ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 250 ความคลุมเครือ
บทที่250 ความคลุมเครือ
เห็นหลินเฉิงทำตัวเยือกเย็นแบบนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มและโบกมือ “ผมต้องขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อ ฉางเหวินฉวน ตอนนี้ปฏิบัติการในตำแหน่งผู้บังคับการแห่งกองพัททะเลน้ำเงินกองพันที่หนึ่ง และผมก็เป็นเพื่อนที่ดีของเสี่ยวเดียด้วย!”
พูดเสร็จเขาก็แอบชะเง้อเข้าไปดูในห้องและยังไม่เห็นใครตามหลินเฉิงออกมาเขาจึงพูดต่อ “ผมได้ยินหนึ่งในลูกน้องของลุงหลีพูดกันว่าญาติของเขาพึ่งมาจากแผ่นดินใหญ่ ผมก้เลยมาเยี่ยมผมอาจจะช่วยอะไรได้บ้างเกียวกับเขา….”
“น้องส้มใครมาหรอ?”
หลี่เฉิงยี่เป็นห่วงว่าทำไมหลินเฉิงหายไปหน้าประตูนานเลยออกมาดูเมื่อเขาเห็นฉางเหวินฉวนอยู่ข้างนอกประตู สีหน้าของลุงก็เปลี่ยนไปเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “อ่าว!เหวินฉวน เข้ามาเลย เข้ามาเลย!”
ลุงหลีจับมือของเหวินฉวนและลากเขาเข้ามา
หลินเฉิงเห็นการแสดงออกของลุงหลีที่มีต่อต่อฉางเหวินฉวนหลินเฉิงก็มีความคิดพุดขึ้นมาในหัวก่อนที่ละยกคิ้วขึ้นและเดินตามเข้าไป
“อ่า!นั่งลง…”
ลุงหลีบอกให้เหวินฉวนนั่งลงก่อนเข้าไปเร่งให้ป้าฉินเอาชามาให้เขา
“ไม่ต้องเป็นหัวครับลุงหลีผมแค่มาเยียมดูว่าทุกอย่างโอเคไหมและผมช่วยอะไรได้ไหมแค่นั้นเองครับ”
เมื่อเห็นคนที่อายุมากกว่าต้องมารีบร้อนเพราะการมาเยือนของเขาเขาก็ยืนขึ้นและพูดห้าม เขาชี้ไปที่หลินเฉิงและพูด “คนนี้คือหลานของลุงที่มาจากแผ่นดินใหญ่ใช่ไหมครับ? สุดยอดไปเลย!”
“อ๋อใช่ๆ! น้องส้มลุงจะแนะนำให้ เขาคือผู้บังคับบัญชา ที่ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรและเศรษฐกิจของฐานทัพทะเลน้ำเงินแห่งนี้!”
“ลุงหลีผมเป็นเด็กใหม่ของที่นี่ ลุงไม่ต้องกล่าวถึงหน้าที่ของผู้บังคับบัญหาให้ผมเลยครับ…”
“ผมสังสัยมาตลอดเลย”ได้ยินคำถามของอีกฝ่ายยหลินเฉิงก็สงสัย “แผ่นดินแม่เป็นพื้นที่ถูกพวกมันควบคุมอย่างหนาแน่น นายออกมาจากพื้นที่ๆ อันตรายขนาดนั้นมาได้ยังไง?”
ได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็ส่ายหน้าเอามือไขว้หลังและพิงไปบนโซฟาก่อที่จะตอบด้วยเสียงต่ำ“ก็นะ ไม่มีอะไรจะพูดหรอก ฉันไม่คิดว่างสถานการณ์ของบนเกาะแห่งนี้กับแผ่นดินใหญ่แตกต่างกันมากเท่าไหร่…”
ฉางเหวินฉวนแปลกใจที่เห็นหลินเฉิงไม่แยแสต่ออะไรต่อเขา ฉางเหวินฉวนก็เลิกคิ้วขึ้น แม้ว่าเขาจะสับสน เขาคิดว่าหลินเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องยศลาภที่ตัวเขามีเลยแม้แต่น้อย เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ เขาแค่ยิ้มและหันไปคุยกับลุงหลีต่อ
เมื่อเห็นหลี่เฉิงยี่ประจบประแจงฉางเหวินฉวนหลินเฉิงก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ข้างใน เขาสามารถตรวจจับอะไรแปลกๆ ได้จากการแสดงออกหลายๆ อย่าง แม้ฉางเหวินฉวนจะพยายามรักษาภาพลักษณ์อันเรียบร้อยไว้ตลอดเวลา แต่ล่องรอยแห่งความมุ่งร้ายและรุนแรงในดวงตาของเขาก็ไม่พ้นความสามารถในการเสาะหาร่องรอยของหลินเฉิงไปได้
เพียงแค่การคุยกันตัวต่อตัวเพียงแปปเดียวเท่านั้นหลินเฉิงก็รุ้ทันทีเลยว่าจิตใจของฉางเหวินฉวนไม่ใช่อะไรที่ปกติทั่วไปแน่ๆ แต่เขาก็พึ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่ถึงวัน สถานะการณ์ในฐานทัพแห่งนี่ก็เป็นอะไรที่เขาไม่รู้เลย เขาทำได้แค่เก็บความไม่พอใจนี้เอาไว้
“กลับมาแล้วค่า!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาอันหน้าเบื่อหน่ายของคนทั้งสองอยุ่นานหลินเฉิงก็ได้ยินเสียงของน้องสาวดังออกมาจากข้านนอกก่อนที่จะเห็นเธอกระโดดเขามาในบ้าน “พี่หลิ…หะ?พี่เหวินฉวน!?”
ทันที่ที่เธอวิ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่นหลีเหมิงเดียวก็เห็นฉางเหวินฉวนอยู่ในห้องนั้นแล้ว เธอดูตกตะลึงมากก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาหาใครสักคน ไอลีนโนเวล
“ไม่ต้องมาหาอะไรหรอกแม่ของเธออยู่บนห้องกำลังทำบัญชีอยู่!”
เห็นท่าทีของลูกสาวหลี่เฉิงยี่ก็ยิ้มแข็งๆ ก่อนที่จะตอบเธอไป เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรกับแม่ลูกที่เล่นแมวไล่จับหนูตลอดเวลาคู่นี้
เมื่อเธอรุ้ถึงการไม่มีอยุ่ของแม่ในชั่นล่างนี้เธอก็ดูดีขึ้น แม่ของเธอไม่ชอบฉางเหวินฉวนอยุ่แล้ว
เมื่อเห็นหลีเหมิงเดียกลับมาฉางเหวินฉวนก็ตาเป็นประกายทันทีเขารุกขึ้นต้อนรับเธอทันที “เสี่ยวเดียกลับมาแล้วหรอ? ฉันได้ยินมาว่าพี่ชายของเธอกลับมาจากแผนดินใหญ่แล้วก็เลยอยากจะเข้ามาช่วย..”
ได้ยินแบบนั้นหลีเหมิงเดียก็เริ่มหน้าแดงด้วยความอายเธอตอบด้วยเสียงที่อู้อี้เหมือนยุงบินไปบินมา “ข…ขอบคุณ พี่เหวินฉวน!…จริงๆ แล้วพี่ไม่ต้องมาหาถึงนี้ก็ได้ พ่อแม่กับฉันจัดการเรื่องของพี่ชายเองได้….”
ได้ยินหลีเหมิงเดียพูดแบบนั้นฉางเหวินฉวนก็อดที่จะพูดฝืนต่อไปสักนิดไม่ได้ “เธอพูดอะไรของเธอ! ถ้าเขาเป็นพี่ของเธอก็หมายความว่างเขาก็เป็นพี่ชายของฉันด้วย ผมต้องช่วยพี่ชายของตัวเองอยู่แล้ว!”
พูดปุ๊บเขาก็หันหน้าไปมองหลินเฉิงที่กำลังมองมาทางเขาเช่นเดียวกัน“นายว่าอย่างงั้นหรอ?”
เมื่อเห็นน้องชายที่อยู่ๆก็มีกำลังยิ้มให้กับตัวเองพี่ชายจำเป็นคนนี้ก็ทำได้แค่ถอนหายใจจากก้นบึ้งของจิตใต เขาได้แต่คิดว่าไอผู้ชายคนนี้ช่างหน้าหนาเสียเหลือเกิน หลินเฉิงยักไหลขึ้น “เชิญเริ่มการแสดงของนายได้เลย”
“ยังไงเสี่ยวเดียก็กลับมาแล้วลุงจะปล่อยให้หนุ่มสาวคุยกันไปก่อนแล้วกัน เหวินฉวนนายก็รบกวนอยู่ต่อสักแปปก็แล้วกันนะ ลุงจะกลับมาตอนเย็นแล้วเราค่อยทานมื้อเย็นกัน!”
เขายืนขึ้นพูดไม่กี่คำก่อนที่จะออกไปหาบ้านให้หลินเฉิง
เหวินฉวนที่พึ่งจะได้คุยกับเสี่ยวเดียก็รีบลุกขึ้นและพูดด้วยท่าทีแปลกๆ“มันก็เกือบจะสี่โมงแล้ว ลุงจะไปไหนหรอ?”
“ก็น้องส้มพึ่งจะมาถึงไงเขาโตมากแล้วมันยากที่จะอยู่ต้วยกันเหมือนตอนเด็กๆ ก็เลยจะถามพวกฝ่ายบริหารเกียวกับบ้านหลังเล็กๆ แถวนี้ดู คนเก่าที่อยู่หายหน้าหายตาไปนานแล้วฉันเลยคิดว่าพวกเขาน่าจะเจอกับปัญหาข้างนอก..”
“อ๋ออย่างนี้นี่เอง..”
ได้ยินคำอธิบายของหลี่เฉิงยี่เขาก็พยักหน้าเข้าใจและพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “ผมไม่ได้บอกลุงหรอกครับลุงหลี ถ้าเป็นปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ลุงไม่ต้องเดินไปหาเองกับตัวก็ได้หนิ? ถ้าเรื่องนี่ผมเดินเข้าไปถามให้ก็ได้ปัญหานี้ก็จะแก้ได้ทันตาเห็นเลย!” พูดจบเขาก็ยิบเครื่องมือสื่อสารสีดำขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มทำการติดต่อ
“ไม่ไม่ ไม่!”
หลี่เฉิงยี่จับแขนของเขาเอาไว้“น้องส้มเสี่ยงชีวิตมาหาพวกเราเองตั้งไกล ลุงต้องขอทำด้วยตัวเองนะเข้าใจไหม?”
ลุงหลีก็รีบวิ่งออกไปก่อนที่ฉางเหวินฉวนจะได้ตอบอะไรกลับไป
“อ่า…”
เห็นหลี่เฉิงยี่หายวับไปราวกับสายฟ้าฉางเหวินฉวนก็ได้แต่ยืนอึ้ง ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมกับยิ้มแปลกๆ ไม่ว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ลุงหลีทำหรือไม่ เขาก็ไม่ถามอะไรต่อ เขาหันหลังกลับไปนั่งข้างๆ หลีเหมิงเดียกับหลินเฉิงและพิงหลังสบายใจเฉิบ
เมื่องเขารู้ว่าหลินเฉิงไม่เกรงใจอะไรในยศของเขาฉางเหวินฉวนก็ไม่คุยอะไรกับเขาอีกเลย เขานั้งข้างๆ หลีเหมิงเดียคุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับเธอ อย่างนุ่มนวลและน่าสนใจบ้างครั้งเขาก็ทำให้หลีเหมิงเดียยิ้มได้สักแปป เมื่องเห็นเธอยิ้มเขาก็เริ่มคุยเรื่องนั้นมากขึ้น ทำให้ห้องนั่งเล่นตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัยอย่างหาที่เปรียบมิได้
——————————–