ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 296 บริบท
“จุ๊จุ๊..”
ด้วยอารมณ์อะไรสักอย่างเขาส่งเสียงออกมาสองครั้ง หลินเฉิงตัดสินใจที่จะไม่คุยกับฉีเซี่ยวฮันอีกเป็นครั้งที่สอง และพูดออกมา “งั้นก็ไม่สำคัญแล้วว่าผู้หญิงดุร้ายคนนั้นจะเป็นยังไง เราไมควรที่จะติดต่อกับเธออีกเป็นครั้งที่สอง เรากลับไปหาเฒ่าฟางกันเถอะ”
เซียวฉีเองก็เห็นด้วยแม้สถานะของฉีเซี่ยวฮันจะเป็นอะไรที่สำคัญมาก แต่ฝีปากของเธอนั้นเป็นมลพิษมาก ถ้าไม่สนใจเธอเวลาเธอด่าหรือหาเรื่องจะดีที่สุด
หลังจากที่รับใบรับรองที่หลินเฉิงยื่นให้มาเซี่ยวฉีก็กลับไปยังศูนย์การฝึกอีกครั้ง ยังไงก็ตามเมื่อเขากลับมาก็ไม่พบคนที่สัญญาว่าจะรออยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็เช่นกัน
เห็นแบบนั้นหลินเฉิงก็กำลังจะถามแต่เซี่ยวฉีก็ส่ายหน้าพร้อมกับเดินไปยังโต๊ะรับรองเพื่อหยิบกระดาษบนนั้นขึ้นมาอ่าน และพูดขึ้นมาเสียก่อน “ฉันจะกลับไปอยู่ที่ศูนย์รับสมัครก่อน ถ้าพวกนายเสร็จแล้วก็ตามฉันมาด้วยหละ…”
หลังจากที่อ่านคำที่เขียนอยู่บนนั้นเสร็จเซี่ยวฉีก็ฉีกและขยำมันทิ้งลงไปในถังขยะ ก่อนที่จะหันกลับมาหาหลินเฉิง “กลับกัน เฒ่าฟางเอาผู้หญิงเข้าไปทำห้องทำงานฉันเละอีกแล้ว!”
“ให้ตายสินายจะไม่ใจแคบไปหน่อยหรอ?”
ได้ยินแบบนี้หลินเฉิงก็รู้สึกดีใจขึ้นมา”เท่าที่ฟังนายพูดมาแล้ว เหมือนกับเขาจะพาน้องสาวของเขา มาเล่นกันมากกว่าหนึ่งครั้งนะ?”
“ใช่แล้ว…”
เซียวฉียิ้มแห้งๆพร้อมกับพยักหน้าตอบ “มีครั้งนึงเขาพาผู้หญิงเข้าบ้าน หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ตามตื้นเขาเหมือนวิญญาณพยาบาทยังไงยังงั้น หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเขาก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนไปที่บ้านของเขาอีกเลย มันก็ลำบากฉันหนะซิ…”
“นายรับมันไหวหน่าอย่าไปคิดมาก!”
ได้ยินหลินเฉิงพูดแบบนั้นเขาก็รู้สึกทำอะไรไม่ได้ หลินเฉิงเห็นเขาไม่ได้โกรธอะไร หลินเฉิงก็ยอมรับในความสามารถของเขา
เซี่ยวฉีโบกมือและพูด“พี่ฟางเป็นคนแก่มากประสบการณ์แล้วสำหรับฐานทัพแห่งนี้ ตอนแรกที่ฉันมาถึง ฉันก็ได้รับการดูอะไรจากเขามากมาย ตอนนี้ฉันเองก็มีจุดยืนและหน้าที่การงานของตัวเองแล้ว ฉันเลยไม่คิดมากที่เขาจะทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ไปบ้าง บางทีเขาเองก็ไม่มีที่ไปเหมือนกัน”
ได้ยินแบบนี้หลินเฉิงก็มอง เซี่ยวฉีดีขึ้นไปอีก เป็นธรรมชาติที่มนุษย์จะแสดงความรู้คุณออกมา แต่วงจรนี้ก็เป็นไปได้ยากบนโลกที่พังไปแล้วแบบนี้ ไอลีนโนเวล
หลังจากที่เขาพยักหน้าหลินเฉิงก็เดินทางกลับไปพร้อมกับเซี่ยวฉี ไปยังห้องลงทะเบียน และเขาก็นึกถึง จ้าวหลิวที่เขาตัดมือไปได้พอดี เลยรีบถามไป “จะว่าไปแล้ว ฉันเกือบลืมถามไปเลยจ้าวหลิวหละเป็นยังไงบ้าง? เห็นเธอมีอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับนาย มันสำคัญถึงขั้นต้องเอามาปนกับการทดสอบความสามารถเชียวนะ”
ได้ยินหลินเฉิงพูดถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้นเซี่ยวฉีก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูแย่ลงไปแวปนึง เขาตัดสินใจที่จะพูด “จ้าวหลิวเป็นคนที่มีชื่อเสียงเมื่อเขาเข้าร่วมกับกองพัน ในตอนนั้นฉันเป็นคนกรอกข้อมูลและยื่นใบสมัครของเธอเอง แต่เหมือนครอบครัวของเธอจะเปลี่ยนใจกระทันหัน พวกเขาไม่อยากจะให้ลูกสาวของตัวเองเข้าร่วมกับกองพันแล้ว แต่ทุกอย่างมันลงตัวไปหมดแล้ว เอกสารก็ปริ้นท์แล้ว เหลือแค่จับเธอลงในหน่วยที่กำลังขาดคน หัวหน้าของเรา บอสหลี จึงโกรธมาก เขาสั่งให้แผนกอื่นๆ อย่ารับเธอเข้าทำงาน! แต่ครอบครัวของเธอนั้นพอมีระดับ พวกคนใหญ่คนโตก็ทำอะไรมากไม่ได้ พวกเขาจึงเอาเรื่องนั้นมาลงที่ฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีอำนาจขนาดไหน ทางศูนย์บัญชาการถึงทำท่าจะรับเธอเข้าไปทำงานได้ แต่ยังไงๆ เธอก็ยังไม่ได้เข้าไปทำงาน ยังไงก็ตามหลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น นายก็ควรระวังไว้ ไม่ควรจะไปยุ่งกับเธอหัวหน้าของเราไม่ชอบเธอเป็นอย่างมาก”
หลังจากได้ยินคำอธิบายหลินเฉิงก็เข้าใจกระจ่างแล้วพร้อมกับพยักหน้า เขาส่ายหน้าเมื่อรู้ถึงสถานะของครอบครัวจ้าว มันอธิบายไม่ได้ว่าก่อนที่จะถึงวันโลกาวินาศ ผู้คนก็ยังคงไม่ชอบเหตุการที่กองพันเจอ ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย ในขณะกองพันที่หนึ่งเองก็รับสมัครผู้คนยาก กลับถูกปฏิเสธแบบไร้ความรับผิดชอบใส่ก็ย่อมโกรธเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่หลินเฉิงคิดไม่ถึงคือจ้าวหลิว เองก็ต้องรับผิดชอบกับความเสียหาย มากไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ไม่เห็นเกียวกับเซี่ยวฉีเลย จนท้ายที่สุดเขากลับโดนโบ้ยทุกอย่างใส่ มันก็แย่มมากพอแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้หลินเฉิงก็ส่ายหน้า เลิกคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าในอนาคตอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นก็ตามที ยังไงๆหลินเฉิงเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาอะไร ถ้าอยากจะสร้างปัญหาให้เข้า สู้แบกรับปัญหานั้นไว้เองดีกว่า!
หลังจากที่คำอธิบายจบไปเซียวฉีก็ไม่อยากจะพูดถึงมันอีก พวกเขาเดินมาตลอดทางจนกลับมาถึงห้องลงทะเบียน
“เอ้า!กลับมาเร็วกันจัง?”
เมื่อเปิดประตูเข้ามาคนทั้งสองก็เห็น ฟางกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับแขนอันว่างเปล่ากำลังคีบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างสบายใจ
เห็นแบบนี้เซี่ยวฉีก็ยิ้มและปิดประตู“ทำไมเหมือนจะมีแต่นายที่เจอเรื่องดีๆ อยู่คนเดียวได้หละเนีย?”
“แน่นอนอยู่แล้วฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
พูดจบเลาฟางก็พ้นควันออกมา
หลังจากที่คนทั้งสองหัวเราะจนเสร็จเลาฟางก็ยืนขึ้นเดินมาหาหลินเฉิงและแบมือมาทางหลินเฉิง “เอามานี้สิขอดูผลการทดสอบของนายหน่อย!”
เห็นเลาฟางทนไม่ไหวหลินเฉิงก็ยักไหล่และยื่นใบรับรองให้กับเขาไป
หลังจากที่รับมาเลาฟางก็เปิดขึ้นมาอ่านและขมวดคิ้ว “ระดับ 3 ?”
“ทำไมหละมีปัญหาอะไรหรอ?”
เห็นเลาฟางขมวดคิ้วแน่นหลินเฉิงก็ถามกลับไปอย่างสับสน
ได้ยินคำถามนั้นเลาฟางก็กดก้นบุหรีลงบนถาดกระพริบตาปริบๆ ก่อนที่จะเอ่ยปาก “ก็ไม่เชิง ฉันว่าพลังของนายมันน่าจะแกร่งกว่าระดับ 3 สิ!”
“หรอ?พี่ฟาง พี่มีพลังใหม่ตื่นขึ้นมาหรอ? นายเองก็มองเห็นหลังของน้องหลินด้วยอีกคนแล้วหรอ?”
ได้ยินคำพูดของฟางเซี่ยวฉีก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงมีปัญหาเกียวกับระดับขั้นของหลินเฉิง ท้ายที่สุดแม้แต่คนที่มักจะติดต่อกับคนบ่อยๆ และมีอำนาจก็จะไม่ได้ตระหนักถึงความแตกต่างของหลินเฉิงมาก่อนเลยสักนิก
———————-
��SC: บทที่ 297 การ์ดสีดำ