ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 495 แผนใหม่ของหลินเฉิง
SC:บทที่495 แผนใหม่ของหลินเฉิง
เมื่อเห็นหลินเฉิงเดินลับตาไปแล้วหลิงฉงก็สามารถถอนหายใจอย่างโล่งใจได้ถึงแม้ว่าคนๆนี้จะสุภาพมาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ และไม่ได้ต้องการที่จะสร้างปัญหาใดๆก็ตาม หลิงฉงก็ไม่สามารถปล่อยไปคนเดียวได้ หลินเฉิงนั้นเป็นเหมือนเรื่องฝังใจของเขาอย่างมาก เพราะในวันที่เขาโผล่มา เปรียบเสมือนผู้ก่อการร้ายที่โผล่ขึ้นมาในกลุ่มของเขา ไม่มีใครที่จะรู้สึกได้เหมือนกันหรอก
เขาหยิบเอาบุหรี่ที่หลินเฉิงโยนให้หลิงฉงผู้ที่ซึ่งอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลายมากๆยืมไฟแช็กจากการ์ดจากนั้นก็จุดบุหรี่และสูดหายใจเข้าไปลึกๆ กลุ่มควันหนาลอยขึ้นบดบังคราบน้ำตาก่อนจะเหลือบมองการ์ดทั้ง 2 ฝั่งและยิ้มให้ ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงรีบเดินกลับไปยังถ้ำโดยที่ยังถือบุหรี่อยู่โดยสูบทีละนิดๆ …
เกือบจะ10 นาทีแล้วที่เขายังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมๆกับแสงสลัวๆของดวงอาทิตย์ที่โปรยลงมาจากด้านบน หลินเฉิงผู้ที่เริ่มจะวิงเวียนศรีษะแล้วท้ายสุดก็เดินมาจนสุดทางได้จากนั้นเขาก็นั่งลงไปกับพื้นทันที
นี่ถ้ายังคงเดินอยู่เผลอเขาอาจจะต้องลงไปนอนหมอบเป็นศพไปแล้วก็ได้พอมาคิดๆดูแล้วก่อนหน้านี้เขาทั้งใช้ระเบิดเป็นจำนวนมากแล้วไหนจะยังต้องสู้กับไอ้ตะขาบนั่นอีก ไม่มีเวลาพักที่จะได้กินถั่วเซียนเพื่อเพิ่มกำลังกายเลย เพราะงั้นมันจึงยากที่จะให้เขาลุกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหลุดออกมาจากรูนั่นได้
ขณะที่นอนลงไปบนหญ้านุ่มหลินเฉิงก็คาบหญ้าไว้ในปาก สายตาก็จ้องมองเมฆที่ลอยฟุ้งอยู่บนท้องฟ้าส่วนในหัวก็เริ่มสรุปเหตุการณ์ต่างๆของวันนี้ที่ได้พบเจอมา
แต่ถ้าให้พูดกันตามจริงเขาไม่ได้อะไรเลยมากกว่า ถึงแม้ว่าจะได้เห็นประตูหินแห่งรูนและสามารถเปิดช่องแคบได้เพราะหลิงเหมิงช่วย รวมไปถึงได้มองเห็นเหวลึกที่อยู่ด้านหลังประตูหินนั้นและปีศาจตะขาบที่ซึ่งแข็งแกร่งมากๆนั่นอีก พอมาคิดๆดูแล้ว ไอ้แต่ละอย่างที่เจอเนี่ย ไม่เห็นจะได้อะไรที่ต้องการหรือสมควรจะได้กลับมาเลย
หลินเฉิงวางแผนไว้อย่างดิบดีด้วยความพยายามทั้งหมดสำหรับการกระทำการใหญ่นี้เขาพยายามที่จะหาโอกาสเพื่อจะได้เข้าไปภายในประตูหินแห่งรูนเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมมันวันสิ้นโลกถึงได้มาถึง แต่หลังจากความพ่ายแพ้ทั้งปวง มันมีเงื่อนงำมากมาย แต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขามากที่สุดกลับยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ค่อยๆคิดแล้ว หลินเฉิงก็ยังคงพยายามหาถึงสิ่งที่พอจะมีประโยชน์บ้างจากการกระทำที่เปล่าประโยชน์นี้
ตัวเขาเองก็ไม่ชัวร์ว่าจะหาเหตุผลของการมาถึงของวันสิ้นโลกได้ทันทีหรอไม่หลังจากที่เข้าไปในประตูหินแห่งรูนแล้วแต่จากเบาะแสเก่าๆที่เคยเจอมาแล้ว มันน่าจะพอยืนยันได้ว่ามันต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวของกับชีวิตอยู่เบื้องหลังบานประตูนั้นแน่ๆ!
หากยึดตามที่ฟางซิ่วเฉิงเชื้อโรคตัวสุดท้ายออกมาจากฟอสซิลที่ถูกขุดพบในภูเขาเทียนเค็ง และเขาเทียนเค็งขอวเออลอสเองก็ดูจะลึกพอๆกับเหวไร้ก้นที่เขาเพิ่งจะเห็นมาก่อนหน้ารวมไปถึงเหวที่อยู่หลังประตูหินด้วย บางทีมันอาจจะมีการเชื่อมโยงกันระหว่าง 2 สิ่งนี้ก็ได้
ภายในหลุมลึกแม้แต่ยุงที่มีเชื้อโรคเอสคาโตโลจิคัลอยู่ เผ่ารัตติกาลที่มาจากใต้โลกผู้ที่ซึ่งสามารถควบคุมเหล่าตัวกินคนที่ติดเชื้อวันสิ้นโลกได้ ตามการคำนวน อาจจะพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยระหว่างทั้ง 3 สิ่งนี้ไม่ว่ามันจะมาฆ่าเขาหรือไม่ก็ตาม!
ปัญหาในตอนนี้คือ1 ในนี้ที่เขาติดต่อด้วย ไม่สามารถช่วยเพิ่มเบาะแสที่มีประโยชน์ให้แก่เขาได้ ระหว่างที่อีกสอง ประตูหินแห่งรูน ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ไม่สามารถเปิดมันได้ทั้งหมดเลย เพราะงั้นเขาไม่มีโอกาสใดๆที่จะได้เข้าไปสำรวจหาเบาะแสเพิ่มได้จากภายในทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเออลอสจะอยู่ห่างไกลจากเกาะหนานซื่อขนาดไหน เมื่อเทียบกับประตูหินแห่งรูนที่ซึ่งยังไม่สามารถทำอะไรได้นั้น เขาเองก็เหมือนจะเห็นความหวังขึ้นมานิดหน่อย
“ดูเหมือนนี่จะเป็นหนทางเดียว…”
หลังจากที่ค่อยๆจัดการกับความคิดของตัวเองหลินเฉิงก็คายหญ้าออกและกลับมานั่งปกติ เขายกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาและก็พบว่านี่ก็ล่วงเลยมาจนถึงบ่าย 4 โมงแล้ว เพราะงั้นตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้ เขาจึงรีบก้าวเดินต่อไปยังฐานสมุทรสีครามเลย
ในเมื่อเผ่ารัตติกาลไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้และท้ายสุดก็ยังไม่สามารถเข้าไปหาเบาะแสภายในประตูหินแห่งรูนนั้ได้ หลินเฉิงนั้นจึงทำได้แค่ยอมไปก่อนเท่านั้นเพราะแม้แต่ความหวังก็ยังไม่เห็นจากนั้นก็เริ่มหันไปคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายๆกันบนเออลอสแทน
แต่ก่อนที่เขาจะไปเออลอสเขาต้องไปยังหยานจิงก่อน ฟางซิ่วเฉิง “กุญแจสำคัญ” ตอนนี้คงจะถูกควบคุมไว้อยู่แน่ๆ เขาต้องหาผู้มีประสบการณ์ไม่ว่าจะสาธารณะหรือส่วนตัวก็ตาม ความสามารถเช่นนี้ในตอนนี้มีค่ายิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงความเป็นเพื่อนระหว่างคน 2 คน การวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโรคตัวสุดท้ายในสมองของเขานั้นช่วยทำให้หลินเฉิงมีเหตุผลมากพอที่จะไป
นอกจากนี้เมื่อเขาเป็นผู้อยู่อาศัยเขตที่ 1 เขาน่าจะได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์แปลกๆจากหลินหยูเหว่ย ที่ซึ่งน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับแสดงให้เห็นว่าก่อนที่โลกจะถึงจุดจบ เหล่าหน่วยงานระดับสูงของทุกประเทศในโลกได้รู้เรื่องนี้ในระดับสูงกันแล้ว หรือไม่ก็น่าจะคาดเดากันได้แล้วว่าจะมีหายนะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้น! เพราะสิ่งนี้หลินเฉิงจึงต้องไปหยานจิง หากจะมีใครที่รู้ว่าจุดจบของโลกจะมาถึงในระดับสูง เขาจะได้ไม่ต้องวิ่งไปยังดินแดนน้ำแข็งเออลอส เขาเพียงต้องการที่จะหาใครก็ตามที่รู้เรื่องภายในนี้ จากนั้นก็บังคับให้พวกนั้นคายเรื่องนี้ออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ต้องการ!
ส่วนของที่ทำไมเหล่าหน่วยงานระดับสูงจึงไม่ออกประกาศร้ายแรงออกมาให้เหล่าผู้คนได้เตรียมตัวสำหรับสิ่งต่างๆรวมไปถึงสำรองน้ำและอาหารนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของหลินเฉิงเสียเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าหน่วยงานระดับสูงมากนักก็จริงแต่มันต้องเกี่ยวข้องกับรากฐานของแต่ละประเทศแน่ๆ ตราบใดก็ตามที่ร่องรอยการมีอยู่ของธรรมชาติมนุษย์ยังคงอยู่ พวกเขายังคงยอมแพ้ไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกจนถึงวันสิ้นโลก ดังนั้นจึงไม่มีทางถึงแม้จะประกาศเตือนเหล่าประชาชนให้ทราบโดยทั่วแล้วก็ตาม บางทีนี่อาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ในส่วนของการดำเนินการตามนโยบายที่คิดไว้ในใจหลินเฉิงก็มาถึงประตูของฐานสมุทรสีครามแล้วแบบไม่รู้ตัว
“หยุด!”
ก่อนที่หลินเฉิงจะได้เข้าไปใกล้ประตูไปมากกว่านี้ทหาร 6 นายในชุดยูนิฟอร์มทหารเต็มยศก็รีบเดินเข้ามาทันทีเพื่อให้เขาถอยห่างจากประตูก่อน ในเวลาเดียวกันก็ทหารบนกำแพงยกปืนกลขึ้นขู่ให้เขาถอยออกมาจากกำแพงด้วยและจ่อยิงมาที่เขา เป้าทั้งหมดนั้นล็อคมาที่หัวของหลินเฉิงแน่นอน และหลินเฉิงเชื่อว่าหากเขาทำตัวไม่เป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว ทหารเหล่านี้ได้ยิงเขาตายในคราเดียวแน่
“ไม่ต้องห่วงฉันเป็นประชาชนของฐานสมุทรสีครามนี้!”
เขายกมือขึ้นสูงและโบกมือเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขานั้นไม่ได้พกอาวุธอะไรหลังจากที่สำรวจสถานการณ์รอบๆแล้ว หลินเฉิงก็พูดออกไปโดยตรงกับเหล่าเจ้าหน้าที่ที่กำลังเดินเข้ามายังเขา “ฉันชื่อหลินเฉิง เป็นสมาชิกของกลุ่มดาบรัตติกาล พวกนายสามารถติดต่อไปยังหลิงเหลาและบอกให้เจ้านั่นมารับตัวใครบางคนไปก็ได้นะ เชื่อฉัน นายแจ้งไปเมื่อไหร่ เจ้านั่นมาแน่”
เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงที่หัวกลายเป็นเป้าของปืนกลหลายกระบอกนั้นไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลยราวกับว่าปืนที่จ่อหัวนั้นเป็นปืนของเลย เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาต่างก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างระมัดระวังตัว จากนั้นเขาก็เห็นเจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่ดูดุร้ายซึ่งในตอนนี้ใบหน้าเขากำลังสั่นจากนั้นเลือดทั้งหมดของเขาก็หายไปในทันที!
———————————