ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 472 หยุนเฟิง
SC:บทที่472: หยุนเฟิง
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของหลิงฉงหลินเฉิงก็แน่ใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะมีตำแหน่งที่สูง แต่ก็ยังมีความลับมากมายที่เขาไม่รู้
หลังจากที่เห็นว่าตัวเองคงไม่สามารถได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหลิงฉงหลินเฉิงก็ไม่ถามอะไรต่อ สุดท้ายเขาก็หันไปมองทางที่หลิงเหมิงวิ่งไป และเดินตามหลิงฉงต่อ
เมื่อพวกเขาเข้ามาในฐานจำนวนผู้คนที่พวกเขาได้พบเจอก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีหลายคนที่หยุดเพื่อทักสวัสดีกับหลิงฉง แต่เมื่อพวกเขาเห็นหลินเฉิง พวกเขาก็มองอยู่สองสามครั้งและเอ่ยถามออกมาเสียงดัง
ส่วนเรื่องสถานการณ์ที่เขาจะต้องเจอหลังจากที่เข้ามาในฐานหลิงฉงได้อธิบายให้หลินเฉิงได้ฟังก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่แสดงท่าทีไม่ปกติอะไรหลังจากที่เจอพวกมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ และค่อยๆเดินตามหลิงฉงเข้าไปโดยที่คิดว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในสวนสัตว์
“ข้างหน้านี่โพรงของฉันเองเราจะไปพักกันก่อน จากนั้นฉันจะพานายกลับมาถ้านายเกิดอยากทำอะไร”
หลังจากที่เดินผ่านวงเวียนใหญ่หลิงฉงและหลินเฉิงก็มาถึง “โพรง” ซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลออกไป แต่เห็นได้ชัดว่ามันใหญ่กว่าโพรงอื่นๆ จากนั้นหลิงฉงก็หันมาบอกเขา
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็พยักหน้า หลังจากพบว่าที่นี่คล้ายกับโพรงที่ภูเขาฟินิกซ์มาก หัวของเขาก็เริ่มสับสนเล็กน้อย ตอนแรกเขาแค่อยากจะแก้ความสงสัยของเท่านั้น แต่หลังจากที่เขามาถึงที่นี่ นอกจากที่เขาจะไม่สามารถแก้ข้อสงสัยก่อนหน้าได้นี้แล้ว ความสงสัยของเขามันกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเข้ามาที่โพรงของหลิงฉงหลินเฉิงก็มองไปรอบๆอย่างละเอียด และพบว่ามันมีแค่เตียงหินที่เอาไว้นอนและโต๊ะหินทรงกลมอยู่ในห้องเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่พื้นที่เล็กๆเลย มันไม่มีอย่างอื่นอีก นั่นจึงทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“คุณมีกิจกรรมบันเทิงๆอะไรทำตอนกลางคืนรึเปล่า?”
เมื่อนั่งลงบนเตียงหินหลินเฉิงก็ถามหลิงฉงขณะที่มองไปรอบๆห้อง ซึ่งเหมือนกับถ้ำแบบดั้งเดิม
เมื่อได้ยินคำถามหลิงฉงก็ย่นคิ้วเล็กน้อยและถาม “บันเทิง? อย่างเช่นอะไรล่ะ?”
“อ่านหนังสือไปโพรงคนอื่น ทำอะไรน่าอายๆ…”
เมื่อเห็นว่าหลิงฉงถามเหมือนกับเด็กน้อยหลินเฉิงก็ไม่รู้จะทำยังไง จนต้องให้ตัวอย่างออกไป
เมื่อได้ยินคำของหลินเฉิงคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของหลิงฉงก็ยังไม่คลายออก “พวกเรามีหนังสือ มีห้องสมุดพิเศษสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ ส่วนเรื่องอื่น พวกเราไม่มีหรอก คนของเผ่ารัตติกาลมักจะอยู่ในห้องของตัวเองเพื่อฝึกฝน จากนั้นก็กินแล้วก็นอน พวกเราไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น….”
“โหไม่สงสัยเลยว่าทำไมพวกคุณถึงมีจำนวนประชากรน้อยแค่นี้!”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงฉงหลินเฉิงก็เบะปากอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนาตัวเอง แต่เขาก็ไปเล่นเกมส์และดื่มชากับหยูซานเป็นการพักผ่อนบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งมันแตกต่างกับวิถีชีวิตที่เหมือนกับนักบวชของเผ่ารัตติกาลอย่างสิ้นเชิง
“บางที…”
ถึงแม้ว่าคำของหลินเฉิงจะไม่ชัดเจนแต่หลิงฉงที่เป็นเหมือนจิ้งจอกเฒ่าก็เข้าใจความหมายของหลินเฉิงได้อย่างรวดเร็ว “อันที่จริง ฉันก็คิดเหมือนกันว่าคนในกลุ่มของพวกเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองมากเกินไป แล้วมันจึงส่งผลกับเรื่องอื่นๆที่สำคัญไม่แพ้กัน พอนายพูดเรื่องนี้ ฉันก็คิดแล้วว่าฉันคงต้องหาเวลาไปคุยเรื่องนี้กับท่านหัวหน้า….”
ตอนแรกหลินเฉิงแค่ตั้งใจจะพูดถึงข้อเสียของมันเฉยๆแต่เขาไม่คิดว่าชายแก่คนนี้จะใส่มันลงในวาระการประชุมเป็นจริงเป็นจัง เขาเลยค่อนข้างแปลกใจในความคิดและการยอมรับของคนในเผ่ารัตติกาลพอสมควร
“นายดื่มน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวเราจะไปทำสิ่งที่นายอยากทำ แต่เรื่องนึงที่ต้องจำก็คือถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พยายามอย่ามีเรื่องกับใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะกลายเป็นผู้กระทำผิดต่อเผ่ารัตติกาล และนายก็คงจะไม่แย่ไปกว่ากัน”
หลังจากขมวดคิ้วและคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลิงฉงก็นึกได้ว่าหลินเฉิงยังแทบไม่ได้กลืนน้ำลายด้วยซ้ำตั้งแต่ที่เขามาในโพรงของตน เขาจึงรีบหยิบแก้วน้ำและส่งให้อีกฝ่ายและพูดขึ้น
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หลิงฉงอธิบายหลินเฉิงก็ดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็ทำมือเข้าใจและเอ่ย “ได้ ผมดูออกว่าอะไรสำคัญกว่ากัน! แล้วผมอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกคนเดียวสักพักนึง มันพอจะมีวิธีที่จะทำให้คนของคุณยุ่งกับผมน้อยลงบ้างรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลิงฉงก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้น เขาก็ตบมือและพูด “เออ มันมีแผ่นป้ายหินอันก่อนของฉางเหวินฉวนที่เป็นเครื่องหมายบอกว่าเขาคือมนุษย์ที่ทำงานกับเผ่ารัตติกาลด้วยความตั้งใจ ตอนนี้ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็สามารถทำแผ่นป้ายหินอันใหม่ให้นายได้ นายแค่เอามันไปและเอาให้คนอื่นดูเวลาพวกเขาถามอะไร มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”
“อือ…งั้นทำเลย!”
เมื่อหลิงฉงบอกว่ามันยังมีของแบบนั้นอยู่ใบหน้าของหลินเฉิงก็ดูมีความสุขขึ้นและรีบเร่งให้อีกฝ่ายทำแผ่นป้ายนั้นให้ตัวเอง
“งั้นนายรออยู่ที่นี่แปปนึงเดี๋ยวฉันจะกลับมาทันทีที่ฉันทำแผ่นหินเสร็จ!” เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงเชื่อฟังตามกฎของที่นี่หลิงฉงก็อยากจะทำตามความต้องการของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและหมุนตัวออกไปเพื่อทำแผ่นป้ายหิน
“เอ้อ!”
แต่ก่อนที่หลิงฉงจะออกไปทันใดนั้นหลิงเฉิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และเรียกอีกฝ่าย “ผมยัง….”
“ก๊อกก๊อก!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบหลินเฉิงก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดกับเสียงของเขา
หลิงฉงเองก็สงสัยเช่นกันตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูหลังจากที่เขาเดินไปเปิดมัน เขาก็เห็นว่าเป็นหลิงเหมิงนั่นเองที่อยู่ด้านนอก ข้างๆเธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย มันเหมือนว่าเธอจะอายุแค่เกือบๆ30ปีเท่านั้น เมื่อเธอเห็นหลิงฉงที่มาเปิดประตู เธอก็ยิ้มให้และก้มหัวเคารพ
“หยุนเฟิง?ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?!” เมื่อเห็นหญิงสาวหลิงฉงก็ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำถามหญิงสาวที่หลิงฉงเรียกว่าหยุนเฟิงก็เอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “ฉันได้ยินจากเหมิงเอ๋อว่ามีชายหนุ่มที่ชื่อหลินเฉิงที่ไม่ใช่แค่จะร่วมงานกับเผ่ารัตติกาลของเรา แต่เขายังมาเป็นแขกของพวกเราในวันนี้ด้วย?”
“ถูกแล้วแต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับเธอไม่ใช่หรอ? เธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”
เมื่อได้ยินคำถามขิงหยุนเฟิงหลิงฉงก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาดูร้อนรนมากยิ่งขึ้น
ถึงจะเห็นว่าหลิงฉงดูไม่พอใจกับการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของตนแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด เธอวางมือบนไหล่ของหลิงเหมิงที่ยังลังเลว่าจะเข้าไปในห้องดีหรือไม่ จากนั้นจึงพูดกับหลิงฉง “มันจะไม่เกี่ยวกับฉันได้ยังไง? การมาเยือนของผู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้ ไม่ว่าสำหรับใครก็ตามในกลุ่มของพวกเรา มันก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรอ?”
หลังจากนั้นเธอก็ไม่รอให้หลิงฉงได้พูดอะไร เธอเดินชนไหล่ของหลิงฉงเข้าไปในโพรงทันที!
—————————–