ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 232 หนุ่มน้อย
บทที่232 หนุ่มน้อย?
หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเฟยหยูพูดอยู่ ๆ หลินเฉิงก็นึกถึงความหลังได้ แม่และลูกสาว ที่หลินเฉิงช่วยไว้ที่เมือง หยุนหยาง ถ้าเขาจำไม่ผิด ผู้หญิงที่มีชื่อว่า หลิว ฉิงฉิว น่าจะเป็นภรรยาของผู้นำกลุ่ม เทียนฮ่าว
ในที่สุดเขาก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเทียนฮ่าวได้ หลินเฉิง พยักหน้าเขาใจในสิ่งที่ เฉินเฟยหวู พูดและกล่าวเพิ่มเติมว่า “ฉันก็ประทับใจในสิ่งที่นายพูดนะ….แต่ตอนนี้พวก เทียนฮ่าว น่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไปเดินเล่นร้องเพลงให้สบายใจดีกว่า ใช้เวลาในโรงแรมหรูระดับโลกให้สุดเหวี่ยงไปเลยคืนนี้!”
หลังจากเลิกพูดคุยกันอย่างไร้สาระเขาก็เดินไปเปิดประตูหรูหราขนาดยักษ์ตรงกลางออก
ในนั้นไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้อย่างแน่นอนดูจากไฟที่ดับอยู่ ล็อบบี้ฝ่ายบริการนั้นมืดมิดมองข้างในไม่เห็น แต่แสงสว่างจากเมืองข้างนอกก็ทำให้มองเห็นได้บ้าง
เนื่องจากเป็นโรงแรมนานาชาติระดับห้าดาวการปูพื้นแม้แต่ชั้นแรกก็ถูกปูด้วยไม้ชั้นดี
แม้จะผ่านวันโลกาวินาศมาแล้วสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย ทั้งข้างในละข้างนอกย่อมมีสภาพทรุดโทรมให้เห็น แต่เชิงเทียนห้อยเพดานที่ทำจากเพรชนั้นก็ยังทำให้สถานที่แห่งนี้ดูหรูหราอยู่ได้
หลังจากที่มองดูทั่วๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่เป็นภัย หลินเฉิง ก็พยักหน้าอย่างพอใจก่อนที่จะเดินขึ้นไปดูชั้นบน
หลังจากทีถีบประตูอันหรูหราออกบนชั้นที่3 หลินเฉิง ก็ยังคงสำรวจอาคารแห่งนี้อยู่ แต่หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าอาคารแห่งนี้ปลอดภัย เขาก็กลับไปเพื่อแจ้งผล เขาบอกกับเฟยหยูที่กำลังแบกโต๊ะเพื่อไปวางขวางประตูอยู่ “ฉันพึ่งเห็นว่า มีห้องสามห้องตรงนั้นที่เหมาะกับการใช้งานอยู่พอดี เฟยหยู นายพักที่ห้องในสุดตรงนั้น เจ้าหมี เทียนซือ กับ หยูซาน พวกเธอพักที่ห้องตรงกลาง ส่วนฉันจะพักที่ห้องนอกสุดกับเจ้าโคล่า เก็บข้าวของแล้วเข้าไปนอนกัน พรุ่งนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ…”
หลังจากที่เขาพูดจบเขามองไปยังบนหลังคา ก่อนที่จะกลับเข้าไปยังห้องพักและนอนกับโคล่า
…
วันรุ่งขึ้น
หลังจากที่ทุกคนทำงานหนักมาหลายวันทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายตลอดทั้งคืน ตอนนี้พวกเขาต่างก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณอันเข้มแข็ง ทุกคนต่างก็นั่งอยู่ทานอาหารเช้ากันในห้องโถงใหญ่ของโรงแรม หลินเฉิง กำลังกินแซนวิชที่ หยูซานทำให้สำหรับเขาโดยเฉพาะ เขาค่อยแทะมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนหมดและเช็คแผนที่จังหวัด หนานชู ทั้งหมดไปด้วยในเวลาเดียวกัน
แผนที่แสดงให้เขาเห็นเมืองนี้อยู่บริเวณใจกลางของฝั่งตะวันตกของเกาะ หนานซู ห่างจาก เซียงโจว ที่เป็นเป้าหมายของพวกเขากว่า 200 กิโลเมตร ทุกคนได้แต่กังวลเรื่องระยะทาง และรีบกินอาหารมื้อนี้ให้เสร็จ
ปั่ง!ปั่ง!!
ยังไม่ทันตั้งตัวผู้คนที่กำลังพูดคุยและรีบรับประทานอาหารอย่างรีบร้อนกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอก พวกเขารู้สึกสงสัย และเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีไม่ว่าจะเป็นอะไร!
เมื่อเห็นฝูงคนกำลังตื่นตระหนักหลินเฉิง แบมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกคนใจเย็นลง เขามองผ่านรูประตูสังเกตุสิ่งทีอยู่รอบนอก และเห็นเด็กน้อย ดูผ่าน ๆ แล้วอายุน่าจะประมาณ 10 ขวบ เห็นจะได้ ยืนอยู่เฉย ๆ
หลินเฉิงตัดสินใจว่าจะปล่อยและไม่สนใจหนุ่มน้อยคนนั้น ก่อนที่จะหันกลับไป
“ปั่งปั่ง!”
เขาพึ่งจะหันหลังกลับไปก็ได้ยินเสียงเคาะอีกรอบ แต่รอบนี้เด็กคนนั้นพูดตามมาด้วย “ข้างใน…มีคนอยู่ไหม? ถ้ามีคนอยู้ข้างในหละก็ช่วยผมด้วย?” เด็กหนุ่มพูดอย่างตื่นตระหนัก แม้ว่าจะเป็นเสียงของเด็กตัวเล็กๆ หลินเฉิง ก็ไม่สนใจใยดีด้วย
“พี่หลินมีเด็กอยู่ข้างนอกหรอ?” ไอลีนโนเวล
ได้ยินแบบนั้นหลินเฉิง ก็แกล้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินเสียงข้างนอกนั้น แล้วเดินกลับมาหา จางซวน ที่ได้ยินเสียงเด็กขอความช่วยเหลือเหมือนกัน จางซวนได้แต่ถามเพื่อความแน่ใจ
หลินเฉิงพยักหน้าตอบข้อสงสัยของเขา “เด็กนั้นแหละ แค่เด็กคนนึง….ฉันว่ามันแปลก ๆ นะ ถ้าไม่อยากมีปัญหาปล่อยไอเด็กนั้นไว้แบบนี้แหละ”
“เด็กนั้นมันมีอะไรแปลกหรอ?พี่ หลิน พี่คิดมากไปเองรึปล่าว?” จางซวน ไม่ได้คิดแบบเดียวกับหลินเฉิง เธอเรียนอยู่ในสาขาชีวะวิทยาทางทะเล เธอเป็นคนประเภทที่ชอบเด็กอยู่แล้ว ถ้าโลกนี้ยังไม่แตกจบไปเธอคงอยากจะไปเป็นอาจารย์ เธอไม่เคยรู้สึกว่าเด็กคนนั้นจะมีพิษมีภัยอะไร
เมื่อเห็นว่าจางซวนไม่เชือเขาหลินเฉินก็ยิ้ม “จะใช่แบบนั้นหรอ? งั้นเธอลองออกไปดูก็ได้นะ แต่เตรียมรับผลที่ตามมาด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่หลิน”
แม้หลินเฉิงจะหัวเราะออกมาแต่เฟยหยูก็รู้สึกได้ถึงออร่าอันเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากพี่ใหญ่ เขาให้จางซวน ดูเด็กคนนั้นผ่านตาแมวของประตู ก่อนที่จะสั่งให้เธอเงียบ ๆ ไว้
เมื่อจางซวนระดมคำถามใส่หลินเฉิงเสร็จเขาก็รุ้สึกว่าตัวเองเริ่มหมดคำพูด น่าจะเป็นเพราะเขาคือรุ่นพี่ในสถานะของผู้รอดชีวิต เขาเคยเกือบตายมาแล้วหลายครั้งที่แผ่นดินใหญ่ หลินเฉิง เคยเจอสถานการณ์อันยากที่จะตัดสินใจมาแล้วหลายครั้งนับไม่ถ้วน มันคงจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับเขา
เมื่อหลินเฉิงพูดไม่ออกจางซวนก็หยุดพูดกับเขาและกล่าวขอโทษ “อ่าพี่หลิน ฉันขอโทษ! ฉันแค่อยากจะดูให้แน่ใจ ถ้ามันไม่มีเรื่องแบบนี้ ฉันก็คงจะเป็นคุณครูสอนเด็กปฐมแหละค่ะ…พี่อย่าโกรธฉันเลยนะ พี่หลินพวกเรา เชื่อฟังพี่หลินอยู่แล้ว ไม่คัดคำสั่งพี่หรอก! ”
หลินเฉิงส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน “เธอเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเป็นกลุ่มผู้ลอดชีวิตสองกลุ่ม ที่กำลังจะมุ่งไปยังจุดปลอดภัยด้วยกัน พวกเราเท่าเทียมกัน ไม่ต้องคิดในสิ่งที่พี่พูดมากนักหรอก! ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่ต้องเชื่อสิ่งที่พี่คิดมากหรอกนะ”
“ไม่ใช่นะพี่หลินถึงแม้ว่าเราจะเป็นสองกลุ่ม แต่ตอนนี้พวกเราก็เหมือนเชือกสองเส้นที่พันกันและกันเอาไว้! เดี๋ยวผมจะดูแลเธอเองครับพี่ ไม่ให้เธอพูดจาไร้สาระอีกครับ!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเฉิงพูดหน้าของเฟยหยูก็เปลี่ยนไป เขามองไปยัง จางซวนและเข้าไปช่วย หลินเฉิงพูด
บทสนทนานั้นทำให้คนสองคนรู้สึกกังวลใจหลินรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง เขาได้แต่โบกมือแล้วพูดว่า
“โอเคเราจะไม่พูดเรื่องนี้อีก…”
เขายกข้อมือตัวเองขึ้นมาดูนี้ก็ 9 โมงเช้าแล้ว เขาปล่อยให้หยูซานมองอย่างเยือกเย็นอยุ้ข้างหลัง และเตรียมตัวให้พร้อม
“ปั้งปั้ง!”
‘ใครจะไปตรัสรู้ได้หว่ะเราก็ไม่ชอบแขกที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้นจริงจัง แต่เขาก็ยังเคาะประตูอยู่ ยิ่งเคาะ ยิ่งขอร้องอยู่ตลอดเวลา น่าจะมีใครสักคนในห้องนี้ที่สามารถช่วยเขาได้แหละนะ
หลังจากที่ถูกทำให้รำคราญอยู่หลายครั้งหลินเฉิง ก็ยกโต๊ะที่ขวางประตูออกและเปิดมันออกมา!’
“ได้โปรด…”
ประตูหน้าห้องโถงหลังถูกเปิดออกหนุ่มน้อยคนนั้นกำลังเงื้อมือจะเคาะประตูต่ออีกครั้งพอดี หนุ่มน้อยคนนี้ส่งสายตาอันตื่นเต้นออกมาในทันที! “พี่ใหญ่ช่วยผมด้วยช่วยพี่สาวผมด้วย! ธะ..เธอ….เธอกำลังจะตาย!”
เขาจับชายเสื้อของหลินเฉิง ก่อนที่จะดึงลงและตะโกนใส่อย่างกังวลใจ
“จะใช่แน่หรอ?”
หลังจากที่เขาจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบเขาก็ถามเด็กคนนั้น “บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อน เกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวของนายหะ?”
ตาของเด็กน้อยก็เริ่มจะเป็นสีแดงสีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “เธอ…พี่สาวของผมถูกจับไปทรมาน โดยวายร้ายที่ชื้อ ขง เหวินทิง มันยากมากที่จะหนีออกมา ผมได้แผลมาเยอะมาก ผมเกือบจะมะ..ไม่รอด…”
เมื่อฟังเด็กน้อยตรงหน้าอธิบายเน้นย้ำหลินเฉิง ก็พยักหน้าเข้าใจ “ขง เหวินทิง หรอ? เขาเป็นหัวหน้าของเมืองนี้ใช่ไหม?”
——————————-