ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 469 ด้านล่าง
SC:บทที่469: ด้านล่าง
เมื่อได้ยินคำถามหลิงฉงที่เริ่มหายใจคงที่ก็โบกมือปฏิเสธ “ไม่มีทาง! มีแต่คนของเราเท่านั้นที่ใช้โพรงนี้ตอนที่พวกเขาออกไปข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราว แต่ต่อมาพวกเราก็สร้างทางออกที่กว้างและดูดีกว่าโพรงค์นี่ อุโมงค์นี้เลิกใช้ไปนานแล้ว…”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงฉงหลินเฉิงก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงพาผมมาที่นี่แทนที่จะไปที่ประตูหน้าล่ะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของหลินเฉิงหลิงฉงก็รีบอธิบายทันที “ก็ เผ่ารัตติกาลของพวกเรามีประชากรน้อยมาก และพวกเราก็คุ้นหน้าคุ้นตากันและกัน ถ้าหากฉันพานายไปที่ทางเข้าหลัก ไม่ใช่แค่ว่าพวกจะต้องผ่านการตรวจหลายชั้น แต่เรายังต้องอธิบายที่มาของนายให้ทุกคนที่เจอฟังด้วย มันวุ่นวายเกินไป…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หลิงฉงก็เดินไปที่โพรงเก่าๆตรงหน้าของเขา “แน่นอนว่าฉันสามารถช่วยสร้างประวัติของนายและหลอกพวกเขาได้ ถ้าเทียบการปลอมประวัติและผ่านการตรวจหลายชั้น เรายังต้องกังวลว่าจะถูกเปิดเผยด้วย แต่ถ้าเราผ่านเข้าไปทางโพรงนี้ พวกเราไม่ได้แค่จะสามารถหลบการตรวจสอบได้แล้วแต่เราก็ยังรวมถึงการพบเจอกับผู้คนด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเราลดความเป็นไปได้ในการเกิดปัญหาไปได้เยอะเลย!”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงฉงคิ้วของหลินเฉิงก็ยังไม่คลายออก แต่กลับยิ่งขมวดเข้มกว่าเดิม “หมายความว่ายังไง? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะอธิบายถึงตัวตนของผมให้คนของคุณฟัง?”
“ไร้สาระ!”
เมื่อได้ยินที่หลินเฉิงพูดหลิงฉงก็ทำได้แค่ตาโตมองอีกฝ่าย เขามองหลินเฉิงเหมือนกับมองคนเสียสติ “นายไม่รู้ตัวรึไงว่าตัวเองทำอะไรไปเมื่อวาน? ถ้าฉันบอกว่านายเป็นใคร ต่อให้นายไม่ได้เตรียมตัวเพื่อจะมาสู้ แต่พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่! แล้วในกรณีนี้ ด้วยนิสัยของนาย นายไม่มีทางถูกจับตัวได้โดยไม่มีการต่อสู้แน่ ถ้าอย่างนั้นมันไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนเริ่มสงครามเต็มรูปแบบด้วยมือของฉันเองรึไง?”
“ถ้าอย่างนั้นงานของผม…”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็พยักหน้า เขาเข้าใจสิ่งที่หลิงฉงเป็นกังวล เพราะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใคร เวลาเห็นฆาตกรที่สังหารพวกพ้องของตัวเองอยู่หน้าประตู ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสภาพที่ต่อสู้ได้หรือไม่ได้ เขาก็คงป้องกันตัวไว้ก่อน
แต่ถ้าหากคนพวกนั้นไม่รู้ถึงตัวตนของเขาภารกิจของเขาที่ฐานของเผ่ารัตติกาลก็จะเกิดข้อจำกัดมากมาย เพราะอย่างไรแล้ว ในฐานะคนนอก เขาไม่สามารถไปไหนมาไหนตามใจชอบได้ และสถานที่ที่เข้าได้ก็จำกัด ซึ่งมันจะทำให้เขาไม่สามารถหาความจริงได้
“นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลิงฉงก็โบกมือ “ตราบใดที่นายไม่ทำอะไรคนของพวกเรา ฉันก็จะพยายามร่วมมือให้งานนายสำเร็จลุล่วง ถ้านายต้องการอะไร ฉันจะพยายามหาทุกอย่างมาช่วยนายเอง เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย!”
“เอาอย่างนั้นก็ได้…”
เมื่อเห็นว่าหลิงฉงคิดมาดีแล้วหลินเฉิงก็ทำได้แค่พยักหน้าและตอบตกลง มันก็เหมือนกับที่เขาสัญญากับหลิงฉงก่อนหน้านี้ เป้าหมายของเขาในการมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ถ้าหากมันเป็นไปอย่างราบรื่น เขาก็ไม่สนว่าวิธีเข้าไปจะเป็นยังไง
หลังจากที่เห็นว่าหลินเฉิงตกลงหลิงฉงก็สบายใจขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อวานนี้ หลินเฉิงก็กดดันเขาเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว แต่เขาก็ยังกลัวว่าหลินเฉิงจะไม่ยอมผ่าน “ทางเข้าหมา” กับตน ตอนนี้ในเมื่ออีกฝ่ายตกลงแล้ว เรื่องอื่นก็คงพูดกันง่ายขึ้น “ถึงแม้ว่ามันจะดูโทรมๆหน่อยแต่ข้างในมันสะอาดมากนะ เพราะพวกเราไม่ใช่พวกไม่มีปัญญาและไม่สนความสุขของตัวเอง โดนธรรมชาติแล้ว พวกเราจะไม่เปื้อนเลยเวลาเราเข้าออกจากโพรงนี่…”
หลังจากที่ดึงพวกหญ้าและวัชพืชที่ปิดทางเข้าออกไปหลิงฉงมองไปด้านในและหันกลับมามองหลินเฉิง
“ก็ได้ถึงแม้ว่ามันจะสกปรก แต่พวกเราก็มาถึงนี่แล้ว นี่เราไม่ต้องเจาะมันหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็อ้าปากถาม จากนั้นเขาก็เดินไปตรงทางเข้าโพรงพร้อมกับหลิงเหมิง เขาใช้ประสาทสัมผัสทั้งหกตรวจสอบดูรอบๆภายในโพรง เมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณอันตราย เขาก็อุ้มหลิงเหมิงและโยนเธอเข้าไป!
“กรี๊ด!”
ขณะที่ถูกหลินเฉิงอุ้มกระทันหันและถูกโยนไปในโพรงราวกับลูกหมาหลิงเหมิงที่ไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรก็กรีดร้องเสียงดังจากนั้นก็มีเสียง “ตุ้บ ตุ้บ” ชนกับกำแพง
ไม่นานเสียงร้องอย่างหวาดกลัวของหลิงเหมิงก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องเจ็บปวด
“เอ่อ…มันดูลึกมากเลยนะ!”
แต่หลินเฉิงผู้ที่ทำลงไป ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด หลังจากสังเกตอยู่ครู่นึง เขาก็สรุปออกมา
“นาย…ไอ้คนเลว!”
เมื่อเห็นสิ่งที่หลินเฉิงทำหลิงฉงก็แทบจะต่อว่าอีกฝ่ายออกไปด้วยความโมโห เขาเลิกพูดกับอีกฝ่ายหลังจากที่สบถออกมา จากนั้นเขาก็กระโดดลงไปตามหลิงเหมิง!
“เอาใจหลานจริงๆ…”
เมื่อเห็นท่าทางเป็นห่วงของหลิงฉงที่กลัวว่าหลิงเหมิงจะได้รับอันตรายหลินเฉิงก็เอ่ยออกมา หลิงเหมิงจะเก่งได้อย่างไร? มันบ้ามากถ้าหากเธอจะได้รับบาดเจ็บจากเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเมื่อเห็นว่าหลิงฉงกระโดดลงไปแล้ว หลินเฉิงก็ไม่ชักช้าไปมากกว่านี้ เขาสบัดหัวไล่เงาซ้อนทับที่เกิดจากการควบคุมของผู้หญิงในถ้ำของภูเขาเฟิงฮวงออกไป หลังจากนั้นเขาก็กระโดดตามหลิงฉงไป!
“ตุ๊บ…”
หลินเฉิงและหลินฉงต่างก็ร่วงลงไปตามแนวดิ่งของโพรงตอนนี้หลินเฉิงรู้สึกว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตของเขา เขาจึงรีบสร้างที่จับน้ำแข็งขึ้นมาบริเวณผนังของโพรงลึกลงไปเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันเขาก็คาบไฟฉายไว้ในปากและสังเกตสิ่งที่อยู่รอบๆ
หลังจากตรวจดูรอบๆเขาก็พบว่าตัวเองกำลังถูกล้อมรอบด้วยกำแพงที่ไม่ต่างไปจากที่เขาได้เห็นครั้งที่แล้ว ถึงแม้ว่าครั้งที่แล้วโพรงที่เขาตกลงไปจะอยู่ในภูเขาฟินิกซ์จะมีขนาดพอๆกับที่นี่ และกำแพงที่เต็มไปด้วยดินและหินที่ยื่นออกมาข้างนอกมันทำให้เขาบาดเจ็บ
แต่โพรงใต้ดินที่เผ่ารัตติกาลสร้างขึ้นมานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงแม้ว่าผนังของมันจะยังเป็นดินเหนียว แต่มันก็ดูเหมือนว่าดินเหนียวพวกนั้นจะถูกเครื่องจักรขนาดใหญ่บีบอัดมันให้แน่น ถ้าหากไม่สังเกตดีๆ หลินเฉิงก็คงคิดว่ากำแพงเรียบนี่ถูกฉาบไว้ด้วยแผนกระเบื้องด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาทีหลินเฉิงก็รู้สึกเบื่อและพร้อมที่จะปล่อยมือออกจากที่จับเพื่อให้ร่วงลงไป แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่าใต้เท้าของเขาแข็งและเขามาถึงก้นหลุมในที่สุด!
“ทำไมนายช้าอย่างนี้เนี่ย!”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดหลินเฉิงก็ลงมาด้านล่างหลิงเหมิงที่รอเขาเป็นเวลานานพูดบอก “ถ้าแก่งนัก ทำไมนายถึงทำท่าเป็นคนแก่ตอนลงมากัน? และนั่นอะไรที่มันสว่างอยู่ในปากนาย?”
เมื่อได้ยินคำถามหลินเฉิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่หลิงฉงที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมอออกมา “หลาน ปู่ไม่ได้ช้าใช่รึเปล่า?ถ้าหลานบอกว่าเขาช้า คนแก่คนนี้ก็ถูกดุด้วยนะ”
————————————