ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 79
แม้ว่าผู้รอดชีวิตและผู้สัมภาษณ์เหล่านี้จะเคยเห็นผู้มีความสามารถมากมายแต่พวกเขาไม่เคยเห็นความสามารถทางด้านความเร็วที่สามารถหลบกระสุนได้อย่างง่ายดายเช่น หลินเฉิง มาก่อน
โชคดีที่ชายผู้มีแผลเป็นไม่ได้ตกใจมากเกินไปเขากลืนน้ำลายและเรียบเรียงความคิด หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้น
“นายชนะ!นายมีความสามารถด้านความเร็วอย่างนั้นหรอ นายไม่ได้แจ้งเรื่องความสามารถของนายตรงด่านกักกันอย่างนั้นหรอไม่อย่างนั้นนายคงเข้าไปอยู่ยังอาคาร 3 แล้ว คงไม่ต้องมาเล่นบทหมูกินเสือแบบนี้?”
เมื่อได้ยินคำยกย่องของชายที่มีแผลเป็นและพยายามตบไหล่ของ หลินเฉิง หลินเฉิง ทำได้เพียงพูดเสียงต่ำว่า
“ผมชื่อ หลินเฉิง นี่ไม่ใช่พลังของผม เพียงแต่ผมมีทักษะด้านความเร็ว นอกจากนี้แล้วตามข้อตกลงตอนนี้ผมได้กลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของทีมแล้ว และตอนนี้ผมอยากจะรู้วิธีปฏิบัติต่อสมาชิกในทีมอย่างเป็นทางการ!”
“ยินดีต้อนรับสู่ทีม!”
ชายผู้มีแผลเป็นรู้สึกประหลาดใจและยังคงกล่าวว่า
“หากไม่ใช่ความสามารถแล้วสามารถหลบกระสุนได้ยังไง?มันน่าแปลกมาก! เอาล่ะหลังจากนี้พวกเราค่อยมาพูดคุยกันเกี่ยวกับทักษะของนายตอนนี้ฉันจะบอกเกี่ยวกับสิทธิ์ของสมาชิกในทีมอย่างเป็นทางการ!”
เมื่อกล่าวจบชายผู้มีแผลเป็นยื่นมือออกมาจับมือกับ หลินเฉิง แล้วพูดว่า
“ก่อนอื่นเลยฉันขอแนะนำตัว ชื่อของฉันคือหลินเฟิง เป็นผู้นำของหน่วย ที่ 2 ของทีมสังหาร ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทีมสังหารของพวกเรา! มีสมาชิก 50 คนในทีมสังหาร แน่นอนว่าเมื่อรวมนายแล้วตอนนี้เพิ่มเป็น 51 ของสวัสดิการแล้วแต่ละคนสามารถเบิกข้าวได้อย่างน้อย 10 กิโลกรัมและบะหมี่อีก 10 กิโลกรัมต่อเดือนส่วนพวกซอสอื่นๆเช่นน้ำมัน,เกลือ,น้ำส้มสายชู ทุกอย่างที่เป็นเครื่องปรุงเจ้าสามารถไปที่คลังสินค้าและเบิกออกมาได้ตามใจ!
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินเฉิง ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง ชายที่มีแผลเป็นพูดต่อ
“ตามปกติแล้วทุกคนจะได้รับภารกิจในการสะสมเสบียงในแต่ละเดือน แน่นอนว่าการปฏิบัติภารกิจนั้นย่อมมีอันตราย ดีจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนไม่มาสมัครเข้าทีมสังหาร มีสมาชิกเป็นผู้มีพลัง 3 คนในทีมของเรา”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูดเกี่ยวกับผลประโยชน์ หลินเฉิง พยักหน้า ความจริงแล้วมันไม่ได้สำคัญสำหรับเขา เขาแค่อยากเข้าไปด้านในตาข่ายเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า
“เราจะอยู่ที่ไหน และผมสามารถพาญาติเข้าไปได้กี่คน?”
ชายผู้มีแผลเป็นชี้ไปด้านหลังตาข่ายแล้วพูดว่า
“แน่นอนว่าย่อมเป็นที่นั่น!ส่วนสมาชิกในครอบครัวของคุณตราบใดที่คุณสามารถดูแลพวกเขาได้ไม่ว่าจะเข้าไปกี่คนก็ไม่มีใครใส่ใจ!”
หลินเฉิง พยักหน้าอย่างโล่งอก
“ตอนนี้ผมรับสมัครคนต่อไปก่อนผมจะกลับไปพาครอบครัวของผมมา เราค่อยเจอกันครั้ง!”
หลินเฟิงกระตือรือร้นที่จะให้ หลินเฉิง เตรียมตัวอย่างรวดเร็ว เขามาสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตในเขตผู้ลี้ภัยหลายครั้งแต่เขาไม่คาดคิดว่าในครั้งนี้เขาจะได้คนที่มีทักษะยอดเยี่ยมกลับไป เขากำลังคิดว่าหัวหน้าของเขาจะให้รางวัลอะไรแก่เขา แต่เขาทำได้เพียงรออยู่ที่นี่และรอให้ หลินเฉิง มาพบกับเขาเท่านั้น
หลังจากนั้น หลินเฉิง เดินอ้อมไปมาเป็นเวลานานก่อนที่จะกลับไปยังเต็นท์ที่ มู่หยิงเสวี่ย และ หลิวยูฉิน อยู่ เมื่อเปิดเต็นท์เข้าไป หลิวยูฉิน กำลังเล่นอยู่กับโคล่า ในขณะที่ มู่หยิงเสวี่ย คอยเฝ้ามอง ดังนั้นเมื่อ หลินเฉิง เข้าไปเขาไอ 2 ครั้งเพื่อส่งสัญญาณให้ 2 คนรู้ตัวว่าเขากลับมาแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงไอของ หลินเฉิง มู่หยิงเสวี่ย ที่ไม่ได้ทำอะไรหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจเธอพบว่าสีหน้าของ หลินเฉิง ค่อนข้างผ่อนคลาย เธอจะพูดว่า
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตัวเล็กๆคนนี้ยังมีความฉลาดอยู่บ้าง หลินเฉิง ยิ้ม และคว้า หลิวยูฉิน ที่กำลังอุ้มโคล่าไว้บนตักลุกขึ้น จากนั้นเขาไล่ หลิวยูฉิน และโคล่าออกไปและพูดกับ มู่หยิงเสวี่ย ว่า
“ลุกขึ้น เก็บของ พวกเราจะไปจากที่นี่แล้ว!”
มู่หยิงเสวี่ย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงงแต่เธอทำได้เพียงรอคำอธิบายจาก หลินเฉิง เท่านั้นดังนั้นเธอจึงเก็บความประหลาดใจของเธอและเดินออกไปด้านนอกเพื่อช่วยกันเก็บเต็นท์
…..
เมื่อมองเห็น หลินเฉิง พร้อมกับสุนัขของเขา หลินเฟิง ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากและพูดอะไรไม่ออก
“น้องชายนายกำลังเอาชีวิตรอดหรือกำลังออกเดินเล่นกับสาวสวย มีแม้กระทั่งโลลิและสุนัขขี้เรื้อน!”
เมื่อโคล่าได้ยินดังนั้นมันกระโดดเข้าไปกัดขาของ หลินเฟิง อย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! สุนัขนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี!”
“มันชื่อว่าโคล่า เป็นพันธุ์แท้จากเยอรมันเชพเพิร์ด เอาล่ะพวกเราจะไปที่ไหน!”
หลินเฉิง ผิวปากเพื่อห้าม โคล่า และถามขึ้นอย่างตั้งใจ
หลินเฟิง มองดูโคล่าที่ดุร้ายอีกครั้งหัวเราะและพูดว่า
“ตามฉันมา!”
หลินเฟิง นำหน้า หลินเฉิง ไปยังตาข่ายและนำการ์ดออกมาจากกระเป๋าจากนั้นแตะลงบนเซ็นเซอร์ที่ประตู จึงทำให้ประตูเปิดออกพวกเขาจึงสามารถเดินเข้าไปด้านใน หลังจากที่ หลินเฉิง เดินเข้าไปด้านใน หลินเฟิง ก็ปิดประตูอีกครั้ง สถานที่แห่งนี้ไม่แออัดและดูแตกต่างจากสนามด้านนอกอย่างชัดเจน
เนื่องจากเป็นฤดูหนาวสองข้างถนนยังคงโล่ง สนามหญ้าแห้งและกลายเป็นสีเหลือง ผู้คนที่อยู่ด้านในน้อยยิ่งกว่าผู้ที่อยู่ด้านนอก ราวกับว่าทั้งสองด้านเป็นโลกที่แตกต่างกัน มีทหารลาดตระเวนพร้อมอาวุธเดินไปมาบนถนนเป็นครั้งคราวซึ่งพวกเขาคอยตรวจตาไม่ให้มีผู้สร้างปัญหา
ในขณะที่เดินตามถนน หลินเฟิง ชี้ไปยังอาคารที่อยู่โดยรอบและแนะนำกับ หลินเฉิง
“ ส่วนที่เราเพิ่งผ่านไปนี้คืออาคาร 3 ซึ่งรวมผู้มีความสามารถเอาไว้ สถานที่แห่งนี้เป็นห้องเดี่ยวและมีอาหาร 3 มื้อเป็นเนื้อสัตว์ หากนายปลุกความสามารถด้านความเร็วขึ้นมาได้ฉันแนะนำให้นายลงทะเบียน สุดท้ายแล้วสวัสดิการของคนเหล่านี้ค่อนข้างแตกต่างจากคนทั่วไป!”
หลินเฉิง ส่ายหัวอย่างไม่สนใจไม่ต้องพูดถึงห้องเดี่ยว แม้จะให้พระราชวังแก่เขามันก็ไร้ความหมาย จุดหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
เมื่อเห็น หลินเฉิง ส่ายหัว หลินเฟิง ได้แต่ถอนหายใจ
“ดูเหมือนว่านายจะไม่มีความสามารถจริงๆ ช่างน่าเสียดาย!และเนื่องจากนายไม่ใช่ผู้มีความสามารถคงต้องทนทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตแบบคนธรรมดาแม้ว่าน่าจะมีทักษะด้านความเร็วก็ตาม!”
หลินเฟิง ยังคงพูดไปหัวเราะไปบางครั้งเขาหันกลับมามองด้านหลังเพื่อมอง มู่หยิงเสวี่ย และถามแบบอยากรู้อยากเห็นว่า
“นี่คือแฟนหรือว่าเมียของนาย?แล้วเด็กคนนั้นเป็นลูกสาวของนายอย่างนั้นหรอ..แต่ดูจากอายุแล้ว….ไม่น่าจะใช่?”
เมื่อมองไปที่ หลินเฟิง ที่กำลังสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขา หลินเฉิง แทบจะพูดไม่ออก
“ไม่ใช่!เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม หลิวหยูเหมิงและน้องสาวของเธอ หลิวยูฉิน พวกเราเพิ่งพบกันระหว่างทาง”
หลินเฟิง พยักหน้าและเงยหน้าขึ้นมองอาคารด้านหน้าและเริ่มแนะนำ หลินเฉิง อีกครั้ง
————————————–