ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 485 หลิงเหมิงที่มองโลกในแง่ร้าย
SC:บทที่485 หลิงเหมิงที่มองโลกในแง่ร้าย
รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของหลิงเหมิงหลินเฉิงผู้ที่ซึ่งกำลังอารมณ์ดีก็ยิ้มและโบกมือเพื่อทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้น “ความลับที่อยู่เบื้องหลังประตูแห่งรูนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลของพวกเราทั้งคู่แน่ๆ เมื่อมันเปิดออกมาได้ พวกเราก็จะได้รู้เสียทีถึงเหตุผลที่แท้จริงที่พวกเรามายังโลกที่สิ้นหวังนี้ ในเวลาเดียวกัน มันก็น่าจะอธิบายถึงต้นกำเนิดของเผ่ารัตติกาลของเธอได้ด้วย เพราะงั้นพ่อของเธอเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษแหละ…”
“ฉันเข้าใจ…”
มองหลินเฉิงที่พยายามปลอบใจเธอเป็นครั้งแรกหลิงเหมิงก็รู้สึกว่าโดนประจบประแจขึ้นมาทันทีและพูดขึ้น “ฉันสามารถบอกได้ว่าอะไรสำคัญกว่า แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไม ฉันกลับรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูแห่งรูนนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเหมือนที่พวกเราคิด บางทีมันอาจจะอันตราย…”
“หือเธอพูดอะไรน่ะ?”
ดูหลิงเหมิงที่กำลังกังวลหลินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะช้อนสายตามองเธอขึ้นมา “รู้สึกถึงอะไรบางอย่างตอนที่ประตูมันเปิดเหรอ?”
ได้ยินดังนั้นเธอก็ส่ายหัวเบาๆ“มันไม่ถูกต้องซะทั้งหมดหรอก แค่ความรู้สึกน่ะ รู้สึกมันไม่น่าไว้ใจ…”
เมื่อเห็นดังนั้นหลินเฉิงก็กระแอมไอขึ้นมาก่อนจะพูด“ในความเป็นจริง เธอจะรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก ลองคิดดูนะ ในฐานะที่เธอเป็นเผ่าพันธุ์ที่มาจากนอกโลก เผ่ารัตติกาลปล่อยให้มนุษย์บนดินนั้นทำอะไรไม่ถูก ในฐานะของสิ่งที่ดำรงอยู่เบื้องหลังประตูแห่งรูน มันคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายความรู้สึก บางทีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตูนี้อาจมีความสามารถมากถึงได้ซ่อนตัวเองจากโลกจนถึงตอนนี้….”
“อ๊า!?คนที่อยู่หลังประตูนั่นแข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ!?”
ได้ยินดังนั้นตัวหลิงเหมิงเองก็เริ่มที่จะตื่นตระหนกและถามกลับไป
มองเด็กสาวที่ตื่นกลัวได้ภายในไม่กี่คำหลินเฉิงก็โบกมือและพูดขึ้น “ฉันก็แค่เปรียบเทียบ เธอเข้าใจคำว่าเปรียบเทียบหรือเปล่า? แต่จากใจจริงเลยนะ ความแข็งแกร่งของเธอตอนนี้น่ะยังไม่สามารถเปิดประตูได้เลย ลองคิดดูเอาเองละกันว่าเธอกับพวกคนที่อยู่หลังประตู…คนที่เปิดประตูนี้ได้จะต่างกันขนาดไหน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ท่าทางของหลินเฉิงก็เปลี่ยนมาให้พลังบวกแก่เธอบ้าง “ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าจะเป็นผีหรือสัตว์ประหลาดแบบไหนที่อยู่หลังประตูแห่งรูนนี่ พวกเรามนุษย์และพวกเธอเผ่ารัตติกาลก็จะต้องฝ่ามันไปให้ได้! ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตอบคำถามให้หัวใจของพวกเราเอง แต่ก็ยังมีความหวังนิดหน่อย…”
“ความหวัง?มีความหวังอะไรในวันสิ้นโลกแบบนี้ด้วยเหรอ?” มองไปยังใบหน้าที่เห็นได้ยากของหลินเฉิงหลิงเหมิงก็เริ่มที่จะเข้าใจอีกฝ่ายทันที ในฐานะคนที่ติดต่อกับเผ่าอื่นและตระกูลอื่นมากที่สุดอย่างเธอ เธอได้อ่านรายงานของมนุษย์มากมายบนโลกนี้ และค่อยๆเข้าใจถึงภายในของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์เหล่านี้ ในตอนนี้ ครอบครัวหนุ่มสาวนี้ยังไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นอยู่ระดับไหน เหมือนกับโทรศัพท์ที่เขาเห็นมาก่อนหน้า บางทีในใจพวกเขานี้อาจจะมองว่าโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับเพื่อนและญาติได้ตลอดเวลากับเล่นเกมได้บางโอกาสนั้นอาจจะสำคัญกว่าความแข็งแกร่งใดๆก็ได้
และด้วยแนวคิดแบบนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับความอยู่รอดในวันพรุ่งนี้ หรือต่อสู้กับสัตว์ประหลาดน่ากลัวๆ แค่อยู่และแบ่งปันเรื่องราวชีวิตไปวันๆ
“เธอเคยคิดถึงอนาคตของเผ่ารัตติกาลหากไม่มีวันสิ้นโลกหรือเปล่า?”
หลังจากที่สูบบุหรี่อยู่เป็นเวลานานหลินเฉิงก็มองไปยังหลิงเหมิงแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังมองมาทางเขาในเวลาเดียวกัน มันอดขำไม่ได้เลย
“อนาคตของพวกเรา…งั้นเหรอ?”
ได้ยินหลินเฉิงถามเธอเกี่ยวด้วยคำถามแบบนั้นหลิงเหมิงก็งุนงงมาชั่วขณะ เธอขมวดคิ้วและคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบไป “เอาจริงๆ ฉันไม่รู้ บางทีภายใต้การนำของพ่อฉัน ฉันอาจจะไปต่อรองกับผู้นำทางฝั่งมนุษย์ว่าขอที่อยู่อาศัยให้เราด้วย หรือบางทีฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้ต่อรองอะไร เพราะเผ่าพันธุ์ของฉันอาจจะถูกฆ่าตายด้วยเงื้อมมือของมนุษญ์นับร้อยล้านคนก็ได้…”
“มองโลกในแง่ร้ายจังนะ”
คำพูดของหลิงเหมิงกับสีหน้าที่ดูหดหู่ของเธอนั้นทำเอาหลินเฉิงประหลาดใจมากเลยทีเดียว“เธอรู้หรือเปล่า ไม่ว่าจะด้วยพลังการต่อสู้ หรือจะเป็นสติปัญญา เผ่ารัตติกาลอย่างพวกเธอเอาชนะมนุษย์ได้หมดเลยนะ?”
ด้วยรอยยิ้มเบี้ยวๆนั้นหลิงเหมิงส่ายหน้าและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “แล้วยังไง? ไม่ว่าที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์ของเราจะพยายามมาขนาดไหนก็ตาม แต่สิ่งเดียวที่เรายังแก้ไม่ได้นั่นก็คือปริมาณของพวกเรา! บางที ถ้าเราแข็งแกร่งได้เท่านาย เราอาจจะไม่ต้องพึ่งพานายอีกต่อไปแล้วก็ได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขของการเจริญเติบโตของทั้งสองกลุ่ม ฉันคิดว่ายังไงก็ไม่มีโอกาส หนึ่งเลยพวกเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่ต้น ท้ายสุดผลกระทบที่มาจากสงครามของระหว่างสองกลุ่มก็คือการที่พวกเราถูกฆ่าตาย ไ่ม่มีอะไรนอกจากนี้แล้ว!”
“งั้นแบบนี้แสดงว่าวันสิ้นโลกนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายสำหรับเผ่ารัตติกาลของเธอสินะ?”
ฟังคำของหลิงเหมิงหลินเฉิงก็ประหลาดใจเพิ่มขึ้นอีก เขานั้นคิดมาตลอดว่าเธอคนนี้คงจะไม่ได้ฉลาดมากนัก แต่เหมือนว่าเขาคงจะต้องมองเธอใหม่เสียแล้ว
“ฉันก็ทำได้แค่พูดนั่นแหละเจ้าตัวซวย”
หลิงเหมิงปัดฝุ่นที่กางเกงพร้อมกับถอนหายใจ“การมีอยู่ของพวกซอมบี้และพวกคนที่หิวโหยข้างนอกทั้งหลายนั้นช่วยตรวจสอบและสร้างสมดุลย์ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีพื้นที่จำกัด และเพราะแบบนี้มันเลยทำให้มนุษย์ไม่สามารภสำรองพลังงานไว้เพื่อที่จะต่อกรกับเราได้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถพัฒนาฐานที่มั่นได้อย่างสะดวกสบาย จากจุดนี้ มันชัดเจนแล้วว่านี่เป็นสิ่งที่ดี! แต่ในทางกลับกัน สัตว์ประหลาดเผ่าพันธุ์อื่นก็พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลาเหมือนกัน พวกมันข่มขู่และคุกคามวิถีชีวิตของเรา ถ้าภัยพิบัตินี่ยังอยู่อีกนาน ท้ายสุดแล้วมันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับพวกเราเหมือนกัน ปัญหาหลักของพวกเรานั้นก็คืออาหาร เช่นเดียวกับพวกมนุษย์ และไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ไม่สามารถยอมรับจุดจบได้ แต่พวกเราเอง เผ่ารัตติกาลก็ไม่สามารถยอมรับจุดจบที่เกิดจากการขาดอาหารได้เช่นกัน ถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้อยู่ ผลลัพธ์สุดท้ายที่เป็นบทสรุปของทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นก็คงจะมีแต่ตายลงไปทั้งคู่นั่นแหละ!”
“อืมฟังดูมีเหตุผลนะ” ได้ฟังการวิเคราะห์ของหลิงเหมิงแล้วเขาก็คิดตามจากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ ในความเป็นจริงจากมุมมองของเขาเองนั้น เขาไม่ได้เห็นในหลายๆมุมของทั้งมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นมาก่อน โดยเฉพาะตั้งแต่วันสิ้นโลกเข้ามานี่ด้วย เมื่อเหล่ามนุษย์เริ่มตื่นตัว พวกเขาและเผ่ารัตติการนั้นไม่ได้ต่างกันมากนัก สิ่งเดียวที่ต่างกันนั้นก็มีแค่เผ่ารัตติกาลมีความแข็งแกร่งสูงอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้น
นี่คือเหตุผลหลักที่ว่าทำไมเขาเลือกที่จะไม่สู้กับเผ่ารัตติกาลหลังจากสงครามเลือดเมื่อวานในความคิดของเขา ทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก พวกเขายังคงต้องกิน ต้องนอน ต้องเข้าห้องน้ำ และยังกังวลถึงหนทางที่จะต้องเดินต่อในวันต่อไป เขาไม่สามารถคิดที่จะกินเลือดกินเนื้อกับเผ่าพันธุ์ที่เป็นเสมือน “เพื่อน” เช่นนี้ได้
ขณะที่คิดถึงสิ่งนี้อยู่หลินเฉิงไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม ถึงแม้ว่าความคิดของหลิงเหมิงจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องก็ตาม เขาคิดถึงเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ในฐานะที่เป็นมนุษย์ มันจะดีกว่าถ้าเขาไม่แสดงออกเกี่ยวกับมุมมองของเขาต่อเรื่องนี้
ในขณะที่ทั้งหลินเฉิงและหลิงเหมิงกำลึงคิดถึงความคิดของแต่ละคนหลิงเชิงก็มาพร้อมกับหยุนเฟิงที่โดนลากมาแบบงงๆ
“โอเคๆฉันมาถึงแล้ว ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าอยากจะให้ทำอะไร?”
หลังจากสลัดจากการลากของหลิงเชิงได้หยุนเฟิงก็พักหายใจหนักๆและเอ่ยถามหลิงเชิงด้วยใบหน้าเหนื่อยเลย
ได้ยินดังนั้นหลิงเชิงก็ขำ2-3 ครั้งแล้วเตรียมที่จะอธิบายเรื่องราวให้หยุนเฟิงฟัง แต่หลินเฉิงก็เข้ามาก่อน เขาพยักหน้าให้เธอด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “ให้ฉันอธิบายเรื่องนี้เอง”
จากคำอธิบายของหลินเฉิงเขาก็ชี้ไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลจากทุกคนนักและพูดต่อ “ในความเป็นจริง เรื่องที่จะขอให้คุณหยุนเฟิงช่วยนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องอื่นนอกจากให้ช่วยเปิดประตูแห่งรูนนี่หรอกครับ”
“ประตูแห่งรูน?”
ได้ฟังถ้อยคำของหลินเฉิงหยุนเฟิงก็ขมวดคิ้วไปที่หลิงเหมิงและเหลือบมองหลิงเชิงผู้ที่กำลังเขินทันที จากนั้นเธอก็พูดขึ้น “นี่คือประตูแห่งรูนที่นายไม่ยอมบอกที่ตั้งของมันให้ฉันรู้สินะ?”
“เอ่อ…แค่ก!”
การถูกจ้องมองด้วยสายตาแห่งการเค้นหาความจริงของหยุนเฟิงนั้นทำเอาหลิงเชิงถึงกับไอออกมาเลยจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงค่ำ “นี่คือ ที่ที่ท่านผู้อาวุโสหลิงเฟิงบอกฉันไว้ก่อนจะจากไปน่ะ มันจะดีกว่าถ้าจะไม่ให้ใครรู้ถึงที่ตั้งของประตูแห่งรูนจนกว่าจะถึงยามจำเป็นจริงๆน่ะ ต-แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่บอกเธอนะ แ—-”
“ไม่ต้องอธิบายฉันเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว”
ก่อนที่หลิงเชิงจะพูดจบเธอก็หยุดเขาไว้ก่อน “จริงๆฉันก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพักใหญ่ๆแล้วล่ะ แต่ไม่ได้ถามเพราะดูแล้วนายกับผู้อาวุโสหลิงเฟิงดูจะหวงความลับนี้นักหนา แต่ตอนนี้กลับมาทำตัวย้อนแย้งบอกว่ายังแก้ปัญหาไม่ได้?”
“ครับ!”
เมื่อได้เห็นท่าทีที่มีเหตุผลและชาญฉลาดของหยุนเฟิงหลินเฉิงก็ยกย่องอีกฝ่ายและพูดขึ้น “หลังจากการทดลองของพวกเราตอนนี้ พวกเราพบหนทางที่จะเปิดประตูนี้แล้ว แต่เพราะหลิงเหมิงนั้นยังแข็งแกร่งไม่พอ เธอไม่สามารถเปิดประตูได้จนหมด เพราะงั้นเราเลยขอให้คุณหยุนเฟิงมาที่นี่และลอง”
“โอ้งั้นการที่นายอยากให้ฉันมาเปิดประตูนี่ แสดงว่าการที่ประตูมันจะเปิดได้เนี่ย มันเกี่ยวกับเพศและความแข็งแกร่งสินะ?”
หลังจากที่ได้ยินหลินเฉิงอธิบายหยุนเฟิงก็คิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดเธอก็จับประเด็นสำคัญได้
“ใช่!ใช่เลย!!” การที่หยุนเฟิงสามารถจับประเด็นทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วนั้นทำเอาหลินเฉิงพยักหน้าแบบยิ้มๆเลย“ไม่น่าเชื่อเลยว่าหยุนเฟิงจะฉลาดได้ขนาดนี้ แม้แต่หลินเฉิงยังใช้เวลาคิดตั้งนานกว่าจะได้ผลลัพธ์นี้ออกมา!”
“เห้ย…”
อย่างไรก็ตามหยุนเฟิงเองก็ไม่ได้ไหลไปตามการเยินยอของหลิงเชิง“การเอาประเด็นจากคนอื่นๆมารวมกันเพื่อให้ได้จุดสำคัญนั้นมันต่างกับคนที่เป็นต้นคิดมากเลยนะ ถ้าสามารถหาคำตอบได้โดยไม่พึ่งใครเลย ฉันเองก็คงจะบอกได้ว่าน้องหลินเนี่ยไม่ใช่คนธรรมดา…”
“เราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันทีหลังตอนมีเวลาก็ได้ตอนนี้คุณหยุนเฟิงเข้าใจทุกอย่างแล้ว เพราะงั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”
เขาโบกมือด้วยความรีบร้อนนิดหน่อยหลินเฉิงผู้ที่ไม่ได้สนใจการเยินยอแบบจริงๆจังนี้รีบจบการสนทนาของทั้งสองไว้ก่อน เขาโบกมือเรียกหยุนเฟิงให้ไปยังประตูแห่งรูน เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงนั้นดูจะไม่อยากเสียเวลาหยุนเฟิงก็หัวเราะเล็กน้อยและหันไปถอนหายใจใส่หลิงเชิงราวๆว่าอย่าทำเรื่องไร้สาระ เธอตามหลินเฉิงไปยังประตูแห่งรูนและหยุดตรงหน้า
“คุณหยุนเฟิงวางมือขวาไปตรงนี้และรออย่าตะโกนโหวกเหวกเมื่อตอนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเหมือนลูกสาวคุณด้วยนะครับ”
มองไปยังฝ่ามือที่ประกบลงไปหลินเฉิงที่อยู่ข้างๆหยุนเฟิงก็อธิบายว่าต้องทำอย่างไรบ้าง และก็ถือโอกาสแอบกัดหลิงเหมิงเล็กน้อยด้วย
หลิงเหมิงที่ได้ยินหลินเฉิงกัดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเธอก็รีบกระโดดขึ้นมาแล้วชี้ไปทางหลินเฉิงด้วยความโกรธเลย “ฉันก็แค่เข้าใจยากเฉยๆ! ฉันน่ะช่วยนายมาตลอดทางแม้ว่าจะยุ่งมากๆเลยนะ! นี่นอกจากจะไม่ขอบคุณฉันแล้วยังเอาฉันมาบ่นต่อหน้าแม่ฉันอีกเหรอ! หนอยแก!”
เมื่อเห็นลูกสาวของเธอนั้นดูจะปากกล้าขาแข็งแล้วใบหน้าของหยุนเฟิงก็ดูหน่ายขึ้นมาเลย “ลูกห้ามลืมตัวสิว่าตัวเองเป็นผู้หญิงน่ะ! ถ้าแม่ได้ยินหนูพูดแบบนั้นอีกล่ะก็ เราได้เห็นดีกันแน่!”
หลังจากที่ดุหลิงเหมิงไปนิดหน่อยแล้วหยุนเฟิงก็เลือกที่จะไม่ทำให้เรื่องมันใหญ่โตกว่านี้ จะให้เสียเวลามากขึ้นไม่ได้ เธอยืนแขนออกไปตรงหน้าและสัมผัสเข้ากับรอยประทับนั่น
ทันทีที่ฝ่ามือของหญิงสาวสัมผัสลงไปบนบนนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันกลั้นหายใจเพื่อลุ้นไปกับผลที่เกิดขึ้น ไม่มีใครขยับอะไรนอกเสียจากเสียงลมที่ออกมาจากรอยแยกของประตู
ทุกอย่างเงียบไปกว่านาทีและทันใดนั้นทุกคนก็พากันถอนหายใจออกมา
เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจนั้นหลิงเชิงก็กระพริบตาปริบๆและหันไปมองยังหลินเฉิงที่ซึ่งเดินออกมาจากทางหยุนเฟิงและไปนั่งลงบนหินก่อนจะหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบ
“นาย…” เห็นท่าทีเช่นนั้นหลิงเชิงก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ง่ายขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ในความเป็นจริง หลังจากรอมาเป็นนาที เขาก็รู้สึกได้แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างมันไม่ถูกต้อ ผนวกเข้ากับความคิดของหลินเฉิงในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเดากันผิดอีกครั้งแล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่หยุนเฟิงสัมผัสรอยประทับนั้นอยู่นานจนพบบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ตอนนั้นเธอเห็นสามีของเธอและหลินเฉิงต่างพากันผิดหวัง เธอเลยเอ่ยถามขึ้นเบาๆ “นี่คือไม่ได้ผลเหรอ?”
“ใช่…”
หลินเฉิงส่ายหัวและยิ้มแบบฝืนๆให้เธอ“ถ้ามันได้ผล คุณจะเห็นกระแสไฟฟ้าวิ่งออกมาในทันทีที่สัมผัส ตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมานานแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าบางทีการคาดเดาของฉันก่อนหน้านี้มันผิด…”
“ไม่มีทาง!”
หลิงเชิงยังคงรับเรื่องนี้ไม่ได้“จากการทดลองครั้งก่อนของเรา มันแสดงให้เห็นว่านี่เป็นวิธีที่มีเหตุผลนะ! ถ้ามันจะไม่ได้ผล แสดงว่า…”
“ไม่!”
ก่อนที่หลิงเชิงจะพูดจบหลินเฉิงก็ชิงหยุดหยุดไว้ก่อน “ฉันรู้ว่านายอยากจะบอกอะไร แต่ในเมื่อประตูแห่งรูนสามารถถูกหลิงเหมิงเปิดออกได้ นี่ต้องเป็นเหตุผลที่มันมาอยู่ที่นี่ และมันยังแสดงให้เห็นแล้วว่า ประตูนี่สามารถเปิดออกได้จากด้านนอก! แต่ที่เรายังเปิดไม่ได้นั่นเพราะว่าเราตีความกันผิด! อย่าเช่น คุณหยุนเฟิงอาจจะยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเปิดประตูนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่ประตู!”
——————————