ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 97 ตั้งคำถาม
บทที่ 97 ตั้งคำถาม
“เจิ้งตี้ เจ้าจะหัวเราะทำซากอะไร”
เจิ้งตี้ที่ได้ยินก็ยักไหล่ไปเล็กน้อยและพูดออกมา “ทำไมข้าจะหัวเราะไม่ได้ล่ะ กัปตันจาง เพื่อซ่อนความจริงที่ว่าเจ้านั้นไม่มีกึ๋นพอที่จะทำภารกิจสอดแนมได้นี่เจ้าถึงกับพูดข้อมูลมาส่งๆเพื่อให้พวกเราถอยกลับไปสินะ”
“คงไม่ใช่ว่าหมายจะล้มแผนชิงโจมตีพวกสัตว์ประหลาดของผู้การหรอกนะ”
เพียงสิ้นเสียงของเจิ้งตี้ เหล่าคนทั้งแปดแห่งกองกำลังเทียนเว่ยก็มีท่าทีเดือดดาลแบบสุดๆ
“เจิ้งตี้ เจ้าอย่ามากล่าวหากองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานะโว้ย”
เมื่อเห็นว่าจางหยวนและคนอื่นๆในทีมเทียนเว่ยโกรธจนเก็บอาการไม่อยู่ เจิ้งตี้ก็ได้มองพวกเขาด้วยสายตาที่ดูแคลน “อะไร อยากจะสู้รึไง พวกเจ้าแปดคนคิดจะสู้กับกองกำลังคุนเผิงทั้งห้าร้อยคนนี่นะ นี่พวกเจ้าคงเบื่อโลกมากมายกันแล้วล่ะสิ”
คำพูดของเจิ้งตี้ได้ทำให้หวู่เจียงและคนอื่นๆในกองกำลังคุนเผิงนั้นต่างก็ทำท่าฮึ่มฮั่มกันออกมาในทันที และนี่ทำให้กองกำลังคุนเผิงทั้งหมดแทบจะก้าวเดินเข้าหาจางหยวนและคนอื่นๆแทบจะพร้อมๆกัน พลางมองจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยอย่างเอาเรื่อง
เจิ้งตี้ได้สบถออกมาอย่างดูแคลน “เหอะ ก็ไม่กล้าสินะ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าพวกแกจะอยู่รอดได้นานสักเท่าไหร่”
เมื่อหวู่เจิ้งเห็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายเตรียมปะทะ เขาในฐานะกัปตันของกองกำลังคุนเผิงเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่ระหว่างการทำภารกิจ เขาเชื่อว่าตราบใดที่เขาลดทอนความโกรธเคืองของกองกำลังเทียนเว่ยได้ เรื่องทุกอย่างคงจบลง เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงรีบเดินขึ้นหน้า และพูดแนะนำออกมา “เอาน่า พวกเราล้วนแล้วแต่ต้องการฆ่าไอ้พวกสัตว์ประหลาดนั่นกันทั้งนั้น ในฐานะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นทหาร พวกเราไม่ควรจะมี….”
แต่เพียงไม่ทันที่หวู่เจียงจะพูดจบดี เขาก็ไม่คิดว่าเฉินเฉียงที่อยู่ใกล้เจิ้งตี้ที่สุดในตอนนี้จะดึงดาบดั้นเมฆออกมาและฟันไปที่เจิ้งตี้ที่ไม่เคยแยแสเฉินเฉียงเลยแม้แต่น้อย
เอาจริงๆแล้วไม่มีใครคิดว่าคนระดับเฉินเฉียงจะเป็นตัวเปิดกันเลยสักคน
ก่อนหน้านี้แม้กองกำลังภายในตึกจอมพลทั้งสิบกว่ากองนั้นจะมีเรื่องขัดแย้งอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงการกดไม่ให้กองกำลังอื่นข้ามหัวกันไปได้ง่ายๆเท่านั้น
การต่อสู้เหล่านี้จะหยุดกันอยู่ที่พูดจาหาเรื่องหรือไม่ก็การประลองด้วยการล่าแต้มที่เกินจากการฆ่าสัตว์ประหลาด แต่พวกเขานั้นไม่เคยคิดจะสู้กันจนถึงตาย
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการที่เฉินเฉียงฟันไปที่เจิ้งตี้ถึงกับทำให้ทุกคนต้องตะลึงงัน
กับคนที่คอยยุแหย่ชาวบ้านให้ตีกันแบบเจิ้งตี้ เขาย่อมไม่เห็นเฉินเฉียงที่คิดว่ามีระดับการบ่มเพาะต่ำต้อยอยู่ในสายตา
ระดับเทียบเท่ากับนายพลวิญญาณนั้น โดยปกติจะไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับคนที่มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำชั้นกว่าตนอย่างระดับทหารอยู่แล้ว ซึ่งระดับชั้นเหล่านี้จะเห็นได้ชัดในทันทียามศึกสงคราม นั่นก็เพราะเหล่าระดับนายพลวิญญาณจะมีเกราะพลังงานสายเลือดเคลือบร่างกายอยู่ตลอดเวลา แต่กับระดับทหารนั้น ต่อให้อยากจะมีสักแค่ไหนก็ไม่สามารถ
แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นถึงแม้เขาจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณ แต่พลังสายเลือดของเขานั้นไร้สีสัน นี่จึงทำให้เจิ้งตี้ประเมินเฉินเฉียงพลาดตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยการโจมตีอันรวดเร็วของเฉินเฉียง ทำให้เจิ้งตี้มีเวลาตัดสินใจใช้เกราะพลังงานสายเลือดเคลือบชั้นร่างกายได้เพียงบางๆเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การโจมตีของเฉินเฉียงในครั้งนี้เอง นอกจากเขาจะเคลือบชั้นพลังงานสายเลือดไว้ที่อาวุธ แถมเขายังตวัดดาบของเขาอย่างรวดเร็วและทรงพลังหมายจะเอาชีวิต
เจิ้งตี้เองแม้จะตอบสนองจนหลบไปได้ แต่เกราะพลังงานของเขานั้นได้แตกออกในทันที และนี่ทำให้เขาต้องสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง
“เฉิน…เฉียง”
จางหยวนนั้นตกตะลึง แต่เขาก็ยังก้าวเข้าไปและลากเฉินเฉียงกลับออกมาได้ เขาตะคอกออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าทำบ้าอะไร”
กับสถานการณ์ที่เกิดตรงหน้านี้ทำให้หวู่เจียงและคนอื่นของกองกำลังคุนเผิงสายตากลายเป็นแดงก่ำอย่างโกรธแค้น เขาและคนอื่นๆใช้ตัวป้องกันเจิ้งตี้ในทันที เขายกมือขึ้นชี้ไปที่จางหยวนและพูดออกมา “จางหยวน นี่เจ้าคิดจะก่อปัญหาภายในงั้นเรอะ วันนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
เมื่อเห็นหวู่เจียงพุ่งเข้ามาหา เฉินเฉียงได้ผลักจางหยวนออกไปก่อนที่จะกระโดดลอยตัวขึ้นฟ้า “กัปตันหวู่เจียง ใจเย็นก่อน เจิ้งตี้นั่นมันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ มันคือสายลับที่แฝงตัวเขามายังตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา”
หลังจากพูดจบ เขาก็ได้ทะยานไปกลางอากาศอีกครั้งมุ่งเข้าหาเจิ้งตี้ที่ในตอนนี้มีแขนเหลือข้างเดียว พลางตวัดดาบของตน
แต่เมื่อเสียงการปะทะดังขึ้นมา ดาบของเฉินเฉียงนั้นกลับถูกหยุดไว้โดยหวู่เจียง
“เจ้าเป็นใคร ทำไมต้องกล่าวหาเจิ้งตี้ด้วย เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
หลังจากมองเฉินเฉียงที่ไม่คุ้นตาผู้นี้ เขาก็ได้รีบหันไปมองจางหยวนราวกับต้องการคำอธิบายให้จงได้
จางหยวนในตอนนี้เห็นว่าเรื่องราวเกินควบคุมเกินไปแล้วนั้น นี่ทำให้เขานั้นไม่มีทางเลือกจึงได้เดินขึ้นหน้าพร้อมกำหมัดของตนแน่น “หวู่เจียง นี่คือศิษย์น้องของข้าที่มีชื่อว่าเฉินเฉียง เขามาจากสำนักเต่าดำ เขาบอกก่อนหน้านี้ว่ามีสายลับแฝงตัวอยู่ในตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา แต่ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นเจิ้งตี้”
หวู่เจียงที่ได้ยินก็รีบเหลือบมองกลับไปมองยังเจิ้งตี้ที่กำลังถือแขนของตนไว้และรีบถามออกมา “เจิ้งตี้ เจ้าคือสายลับรึ”
เจิ้งตี้ที่ในตอนนี้กำลังถูกพยุงโดยนักรบสองคนเมื่อได้ยิน แน่นอนว่าเขาย่อมปฏิเสธอย่างทันควัน ก่อนที่จะมองที่เฉินเฉียงและพูดออกมา “แก แกต่างหากที่เป็นสายลับ ไอ้ตัวไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าแบบแกต่างหากละโว้ย”
“กัปตันหวู่ นับแต่ข้าเข้ามาในกองกำลังคุนเผิง ข้า เจิ้งตี้ผู้นี้ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กองกำลังมากมายพวกท่านก็เห็น อย่างน้อยๆพวกท่านก็ควรจะเห็นว่ามีสัตว์ประหลาดตั้งมากมายที่ตกตายในมือข้า แล้วข้าจะเป็นสายลับของพวกมันได้ยังไง”
หวู่เจียงได้พยักหน้ารับก่อนที่จะหันไปมองที่จางหยวนและพูดออกมา “จางหยวน ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ แต่มันใหญ่เกินที่พวกเราจะตัดสินได้ แต่นี่..เพื่อนของเจ้านั้นกลับกล้าทำร้ายคนโดยไม่คิดจะไต่ถามกันเลยเนี่ยนะ”
“เฉินเฉียงผู้นี้เจ้าต้องส่งตัวมันให้ข้าเพื่อส่งไปให้ผู้การสำเร็จโทษ ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่ยอมเลิกลาแน่”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็ฟิวส์ขาดจึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กัปตันหวู่ ข้าไปกับเจ้าได้ แต่ถ้าเจิ้งตี้มันเป็นสายลับจริงๆล่ะ”
“เอาอย่างนี้ เจ้ามาจับข้าไปได้เลย แต่เจิ้งตี้นั้น มันจะต้องถูกคุมตัวโดยกัปตันจางหยวน และนำมันไปไต่สวนพร้อมกับข้าผู้นี้”
“ถูกต้องอย่างที่สุด หวู่เจียง เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของตึกจอมพลเหมันต์จันทรา พวกเจ้าจะปล่อยเรื่องนี้เพียงเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่ได้”
“อย่าลืมว่าสองเดือนที่ผ่านมานี้ ทุกๆครั้งที่พวกเราต่อสู้กับสัตว์ประหลาด กองทัพของพวกเรานั้นสูญเสียมากเกินไป หากว่านี่เกิดขึ้นเพราะมีสายลับเล็ดลอดเข้ามา นี่ก็ดูสมเหตุสมผลแล้ว”
“ถ้าหากว่าเจิ้งตี้เป็นคนทำแล้วมันคิดหลบหนีไปล่ะ”
“การจับมันกลับไปไต่สวนเกี่ยวกับเรื่องนี้พร้อมกับเฉินเฉียงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด”
เมื่อเจิ้งตี้ได้ยินก็เริ่มเผยธาตุแท้และเริ่มใช้วาจาใส่ไฟอีกครั้ง “กัปตันหวู่ ก็เห็นกันอยู่ชัดๆว่าไอ้พวกนี้มันหาเรื่อง”
“หากว่าข้าเป็นสายลับจริงแล้วข้าจะฆ่าพวกสัตว์ประหลาดไปทำไมกันตั้งมากมาย”
เฉินเฉียงได้เผยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกออกมา “เรื่องนี้อธิบายง่ายมาก เพื่อที่จะลอบเข้าตึกจอมพลให้ได้นั้นแกก็ต้องสร้างผลงานอย่างการฆ่าสัตว์ประหลาดจำนวนมากไม่ใช่รึไง อีกอย่างนะ ข้ายังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าเป็นสัตว์ประหลาด ข้าก็บอกออกมาโต้งๆว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ต่อให้สัตว์ประหลาดล้มตายไปมากมายแล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับแก”
“ยิ่งไปกว่านั้น หากแกบริสุทธิ์จริง แกก็แค่กลับไปโดนไต่สวนพร้อมข้าก็แค่นั้น”
“แกคิดว่าข้ากลัวงั้นเหรอ ที่ข้าพูดหมายถึงว่าไม่ว่าแกจะใส่ร้ายข้ายังไง แต่ผลที่ออกมาคือข้านั้นบริสุทธิ์ แล้วข้าจะไปเสียเวลาทำห่าเหวอะไรกัน เอาอย่างนี้ไหมล่ะ หากว่าข้าพิสูจน์ได้ว่าแกใส่ร้ายข้า ข้าจะให้กัปตันหวู่ตัดแขนเจ้าสักข้าง ไม่อย่างนั้นความเกลียดชังในใจข้าคงไม่จางหายไป”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยม” เฉินเฉียงแสดงความปีติยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“หากแกอยากจะหน้าแหกตอนนี้ก็ได้เลย ข้ายินดีสนองความต้องการของเจ้า”
“เจิ้งตี้ ข้าขอถาม กัปตันจางและพวกได้รับคำสั่งให้ออกไปสอดแนมสถานการณ์ข้าศึก แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ถูกล้อมโดยกองกำลังสัตว์ประหลาดได้ล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกมันยังรู้อีกว่าทีมของกัปตันจางนั้นมีกันทั้งหมดแปดคน”
“เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ได้ยังไง”
เมื่อเฉินเฉียงพูดออกมานี้ได้ทำให้หวู่เจียงมองไปที่จางหยวนอย่างนิ่งเงียบ
จางหยวนก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “เป็นความจริง ตอนที่ข้าเข้าไปสำรวจในหุบเขา พวกข้าถูกพวกมันล้อมไว้อย่างสมบูรณ์”
-แล้วนี่จะนำไปพิสูจน์ได้ยังไงว่าใครเป็นคนเผยข้อมูลกัน-
แต่ในตอนนี้เจิ้งตี้กลับปฏิเสธออกมา “มันก็แค่หมายความว่ามีสายลับไม่ใช่รึไงวะ แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับข้า”
“ไม่เกี่ยวกับแก หึหึหึ” เฉินเฉียงได้มองไปที่เจิ้งตี้และพูดออกมา “นี่แกคงยังไม่รู้ตัวสินะ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหล่ะ พอดีว่าข้านั้นได้ไปเจอสัตว์ประหลาดสองตัวเข้าโดยบังเอิญในระหว่างที่จะมุ่งหน้าไปตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา ข้าได้ยินพวกมันพูดว่าแกเป็นคนส่งข้อมูลให้สัตว์ประหลาดและเป็นคนสั่งให้กำจัดกัปตันจางหยวนและคนในกองกำลังทั้งแปดไม่ให้เหลือสักคน แล้วเจ้า มี อะ ไร จะ พูด อีก รึ เปล่า”
คำพูดแปดคำสุดท้ายของเฉินเฉียงดังจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะโกนเลยทีเดียว
เมื่อเจิ้งตี้ได้ยินก็รีบตะเบ็งเสียงแข่งในทันที “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง คนของข้าไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องของข้าให้พวกแกได้รับรู้…..”
ด้วยความที่รนรอนเมื่อได้ยินรายละเอียดที่ยิบ ทำให้เจิ้งตี้ได้ทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยตัวเอง