ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 486 หนทางแห่งความรุนแรง
SC:บทที่486 หนทางแห่งความรุนแรง
“แต่นายต้องเข้าใจด้วยว่าพวกเราได้ลองทุกวิธีที่น่าจะเป็นไปได้แล้วเว้นแต่จะใช้วิธีที่รุนแรงกว่านี้…แต่มันอาจจะทำให้เราเปิดประตูไม่ได้อีกเลย!”
ได้ยินดังนั้นแล้วหลิงเชิงก็รู้สึกว่ามันมีเหตุผล แต่เขาก็ยังกังวล
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม คำตอบมันอยู่ตรงหน้าแล้ว เพราะงั้นเขาจะมาใจเย็นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันเกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดหรือบางทีก็เกี่ยวกับอนาคตของเผ่ารัตติกาลด้วย!
หลินเฉิงส่ายหน้าและไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาเขาหยิบดาบทรง D ออกมาจากด้านหลังและแทงเข้าไปบริเวณช่องว่างของประตูแห่งรูน
*เคร้ง!* เมื่อได้ยินเสียงสะท้อนออกมาหลินเฉิงผู้ที่กำลังงุนงงกับหลายๆสิ่งก็เก็บดาบยาวของเขากลับไป จากนั้นก็พูดกับหลิงเชิงตรงบริเวณที่ปลายดาบแทงลงไป “คงจะเห็นได้ด้วยตาตัวเองแล้วนะ ว่าดาบของฉันนั้นตัดได้แม้กระทั่งเหล็ก”
หลังจากที่มองไปตามรอยที่หลินเฉิงชี้แล้วหลิงเชิงก็รีบขยี้ตาแล้วมองใหม่ทันที หลังจากที่สังเกตุดีๆแล้ว เขาพบว่ามันมีเพียงแค่ร่องรอยขาวๆเล็กๆเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่ว่าตาของเขาค่อนข้างจะพิเศษมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นรอยขาวๆที่เล็กกว่ามดนี่ได้แน่ๆ
“เป็นไปได้ยังไงกัน!”
เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่และช็อคไปกับความแข็งแกร่งของประตูหินนี่ก่อนจะอุทานออกมา“ถ้าดาบของนายมันคมตามที่นายว่า นั่นหมายถึงประตูหินนี่ไม่สามารถถูกทำลายได้ถูกหรือเปล่า?”
“ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามถ้าจะทำลายมัน นั่นหมายถึง เป็นไปไม่ได้…”
เขาพยักหน้าทางด้านหลินเฉิงเองก็รู้สึกเหนื่อยสุดๆ เพราะตั้งแต่เขามาที่ฐานทัพสมุทรสีครามแห่งนี้ เขาตั้งใจจะได้พักผ่อนซักพักหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีเรื่องให้ยุ่งๆได้ตลอดเลย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กังวลเรื่องโดนลอบโจมตีจากพวกตัวกินคน อย่างการที่ต้องไปจัดการกับจิ้งจอกแก่ภายในฐานทุกวัน เขายังคงคิดถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดกับพวกตัวกินคนที่ปัญญาต่ำอยู่เรื่อยๆในช่วงวันที่ต้องสู้กับพวกตัวกินคนเหล่านั้น
โดยเฉพาะหลังจากตอนที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่ารัตติกาลแล้วความรู้สึกที่แข็งกล้าของวิกฤตมันก็วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดเวลา มันทำให้เขาไม่สามารถลดการป้องกันลงได้เลย ทุกๆวันเขาตื่นมาก็ต้องเริ่มที่จะคิดหาทางแก้ปัญหาหลายๆอย่างรวมถึงต้นกำเนิดของเผ่ารัตติกาลด้วย
หลังจากจบการต่อสู้ความลับส่วนใหญ่ได้ถูกแก้โดยตัวเขาเอง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ยังค่ายของเผ่ารัตติกาล ความลับมากมายก็ยิ่งโผล่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่มันทำให้เขาคิดว่า เขาคงต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ
ยืนอยู่ต่อหน้าหลินเฉิงที่กำลังสูบบุหรี่อย่างใจร้อนรนบุหรี่ที่เพิ่งแกะซองใหม่นั้นแทบจะถูกหยิบมาจุดสูบหมดแล้วโดยเขาคนเดียว หยุนเฟิงที่ยืนดูอยู่นานเริ่มจะทนกับบรรยากาศในตอนนี้ไม่ไหว ในท้ายสุดเธอจึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมันยังหาทางออกไม่ได้ถ้ายังไงเรากลับไปพักกันก่อนไหม? เพราะดูๆแล้วอยู่ที่นี่ต่อก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา…”
“ไม่…”
ขณะที่กำลังโดนหยุนเฟิงชวนกลับ
หลินเฉิงก็ดีดก้นบุหรี่ในมือออกจากนั้นก็ยืนและปัดก้นของตัวเอง“ในเมื่อความลับของประตูหินนี่ยังไม่กระจ่าง ฉันก็จะไปก่อนก็ได้! แต่หลังจากที่จบเรื่องวันนี้ทุกอย่างแล้ว ฉันจะมาจัดการเรื่องนี้อีกที ตราบใดที่นายไม่รบกวนฉัน ฉันสัญญาว่าจะทำตัวให้หาตัวยากเข้าไว้ไปล่ะ!” หลังจากพูดจบเขาก็หันหน้ากลับเตรียมที่จะออกไปเลย
“ไม่รอก่อน!”
เมื่อเห็นหลินเฉิงเตรียมจะออกไปโดยไม่แยแสหลิงเชิงพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่เลยเขาเข้าใจว่าเจ้าสิ่งนี้มันทำให้หลินเฉิงรู้สึกหนักใจมากๆหากต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่หลังจากพยายามมาเนิ่นนาน และตัวเขาเองก็ไม่อยากให้หลินเฉิงออกไปแบบนี้ ในตอนนี้ประตูแห่งรูนได้อยู่ตรงหน้าแล้ว และมันเองก็เปิดเพิ่มนิดหน่อยแล้วด้วย ถ้าหลินเฉิงออกไปทั้งอย่างนี้ ข้อมูลที่เขามีที่ซึ่งอาจจะช่วยเปิดประตูได้อาจจะกลายเป็นของไร้ค่าขึ้นมาเลยก็ได้
ได้ยินหลิงเชิงห้ามปรามหลินเฉิงก็ขมวดคิ้วแล้วหันกลับมาถาม “ยังจะต้องการอะไรอีก? ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประตูหินนี่ฉันจะไม่พูดถึงมันอีกแล้วนะ เพราะฉันคิดอะไรไม่ออกแล้ว ฉันจะพูดถึงมันอีกครั้งก็ต่อเมื่อเจอใครซักคนที่…” “ฉันรู้”
ฟังน้ำเสียงของหลินเฉิงที่ดูเย็นชาขึ้นนิดๆหน่อยแต่ดูเหมือนความตั้งใจเดิมของเขาจะยังไม่สั่นคลอนหลิงเชิงจัดการความคิดตัวเองนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะและพูดออกไป “แต่นายยังไม่ได้ฟังฉันดีๆเลยนะ ฉันยังไม่ได้พูดจนถึงตอนนี้ถ้ายังไง พวกเราสามารถใช้วิธีรุนแรงอีกครั้งได้มั้ย?”
“แต่นายก็เห็นฉันลองให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ได้ยินดังนั้นหลินเฉิงก็ดูใจร้อนขึ้นมา“แม้แต่ดาบของฉันก็ยังทำอะไรประตูหินนั่นไม่ได้เลย นี่นายยังคิดว่ามีอะไรที่สามารภทำได้อีกเหรอ?”
“ใช่!”
ถึงแม้ว่าหลินเฉิงจะดูใจร้อนนิดหน่อยแต่หลิงเชิงก็ไม่ได้สนใจอะไร“ฉันจำได้ว่าเมื่อวานในการต่อสู้นั้น ไม่ใช่ว่าคนจากฐานสมุทรสีครามของนายใช้อาวุธที่ทรงพลังอยู่เหรอ? ที่ว่าอะไรพลุๆน่ะ” “นายหมายถึงจรวดเหรอ?นี่นายสิ้นหวังกับชีวิตไปแล้วหรือไงเนี่ย!?”
ได้ยินคำพูดของหลิงเชิงหลินเฉิงก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “นายพูดถูกแล้ว อนุภาพของไอ้เจ้านั่นน่ะ ดาบของฉันเทียบไม่ติดเลย แต่นายต้องรู้ด้วยว่าแรงระเบิดของเจ้านั่นน่ะ มันไม่ได้ถล่มแค่ถ้ำน่ะ มันระดับฐานของนายก็หายไปได้เลยนะ! นายมั่นใจเหรอว่าจะใช้มันน่ะ ตาแก่”
“แน่นอนก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ!”
เขาเยาะเย้ยหลิงเชิงอย่างเยือกเย็นเพียงแค่คิดหลิงเชิงก็เขินอายมากๆแล้ว เขาทำได้แค่โบกไม้โบกมือแล้วพูดต่อ “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ ณ ตอนนั้นของเมื่อวาน แต่ฉันก็ได้ยินมานิดหน่อยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของจรวดนั่น ฉันรู้ว่ามันไม่เหมาะที่จะใช้กับสถานที่แบบนี้ เพราะงั้นฉันอยากได้อะไรที่เหมือนกับจรวด แต่เล็กกว่าแล้วก็สามารภควบคุมแรงระเบิดได้”
เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายพูดจนเสร็จหลินเฉิงก็เข้าใจแผนการของเขา ถึงแม้ว่าไอเดียนี้จะดูไม่น่าจะได้ผลนัก แต่ก็คิดว่าในเมื่อทุ่มเทให้ที่นี่ทั้งใจแล้ว จะให้กลับมือเปล่าได้ยังไง เขาพยักหน้ารับแม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม
“นายพูดถูกมันจริงที่ระเบิดนั้นสามารถควบคุมพื้นที่และกำลังได้ พูดตามตรงเลยนะ ฉันดันเก็บเจ้าพวกนั้นไว้เยอะซะด้วยสิ”
เขาถอนหายใจเล็กน้อยหลินเฉิงไม่ได้เดินออกไปจากที่นี่แล้ว เขาหันกลับไปยังประตูหินแห่งรูนและถอดเป้สะพายหลังวางไว้เพื่อหยิบอะไรบางอย่างออกมา
“จริงเหรอ?!งั้นเอามันออกมาลองเลย!”
เมื่อได้ยินว่าหลินเฉิงมีของพวกนี้อยู่หลิงเชิงก็ดีใจมากๆ เขานั้นแค่ถามเผื่อเฉยๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเจ้าสิ่งนี้ต่อหน้าต่อตาแบบทันทีเช่นนี้
หลังจากรับรู้ว่าหลิงเชิงดูท่าจะไม่กังวลอะไรหลินเฉิงก็เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือออกมาจากกระเป๋า หยิบในแคปซูลไว้และเลือกระเบิด C4 ออกมา 3 ลูก และย้ายมันออกมาความรู้สึกหวิวๆที่มือขวานั้นมันทำให้เขารีบเอาระเบิด C4 ทั้งสามชิ้นออกมาจากประเป๋าทันที!
—————————-