ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 278 สำนักทะเบียน
SC:บทที่278 สำนักทะเบียน
“งั้นก็…”
เห็นเลาฟางพูดมาจากใจหลินเฉิงก็มองเขาอย่างประหลาดใจ “พี่ชาย พี่ทำอะไรก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่? สิ่งที่พี่พูดฟังดูไม่เหมือนคนทั่วไปแถวนี้สักเท่าไหร?
แต่เลาฟางยิ้มและบอกปัด“ลืมมันไปเถอะ…ฉันไม่อยากพูดเรื่องอดีตสักเท่าไหร่! ฉันเป็นลุกสมุนของกองพันที่หนึ่งแล้วตอนนี้ ฉันทำอะไรไม่ได้แล้ว และก็หิวมาก! ถ้านายยังสนใจเรื่องตลาดมืดจริงๆ ก็ค่อยกลับมาหาฉันใหม่ในวันพรุ่งนี้ แม้เราจะไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ฉันก็คิดว่าเราเริ่มความสัมพันธ์กันได้ดี ฉันจะรอนายและนำทัวเอง!”
“แน่ใจแล้วนะ?”
ได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็ยังตื่นเต้นอยู่แม้เขาจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ข้อมูลที่เขาได้รับมากขึ้น เขาเองก็พอใจมากขึ้นด้วย มันก็เพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติการของเขาในภายหลัง เขาต้องการที่จะรู้ความลับทั้งหมดของฐานทัพแห่งนี้!
“จะว่าไปแล้วนายพูดว่ากำลังหาสำนักทะเบียนอยู่หนิจะสมัคเข้ากองพันที่หนึ่งใช่ไหมหละ? ฉันรู้จักคนในสำนักงานนั้นอยู่บ้าง งั้นฉันจะพาไปเอง!”
“โห!นี้ฉันพบกับคนที่ได้รับพรจากพระเจ้าโดยไม่ตั้งใจหรอเนีย?”
ปัญหาสองอย่างถูกแก้ในคราวเดียวหลินเฉิงก็อดที่จะประหลาดใจเสียไม่ได้ เขาแค่อยากจะถามใครสักคนเกี่ยวกับสถานการปัจจุบันของกองพันที่หนึ่ง เขาไม่คิดว่านักตกปลาคนนี้จะเข้ามาหาง่ายๆ แล้วเชื่อมสัมพันอันดีกับเขา เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะโชคดีขนาดนี้
เห็นหลินเฉิงคาดไม่ถึงเลาฟางก็โบกมือบอกให้เขาอย่าคิดมาก
“น้อยๆหน่อย ไม่ขนาดนั้นหรอกถ้าฉันได้พรจากพระเจ้าจริงๆ ชีวิตคงไม่เละเทะขนาดนี้หรอก คิดซะว่าฉันรับน้องใหม่ให้ก่อนล่วงหน้าก็ได้นะ!”
“โอเค….”
หลินเฉิงพูดต่อ”แต่นายต้องช่วยฉันดูแลปลาพวกนั้นก่อน ฉันยังอยากเอามันไปให้ที่บ้านได้กินกันอยู่”
“โฮ… ใช่ ใช่!”
ได้ยินแบบนั้นเลาฟาง ก็นึกขึ้นได้ว่าหลินเฉิงซื้อปลาจากเขาไปสองตัว “ถ้านายไม่บอกฉันแทบจะลืมไปแล้วนะเนีย! ไม่ต้องห่วงฉันทำฟามเลี้ยงปลามานาน เมื่อนายลงทะเบียนเสร็จ ฉันจะขับมอเตอร์ไซไปส่งให้เลยเป็นการส่วนตัว!” ไอลีนโนเวล
หลังจากนั้นพวกเขาก็หยุดพูดอะไรไร้สาระกันพวกเขาก็เดินทางกลับไปยังที่ตั้งของกองพันที่หนึ่งกัน
กลับไปยังถนนที่มากไปด้วยผู้คนตอนนี้ก็สี่โมงเย็นแล้ว เขาตกลงกับที่บ้านว่าจะกลับก่อนฟ้ามืด และหยูซานเองก็ออกไปหาข้อมูลตามที่เขาขอไว้ทั้งวันเหมือนกัน เขายังอยากได้ยินข้อมูลที่หญิงคนนั้นหามาได้ด้วย
หลังจากที่เลาฟางและหลินเฉิงไปยังฝ่ายแลกเปลี่ยนเพื่อแลกบุหรี่ 5 ซองเป็นเงินกว่า 150,000 ใบ แน่นอนว่าตั๋วจำนวนมากขนาดนี้ คงไม่ดีที่จะเดินลากพวกมันไปมา แน่นอนว่าทางสำนักงานก็มีวิธีอยู่แล้ว พวกเขาให้หลินเฉิงใช้งาน “พาสบุค” ที่พิมโดยทางการของฐานทัพทะเลน้ำเงิน และแนะนำวิธีการใช่ให้หลินเฉิงฟัง มันสามารถใช้แทนตั๋วได้
หลินเฉินจึงเปลี่ยนจากคนจนธรรมดากลายเป็นผู้มีอิธิพลขนาดย่อม เดินตามเลาฟางอย่างกล้าหาญเดินลึกเข้าไปในถนน
ผ่านไปสักพักพวกเขาทั้งสองก็ออกมาจากถนนใหญ่นั้นได้ ตอนนี้มันกลายเป็นถนนสองเลนเรียบกับชายทะเลที่ขนาบกับตึกสีขาวไปสุดแนวอีกด้วย ข้างหลังตึกพวกนี้คือปากอ่าวน้ำเงิน มีเรื่อประจันบานที่ดูทรงพลังจอดเรียงป็นแถว ผู้คนอยู่กันประปลาย มันยังไม่ถึงเวลาที่จะออกทะเล คนพวกนี้คงมาซ่อมบำรุงเรือรบที่เป็นที่พักพิงหนึ่งเดียวของพวกเขา
“ปั้งปั้ง….”
หลังจากที่เคาะประตูเบาๆเลาฟางก็ไม่ได้รอเสียงตอบรับเขาเปิดประตูเข้าไปเลยพร้อมกับหลินเฉิง
“เอ้าว่าไง?มาทำอะไรที่นี่หละ เลาฟาง?”
ทันทีที่เข้าไปชายสวมแว่นกรอบสีดำอายุราวๆ 30 ก็กล่าวทักทายเห็นเลาฟางเดินเข้ามาเขาก็แปลกใจ
ได้ยินแบบนั้นเลาฟางก็ชี้ไปยังหลินเฉิง“นี่เป็นน้องชายที่ฉันพึ่งเจอมา เขามีความกล้าหาญมากและมากความสามารถ! เขาอยากจะเข้ารวมกับกองพันที่หนึ่งมานานแล้ว ฉันเลยนำเขามาที่นี่…”
“จริงหรอ!?”
ได้ยินคำอธิบายของเลาฟางชายคนนั้นก็เต็มไปด้วยความดีใจและรีบเชิญให้พวกเขานั่งลง
เขารีบไปรินชาร้อนๆมาให้สองแก้วก่อนจะเอามันมาวางไว้ที่โต๊ะ “มาเลยพ่อหนุ่ม ดื่มให้ชุ่มคอก่อน ฉันจะเอาหนังสือมาให้ดูแบบฟรอมนะ”
พูดจบชายแว่นดำคนนั้นก็รีบเข้าไปยังห้องข้างๆ
เห็นท่าทีของชายคนนั้นเหมือนกับเจอสมบัติ หลินเฉิงก็ประหลาดใจและถามเลาฟางข้างๆ “มันค่อนข้าง…”
“แปลกใช่ไหมหละ?”
เห็นหลินเฉิงมองมาด้วยท่าทีสงสัยเลาฟางก็ถอนหายใจเบาๆ “แม้กองพันที่หนึ่งจะฟังดูเกรียงไกรมากในช่วงที่ผ่านมานี้ แต่คนก็เข้ามาสมัคน้อยลง น้อยลง ทุกที จนตอนนี้มีแค่สามสี่คนที่มาสมัครต่อวัน แล้วก็จะมีคนที่อยู่ต่อน้อยกว่านั้นอีก…”
ได้ยินแบบนี้ไม่รอหลินเฉิงถามคำถามต่อ เลาเฟงก็พูด “เป็นเพราะ เหตุผลง่ายๆ อัตตราการเสียชีวิตของกองพันที่หนึ่งมันสูงเกินไป สูงกว่าหน่วยงานอื่นๆ ! แม้พวกเขาจะพยายามสุดความสามารถที่จะลดอัตตราการตาย มันก็ยังไม่น้อยกว่าภาคพื้นดินอยู่ดีทุกครั้งที่พวกเราออกไปก็จะเจอกับปัญหาทุกที!”
“ตอนแรกฐานทัพแห่งนี้ยังไม่พัฒนามากและไม่มั่งคั่งเหมือนตอนนี้ ทางเลือกของผู้คนก็ไม่ค่อยมีกองพันที่หนึ่งจึงเป็นคำตอบเดียวของพวกเขา เพราะร่วมกองทัพหมายความว่าพวกเขาจะมีข้าวให้กินน้ำให้ดื่ม แถมยังมีพอจะเอาไปเลี้ยงครอบครัวอีกต่างหาก แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้น ตอนนี้มีงานมากมายที่ปลอดภัยให้พวกเขาทำ ใครจะมาเสี่ยงกับกองพันที่หนึ่งหละ? เบื้องบนก็รู้ดีว่ามันเกิดขึ้นพวกเขาจึงเพิ่มรายได้ให้กับผู้ที่สมัครเข้ากองพันที่หนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามนี้มันหลังวันสิ้นโลกจะมีอะไรมีค่าไปมากกว่าการมีชีวิตอยู่หละจริงไหม…”.
ได้ยินคำอธิบายของชายวัยกลางคนเขาก็เข้าใจว่าทำไมสำนักทะเบียนถึงไร้ซึ่งผู้คนแบบนี้ แต่เขาก็ยังมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่ง “ถ้าเป็นแบบนี้ทางฐานทัพก็บังคับเกณทหารก็ได้ไม่ใช่รึ การมีอยู่ของฐานทัพก็เหมือนกับความปลอดภัยและชีวิตใครจะไปกล้าปฏิเสธหละ?”
“มันไม่เป็นผลไง….”
ตอนนี้ชายสวมแว่นก็เขามาในห้องพร้อมกับแบบฟรอมใหม่เอี่ยมและได้ยินข้อสงสัยของหลินเฉิงพอดีจึงตอบให้แทน “พ่อหนุ่มอาจจะยังไม่เข้าใจ ฐานทัพของเราต่างจากเขตคุ้มกันทางการทหารแห่งอื่น ผู้คนที่อยู่ที่นี่ก็เหมือนหลบเข้ามาอยู่ในฉากหลัง และตอนนี้ฐานทัพแห่งนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากคนพวกนั้น ถ้าการเกณทหารเหมือนกับการบังคับใช้กำลัง มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เกิดความวุ้นวายเป็นวงกว้าง และมันจะทำให้ความสงบสุขของสถานการปัจจุบันสลายไปในพริบตา ซึ่งมันคงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าพนักงานระดับสูงอยากจะเห็น!”
ได้ยินคำตอบแบบนี้หลินเฉิงก็ยิ่งสงสัย“ถ้ามัวแต่กลัวปัญหาเรื่องความสับสนอลหม่านจนไม่กล้าทำอะไรเลย เลือดและเนื้อของกองพันที่หนึ่งของกองทัพที่หนึ่งก็จะมีน้อยลง น้อยลง จนในที่สุดจนไหนที่สุดพวกเขาก็จะไม่เจอแค่ปัญหาการก่อจราจล แต่ปากท้องของคนทั้งฐานทัพก็จะน่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”
—————————–