ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 483 ประทับรอยนิ้วมือ
SC:บทที่483 ประทับรอยนิ้วมือ
ภายใต้ความกดดันเช่นนี้ความรู้สึกของหลินเฉิงนั้นสามารถจินตนาการได้เลยว่ามันแย่ขนาดไหน ในมือข้างหนึ่งของเขานั้นมีความมุ่งมั่นว่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องป้าฉินให้ได้ ในขณะที่มืออีกข้าง เขาก็พบว่าหนทางที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นและมีพลังในการปกป้องตัวเองนั้น เขาไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลยรวมไปถึงเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะโลกที่มีรูโหว่มากมายได้ด้วย
สาเหตุที่จุดจบของโลกมาถึงนั้นยังไม่ปรากฏก็จริงแต่เหล่าตัวกินคนที่จู่ๆก็โผล่มานั้นกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆในขณะเดียวกันกับพวกเอเลี่ยนที่ทรงพลังอย่างพวกรัตติกาลที่ซึ่งไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาจ้องมองเศษมนุษย์ที่อยู่บนดาวสีฟ้าแห่งนี้และพร้อมที่จะแทนที่มนุษย์ที่ปกครองดวงดาวแห่งนี้มากว่าพันปีเพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่บนดาวสีฟ้าแห่งนี้!
เขาถอนหายใจหนักๆอีกครั้งก่อนจะโยนก้นบุหรี่ที่ไฟลุกมาจนสุดแล้วออกไปแล้วจึงหยิบเอามวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบหลินเฉิงสูดหายใจเข้าลึงๆและค่อนๆปล่อยควันออกมา จากนั้นก็หันไปถามหลิงเชิง “มีแค่นี้ใช่มั้ย?”
“ใช่แล้ว”
มองหลินเฉิงที่เงียบมาเกือบครึ่งวันดังนั้นเมื่อเขาเอ่ยถามขึ้นมาหลิงเชิงก็รีบตอบรับและพยักหน้าเลย สำหรับเผ่ารัตติกาลอย่างพวกเขาแล้วนั้นไม่สามารถเข้าใจความสับสนงุนงงของหลินเฉิงในตอนนี้ได้เลยซักนิด เพราะก่อนหน้านี้เพียงแค่เขาเจอประตูแห่งรูน ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
เมื่อเห็นหลิงเชิงพยักหน้ารับหลินเฉิงก็คิดอีกครู่หนึ่งแล้วถามเพิ่ม “มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นขณะที่นายเข้ามาเช็คที่นี่ตลอดเดือนถึงสองเดือนบ้างมั้ย?”
“ที่นี่…” การที่อีกฝ่ายจู่ๆถามขึ้นมามันก็ทำให้เขารู้สึกกระอั่กกระอ่วมขึ้นมาเลย“ก็บอกไปแล้วไงว่าถึงฉันจะเข้ามาศึกษาที่นี่ก่อนแต่ฉันก็ไม่เจออะไรเลย ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์จนถึงตอนนี้…”
“อ่าห้ะ”
หลินเฉิงก็คิดไว้งั้นแหละว่าหลิงเชิงคงไม่ได้อะไรจากที่นี่ เขาพยักหน้ารับแล้วเริ่มจะสังเกตุรอบๆอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้น จุดที่ถูกซ่อนอยู่ก็ปรากฏขึ้นมา
“ฝ่ามือเหรอ?”
มองดูเส้นร่างที่แทบจะมองไม่เห็นแล้วของรอยฝ่ามือที่เป็นแม่แบบคิ้วของหลินเฉิงก็กระตุกขึ้นมาและยกมือขวาขึ้นประกบไปที่รอยนั่นทันใด!
“ฝ่า—”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีแม้กระทั้ง แรงสั่นสะเทือนแบบที่เคยเกิดที่ใต้ภูเขาฟินิกส์แล้วครั้งหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงคลื่นสีฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประตูแห่งรูนเลย
“เฮ้อ!”
เขาฝืนยิ้มก่อนจะส่ายหน้าตอนนี้เขาตื่นเต้นมากเกินไปที่จะเอามือออกจากการวางทาบนั้น
หลังจากนั้นมันก็ทำให้เขาคิดได้ว่าเขาเองก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป ประตูแห่งรูนนี้ดั้งเดิมก็อยู่ใต้โลกอยู่แล้วซึ่งมันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย ถ้ามันจะเปิดขึ้นมาได้จริงๆ บางทีเขาอาจจะกลายเป็นผีไปแล้ว
“มานี่แปปนึงสิหลิงเชิง”
หลังจากไอ2 ครั้ง หลินเฉิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วกวักมือเรียกหลิงเชิง เมื่อเขาเดินเข้ามาในตำแหน่งที่พอดีแล้วหลินเฉิงก็ชี้ไปยังจุดที่ให้ทาบฝ่ามือและเอ่ยขึ้น “นายเคยเจอที่ปั้มรอยนิ้มมือนี่มาก่อนหรือเปล่า?”
เมื่อมองตามนิ้วของหลินเฉิงเหมือนเขาจะมองต่ำไปจึงไม่เห็นร่องรอยอะไรมันเลยทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลินเฉิงพร้อมกับสีหน้าที่จะถามราวๆว่า ‘ให้ฉันมาดูอะไรน่ะ?’
พลันเห็นอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะไม่เห็นอะไรนั้นหลินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะจับหัวหลิงเชิงเข้ามาใกล้ๆและชี้ให้เห็นชัดๆว่ารอยมันอยู่ตรงไหน
“เห็นหรือยัง?”
“โอ้เห็นแล้วๆๆ!”
หลินเฉิงยังชี้นิ้วทิ้งไว้และหลิงเชิงก็พยายามเพ่งสายตามองอย่างตั้งใจและท้ายสุดเขาก็เห็นรอยนิ้วมือที่เกือบจะจางหายไปแล้ว ช่างเป็นประตูที่น่าพิศวงจริงๆ
มองไปยังที่ปั้มลายนิ้วมือที่ค่อนข้างจะหายากหากเป็นสายตาคนทั่วไปมันเลยทำให้ตัวหลิงเชิงเองค่อนข้างจะประหลาดใจเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าเขาเข้าๆออกๆที่นี่มาหลายครั้งแล้วไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง นี่ถ้าหลินเฉิงไม่ยอมบอกเขา มีหวังเขาไม่มีวันเจอที่ปั้มรอยนิ้วมือนี่แน่ๆ! หลังจากที่เหลือบมองหลินเฉิงด้วยความประหลาดใจเขาก็เอ่ยขึ้น “นายหาที่ปั้มรอยนิ้วมือนี่เจอได้ยังไง?”
ได้ยินคำถามนั้นหลินเฉิงก็รู้สึงแปลกใจ “ทำไม? ไม่ใช่ว่านายก็เข้ามาที่นี่บ่อยๆเหรอ? แม่แต่ไอ้เจ้านี่ก็ยังไม่เคยเห็นงั้นเหรอ??”
“แค่ก…”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจจะเย้ยแต่หลิงเชิงก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ จริงๆแล้วการที่เจอไอ้ที่ปั้มลายนิ้วมือนี่ก็ไม่ได้กินใจนักหรอก แต่เพราะไม่เคยสังเกตุเห็นต่างหาก…
“เอาเถอะเอาเถอะ…”
เห็นหลิงเชิงดูเขินอายขนาดนั้นหลินเฉิงเลยโบกมือราวๆว่าไม่เป็นไรขึ้นมา“ไอ้ที่ปั้มลายนิ้วมือนี่ก็ไม่ได้หากันง่ายๆ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก มาทางนี้ เอามือของนายมาทาบซิเผื่อจะมีอะไรใหม่ๆโผล่ขึ้นมา”
“โอเค”
เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงไม่ได้ว่าอะไรกับสิ่งนี้เขาก็ดีใจมากๆและไม่พูดถึงมันก่อนจะรีบยื่นมือไปประทับให้ตรงรอยมือนั้นจากนั้นก็กดลงไป
ทันทีที่หลิงเชิงแปะมือไปแล้วหลินเฉิงก็หายใจเข้าลึกๆและตั้งตารอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประตูแห่งรูนนี้ แต่หลังจากที่รอมา 2 นาทีมันก็ยังเงียบอยู่ นาทีที่ 3 ก็ยังพบว่ามันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดคาดสุดๆ
“ไม่ควรเป็นแบบนี้เหรอ?”
แม้แต่หัวหน้าเผ่ารัตติกาลอย่างหลิงเชิงก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับประตูแห่งรูนได้งั้นเหรอ…หลินเฉิงขมวดคิ้วมองไปยังเจ้าสิ่งนั้น ภาพในตอนนี้มันช่างคุ้นตากับตอนที่อยู่ใต้หุบเขาฟินิกส์มากๆ เมื่อครั้งที่หญิงโรคจิตนั้นสัมผัสไปที่ประตูแห่งรูนด้วยมือขวา ถึงแม้ว่าประตูนั่นจะไม่ได้เปิด แต่มันก็ดูเหมือนจะมีปฏิกริยาอะไรบางอย่าง
แต่นี่น่ะเผ่ารัตติกาลเลยนะ!เอเลี่ยนจากใต้โลกเลยนะเว้ย! ทำเหมือนกับหญิงโรคจิตนั่นทุกอย่างแต่ทำไมผลลัพธ์มันไม่เหมือนกันละวะ!! นี่มันเป็นอะไรที่ทำเขาไม่คาดคิดสุดๆ
คิ้วขมวดแล้วขมวดอีกหรือบางทีเขาอาจจะผิดพลาดอะไรบางอย่าง เขานั่งลงไปบนพื้นและหยิบบุหรี่มาจุดสูบอีกครั้ง
เขาต้องทำให้มันกระจ่างไม่งั้นแล้วความลับที่ได้มาทั้งหมดจะกลายเป็นเปล่าประโยชน์ทันที และการที่เขาพยายามมาโดยตลอดนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลไปตามกระแสเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
แต่ปัญหาหลักๆคือเขาไม่รู้ว่าหัวใจของความลับแต่ละอย่างมันคืออะไรและในเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้มันก็คงไม่ต่างจากตายแถมตายทันทีด้วย ดังนั้นแล้วเขาต้องลองหาทางอื่นดูเพื่อที่จะทำลายทางตันนี่
“ประตูแห่งรูนหญิงบ้า เอเลี่ยน…”
เขาบ่นเกี่ยวกับเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับประตูแห่งรูนแต่ในตอนนั้นบุหรี่ที่สูบอยู่มันก็หมดพอดีเขาจึงโยนมันออกไปจนตอนนี้มันเริ่มกลายเป็นภูเขาเล็กๆแล้ว หลิงเชิงและหลิงเหมิงนั้นมองหลินเฉิงที่ดูเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดอะไรบางอย่างอยู่จนพวกเขาไม่กล้าส่งเสียงดังขึ้นมา พวกเขาทำได้แค่ไปนั่งบนเตียงและหยิบสมุดขึ้นมาวาดรูปรายละเอียดต่างๆของถ้ำนี้ขณะรอให้หลินเฉิงแก้ปัญหาที่เขากำลังสับสนอยู่นั้นไปพลางๆ
“หญิงบ้า..หญิง…”
หลังจากที่ผลาญบุหรี่ไปเป็นแพ็คดวงตาของหลินเฉิงก็จ้องไปที่ใบหน้าของหลิงเหมิงผู้ที่กำลังนั่งวาดรูปประตูแห่งรูนอยู่ทันที
——————————–