ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 35
ทันทีที่ หลินเฉิง เดินก้าวขาออกจากประตูเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างติดตามเขามา หลินเฉิง หันหลังกลับไปก็เห็นลูกหมาตัวเล็กๆกำลังเดินตามเขาอย่างเงียบๆ พอเขาหยุดมันก็จะหยุดและนั่งลงกับพื้นเช่นกัน
หลินเฉิง รู้สึกสนใจเล็กน้อย เขาก้มลงไปอุ้มมันอีกครั้งดูเหมือนว่าลูกหมาตัวนี้ค่อนข้างที่จะไร้เดียงสา หลินเฉิง นั้นชอบ แต่เพราะเขาเป็นคนยากจนและอาศัยอยู่ในหอพักรวมดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เลี้ยงดูพวกมัน แต่เขาก็ยังมีความรู้เกี่ยวกับสุนัขต่างๆ ลูกสุนัขสามารถอดอาหารได้นานกว่า 1 สัปดาห์เป็นข้อพิสูจน์ว่ามันมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก่อน จากนั้นเมื่อมันพบ หลินเฉิง เป็นครั้งแรกมันเลือกที่จะเผชิญหน้าแทนที่จะวิ่งหนี มันแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในนิสัยของมัน ด้านหลังของมันเป็นสีดำท้องของมันเป็นสีเหลือง ดวงตาของมันดำสนิทบ่งบอกถึงสายเลือดแท้ของมัน
หลินเฉิง จับลูกหมาตัวน้อยที่ฉลาดผิดปกติอย่างระมัดระวัง แล้ววางมันลงกับพื้นเขาจ้องมองมันด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิง มีเสียงในหัวของเขาบอกว่านี่คือจุดจบของโลกแม้ว่าเขาจะมีระบบแคปซูลเขาก็ทำได้เพียงดูแลตัวเองเท่านั้นและไม่สามารถดูแลคนอื่นๆได้
แต่อีกเสียงหนึ่งบอกเขาว่าหมาน้อยตัวนี้เฉลียวฉลาดและมันมีชะตากรรมต้องกันกับเขา เขาไม่เคยมีโอกาสได้เลี้ยงดูสุนัขมาก่อน และโอกาสนี้อยู่ตรงหน้าแล้วทำไมเขาถึงจะต้องละทิ้งโอกาสนี้?
หลังจากคิดอยู่นาน หลินเฉิง ก็พยายามสลัดความคิดของตัวเองและตัดสินใจเลิกคิดที่จะเลี้ยงมัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาจะต้องทำใครจะมีจิตใจมานั่งเลี้ยงลูกสุนัขอยู่
หลังจากนั้น หลินเฉิง ก็ตัดสินใจที่จะก้าวลงบันไดอย่างไม่สนใจสิ่งใด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเพื่อนตัวน้อยหรือยังคงตามอยู่ด้านหลังอยากแนวแน่ ทันทีที่เขาเดินลงมาชั้น 7 ของอาคาร ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างกลิ้งลงมาจากบันได!
หลินเฉิง ไม่แม้แต่จะเหลียวตามองเขารู้ว่าสัตว์ตัวน้อยนี้อ่อนแอแล้วมันเองพยายามที่จะติดตาม หลินเฉิง ให้ทันทำให้มันกลิ้งลงมาจากบันได แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะพยายามคว้ามันไว้ไม่ให้มันกลิ้งลงไปไกลกว่านี้ เมื่อเขาสามารถคว้ามันได้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้าเพื่อนตัวน้อยคงเป็นโชคของแก! เฮ้อ..ฉันเองก็เป็นหมาหัวเน่าส่วนนายเองก็เป็นหมาที่ถูกทิ้ง โชคชะตาคงนำพาให้เราอยู่ร่วมกัน!”
เมื่อมองเห็นลูกหมาตัวน้อยอยู่ในมือของเขา หลินเฉิง พูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เนื่องจากมีการตัดสินใจแล้ว หลินเฉิง ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาดึงผ้ามาจากในห้องและทำเป็นถุงคล้องคอจากนั้นเอาสุนัขตัวน้อยแนบไว้ที่อก เขากำลังคิดถึงภาระอีก 1 ปากที่คอยกินในอนาคตแต่เขาก็ไม่สนใจอย่างน้อยเมื่อเขามีมันเขาคงไม่เหงาอีกต่อไป…
เจ้าหมาน้อยนอนหลับอยู่บนอกของ หลินเฉิง จน หลินเฉิง เดินมาถึงชั้นล่าง เขากำลังคิดเกี่ยวกับอาหารสุนัข ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะยังไม่กลับไปยังโรงแรมของตัวเองในตอนนี้ เขาเดินทางเกือบ 2 กิโลเมตรเพื่อตามหาร้านขายสัตว์เลี้ยงและอาหารสุนัข นอกจากนี้เขายังได้รับค่าพลังงานมากกว่า 20 คะแนนตลอดเส้นทาง
ในที่สุดก็กลับมาถึงโรงแรมก่อนมืด ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องกลับมาที่นี่ เพราะของและเสบียงทั้งหมดของเขาอยู่ในแคปซูลจัดเก็บอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดภัยพิบัติของโลกมันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับมัน
หลินเฉิง ค่อยๆวางลูกสุนัขไว้บนพรมนุ่มๆแล้ววางกล่องอาหารสุนัข ถ้วยชามที่เต็มไปด้วยน้ำวางไว้ข้างๆมันส่วน หลินเฉิง กินขนมปัง 2 ชิ้นและนอนลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้งานนี้บรรลุผลสำเร็จ หลินเฉิง จะต้องออกแต่เช้าทุกวันและกลับมาในตอนมืด นอกจากเวลากินนอนแล้ว หลินเฉิง จะต้องทำลายประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ซอมบี้และตัวกินคนออกมา การทำลายประตูแต่ละครั้งทำให้ หลินเฉิง ใช้พลังงานทางร่างกายมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
อย่างไรก็ตามในวันรุ่งขึ้นเขาตัดสินใจลองเสี่ยงโชคไปยังจัตุรัสหว่านเฉียน ตราบใดที่เขาโชคดีและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น 2-3 วันเขาควรที่จะสามารถเก็บคะแนนพอที่จะแลกเปลี่ยนเป็นแคปซูลรถยนต์ได้
…..
“เจ้าลูกหมาตัวน้อย ต่อไปจงเชื่อฟังฉันเข้าใจไหม!หากนายทำไม่ได้ฉันจะเอานายลงหม้อตุ๋น!”
เช้าวันรุ่งขึ้น…
หลินเฉิง ตื่นเพราะลูกสุนัขกัดขากางเกงของเขา มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพื่อนตัวน้อยที่ดูเหมือนกำลังจะตายเมื่อวาน กลับสามารถก่อกวนเขาในตอนเช้าได้
ลูกหมาตัวน้อยไม่ได้สนใจอารมณ์หงุดหงิดของ หลินเฉิง มันยังคงตัดขากางเกงของเขาอย่างระมัดระวังและไม่ยอมปล่อย
เวลานี้เป็นเวลาเกือบเที่ยง ดูเหมือนว่าเจ้าหมาตัวน้อยไม่ต้องการให้ หลินเฉิง เปิดประตูออกไปมันพยายามที่จะกัดขากางเกงของเขาและรั้งเอาไว้ หลินเฉิง รู้สึกว่ากำลังเจอกับปัญหาเด็กน้อย
“แกไม่ให้ฉันออกไปข้างนอก แกต้องการให้ฉันอดตายเหมือนกับแกที่รอคอยอยู่ในบ้านอย่างนั้นหรอ แกคิดว่าอาหารสุนัขหล่นมาจากฟ้าหรือยังไง ฉันคนนี้ทำงานหนักก็เพื่อแก!”
เหมือนลูกสุนัขจะฟังคำสั่งของ หลินเฉิง รู้เรื่องมันก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตากับ หลินเฉิง โดยตรง
“เอาล่ะรออยู่บ้านอย่าส่งเสียง ถ้าฉันกลับมาแล้วพบว่าบ้านรก แกโดนดีแน่!”
เมื่อ หลินเฉิง ให้เหตุผลกับสุนัขของเขา ในที่สุดมันก็หยุดกัดขากางเกง เขาไม่รู้ว่ามันเข้าใจคำพูดที่เขาตำหนิมันจริงๆหรือไม่ หลินเฉิง ถอนหายใจเบาๆและนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายังไม่ได้ตั้งชื่อให้กับลูกหมาตัวนี้!
แม้ว่ามันจะมีชื่อมาก่อน แต่ตอนนี้มันได้ติดตามตัวเขาดังนั้นเขาควรที่จะตั้งชื่อให้กับมัน แต่จะตั้งว่าอะไรล่ะ?
วังไค่?ไข่นุ้ย?หัวลีบ?…
หลินเฉิง พยายามนึกถึงชื่อสุนัขทุกตัวที่เขาเคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อคิดว่านำมาตั้งชื่อให้กับลูกสุนัขตัวนี้ เขากลัวว่ามันจะไม่เหมาะยามที่ลูกสุนัขตัวนี้เติบโตขึ้น
ในที่สุดเขาก็เลิกคิดถึงชื่อทรงพลังมากมายในโลกใบนี้ เขาตบลงบนหัวลูกสุนัขและเห็นว่ามันกลิ้งเหมือนกระป๋องโค้กราวกับว่ามันดื่มเหล้าเข้าไป หลินเฉิง หัวเราะและอุ้มมันขึ้นมาจากนั้นพูดว่า
“โคล่า ต่อไปนี้แกจะชื่อว่า โคล่า ฉันหวังว่าแกจะมีชีวิตที่มีความสุขบนโลกใบนี้!”
เจ้าหมาน้อยเข้าใจคำพูดของ หลินเฉิง เมื่อได้ยิน หลินเฉิง เรียกว่าโคล่าบมันเห่า 2 ครั้งเป็นการตอบรับ
เมื่อเห็นพฤติกรรมของเพื่อนตัวน้อย หลินเฉิง หัวเราะชอบใจ และคิดเกี่ยวกับการปล่อยมันไว้ที่นี่เพียงลำพังอีกครั้ง จุดจบของโลกใบนี้ช่างโหดร้ายแม้ว่า โคล่า ยังเด็กแต่มันก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตอันตรายด้านนอก หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดเขาคงต้องอยู่ที่จัตุรัสเป็นเวลาหลายวันการปล่อยให้สุนัขตัวเดียวอยู่ในโรงแรมนั้นทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ
หลินเฉิง ตัดสินใจได้เขาวางมันลงและหันไปหยิบถุงปีนเขาจากนั้นตะโกนใส่ โคล่า 1 คน 1 สุนัขออกเดินทางพร้อมกัน!
———————————