาสำนักเต่าดำนั้น ข้าเองก็เป็นเพียงหนึ่งในทีมเก็บกู้ซากศพแห่งอาณานิคมเขาหมางเพียงเท่านั้น”
“แต่ท่านรู้อะไรไหม”
“ในอาณานิคมเขาหมางของข้านั้น อย่าว่าแต่ไวน์ดีๆแบบนี้เลย แม้แต่ไวน์ที่แย่สุดๆที่นำไปผสมน้ำก็ยังยากที่จะได้ดื่มกิน”
“ส่วนเนื้อแบบนี้…”
เฉินเฉียงที่ได้จ้องมองไปยังเนื้อสัตว์ประหลาดเปื้อนฝุ่นที่อยู่ในมือ น้ำตาของเขาได้คลอขึ้นมาเมื่อจ้องมองเนื้อนี้เพราะมันทำให้เขาคิดถึงปู่ซุนของเขา
“ในอาณานิคมเขาหมางนั้น คนอย่างท่านคงไม่เคยรับรู้หรอกว่าการได้กินเนื้อพวกนี้จะมีความสุขมากมายขนาดไหน ต่อให้มันเป็นชิ้นเล็กๆในมื้ออาหารก็ตาม”
“ข้าเชื่อว่ากับเนื้อติดกระดูกที่พวกเราได้กินอยู่นี้ แม้แต่นายพลเองก็อาจจะไม่ได้กินด้วยซ้ำ ท่านน่าจะเก็บไว้เพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อซะมากกว่า”
“กับลูกคนรวยที่เติบโตในเมืองใหญ่แบบนั้นจะไปเข้าใจความยากลำบากในการมีชีวิตอยู่ในอาณานิคมได้ยังไงล่ะจริงไหม”
“พวกเราเหล่าศิษย์แห่งสำนักเต่าดำนั้นไม่เคยต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม แต่ก็จงอย่าได้หลงลืมว่าสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรานั้นยังอยู่ในขั้นวิกฤต เพียงแค่พวกเราเป็นคนของสำนักเต่าดำ ใช่ว่าพวกเราจะกร่างทำตัวยังไงก็ได้แบบนี้”
เมื่อเขาพูดด้วยท่าที่รุ่มร้อนประดุจดั่งอยากมีเรื่องออกมาก็ได้ทุบโต๊ะไปทีหนึ่งจนทำให้ไวน์ในชามกระเพื่อมกระจายจนเกือบหก
แม้คำพูดของเฉินเฉียงแต่ละคำพูดจนทำให้ไป่ชิจิ้งโกรธจนเปลี่ยนท่าทีอย่างไม่อยู่สุขจนอยากจะยืนขึ้นพูดสวนกลับตอกหน้ายังไงก็ตาม แต่ด้วยสายตาของกัวเหลียง หลิวซวนเอ๋อและคนอื่นๆที่จ้องเขาอย่างขุ่นเคืองอย่างหนักทำให้เขาทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งอาณานิคมนี้ทำให้ฮั่นเปียวรู้สึกได้ว่าต้องรีบคลี่คลายสถานการณ์ในทันที “ไอ๊หยา นายท่าน ถึงแม้สถานการณ์ของพวกเราจะยากลำบาก แต่อย่างน้อยๆพวกเราก็ยังหาทางกินกันจนอิ่มท้องได้อยู่นี่นา”
“มา มา มา อย่าได้มีเรื่องกันดีกว่า เรามากินกันเยอะๆให้อิ่มท้องกันก่อน”