ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 1 ข้าจะออกจากสำนัก!
ตอนที่ 1 ข้าจะออกจากสำนัก!
“ข้าจะออกจากสำนัก!”
นครหลวงตะวันออก เมืองเปี้ยนเหลียง ในเขตลานของสำนักมือปราบเทพ เสียงคำรามที่แฝงไปด้วยความจนใจ เศร้ารันทด คับแค้น และอ้างว้างดังพุ่งขึ้นฟ้า
นี่ก็คือผู้เล่นคนหนึ่งที่ทำภารกิจลับระดับความยากสูงสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขากำลังร้องโวยวายจนน้ำตาเป็นสายเลือด ฟ้องร้องสำนักมือปราบเทพ สำนักลับจอมหลอกลวง!
แต่ฟ้องร้องแล้วมีประโยชน์อะไร
อย่าลืมนะว่าอีกฝ่ายมีหน้าที่อะไร!
สำหรับการยื่นขอลาออกของเยี่ยเว่ยหมิง คำตอบของจ่านเจากลับเป็น “จะลาออกย่อมไม่มีปัญหา แต่ในเมื่อเข้ามาอยู่ในสำนักมือปราบเทพแล้ว ในสายตาคนในยุทธภพ เจ้าก็คือคนที่ถูกตีตราว่าเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก ในยุทธภพนี้แทบจะไม่มีสำนักไหนเต็มใจรับเจ้าแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิง “…”
“ต่อให้โชคดีถูกรับไว้ ก็อาจจะถูกระแวงจาก NPC ทั้งหมด ค่าความรู้สึกดีเริ่มต้นของทุกคนก็จะกลายเป็นแย่ลง ต่อไปนี้ไม่ว่าจะทำภารกิจอะไร ความเร็วในการเพิ่มค่าความรู้สึกดีของ NPC ก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง”
เยี่ยเว่ยหมิง “…”
“แน่นอน สิ่งนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้ารับภารกิจจากพวกเขาได้ ในขณะที่ค่าความรู้สึกดีกำลังย่ำแย่”
เยี่ยเว่ยหมิง “…”
จ่านเจากะพริบตาปริบๆ ยิ้มเหมือนแมวนำโชคกวักมือขวาเรียกลูกค้า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะออกจากสำนักมือปราบเทพ”
“…แน่ใจ” เยี่ยเว่ยหมิงตอบ
เวรกรรมแท้ๆ!
ถ้านี่คือเกมอื่น ต่อให้เป็นเกมที่ดีเลิศอย่างไร แต่ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์นิดๆ ของเยี่ยเว่ยหมิง เขาจะต้องลบไอดีและเลิกเล่นไปแล้วแน่นอน ถึงจะเล่นไม่ไหว แต่จะฉันจะลบไม่ไหวเชียวเหรอ
แต่เกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ นี้ค่อนข้างพิเศษ
ถ้าจะถามว่าพิเศษตรงไหนน่ะหรือ
เป็นเพราะในโลกความเป็นจริง สังคมมนุษย์เข้าสู่ช่วงต้นของยุคแห่งจักรวาล ชนชาติหัวซย่า[1]เริ่มนำคนหนุ่มสาวอายุสิบแปดถึงยี่สิบห้าปีที่สมัครใจลงทะเบียนอพยพไปต่างโลก ไปเข้าร่วมในโครงการพัฒนายุคแห่งจักรวาล ตอนที่ยานอวกาศบรรทุกคนสิบลำบินขึ้น ผู้อพยพชุดแรกมีจำนวนประมาณหนึ่งล้านคน!
เพื่อลดการสิ้นเปลืองแหล่งพลังงานที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในอวกาศอันยาวนานหลายปี ขณะที่ลดการระบายของเสีย ผู้อพยพทุกคนจะต้องเข้าแคปซูลถนอมร่างกายเพื่ออยู่ในสภาวะกึ่งนอนพักการเจริญเติบโต และเข้าไปใช้เวลาอยู่ในเกมอันยาวนาน
ส่วนสาเหตุว่าทำไมจะต้องเล่นเกมนี้น่ะหรือ
ก็เพื่อรับประกันการทำงานของสมองผู้โดยสารอย่างไรล่ะ จะได้ไม่สมองตายหรือกลายเป็นมนุษย์ผักขึ้นมาจริงๆ หลังจากนอนจำศีลไปหลายปี แบบนั้นก็จะไม่มีความหมายสำหรับผู้อพยพระหว่างดวงดาวแล้ว
ดังนั้น เกมนี้ออฟไลน์ไม่ได้ ลบไอดีไม่ได้เช่นกัน!
คุณก่อเรื่องในเกมนี้ไม่ไหวหรอก หลบไม่พ้นด้วย
ก่อนที่จะขึ้นยานอวกาศ ทางการปิดบังข้อมูลทั้งหมดของเกมไว้อย่างมิดชิด จนกระทั่งก่อนล็อกอินเข้าเกม ถึงได้แนะนำฉากหลังเกมอย่างคร่าวๆ เยี่ยเว่ยหมิงเองก็เพิ่งรู้ตอนนี้ว่านี่คือเกมออนไลน์ที่มีฉากหลังเป็นยุทธภพ และวัฒนธรรมจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรมก็เคยเป็นระบบวัฒนธรรมเอกลักษณ์ที่เคยนิยมกันในอดีต เยี่ยเว่ยหมิงยังเคยได้ยินมาบ้าง
แต่ก็แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น
ตอนที่อยู่หมู่บ้านมือใหม่ เยี่ยเว่ยหมิงรับภารกิจระดับความยากสูงจาก NPC ที่ชื่อว่า ‘เสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้’ อย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวก็หาเบาะแส เดี๋ยวก็เดาตัวคนร้าย เดี๋ยวก็ไขปริศนา เดิมทีนึกว่าจะมีรางวัลกองใหญ่ แต่ใครจะคิดว่านอกจากค่าประสบการณ์ ค่าตบะ และเงินที่ต้องได้แน่นอนอยู่แล้ว เขาก็ได้แค่ป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นเดียวสำหรับเข้าสำนักลับ
เนื่องจากเข้าใจวัฒนธรรมจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรมไม่มากพอ เช่นนั้นก็ทำได้แค่ตัดสินดีชั่วตามประสบการณ์ที่เคยเล่นเกมก็แล้วกัน
ถ้าตัดสินตามประสบการณ์การเล่นเกม อาชีพลับจะต้องดีกว่าอาชีพทั่วไปแน่นอน!
เขาจะไปคิดทันได้อย่างไร…
ไอ้สำนักลับขยะนี่ ไม่เชื่อว่าแม่งจะไม่มีวิทยายุทธ์ของสำนัก!
ไม่มีสักวิชาเลย!
ต้องทราบว่าพวกสำนักใหญ่สายธรรมะที่ไม่ใช่สำนักลับ ล้วนเริ่มต้นจากวิทยายุทธ์พื้นฐานทั้งนั้น ตลอดจนวิทยายุทธ์ขั้นสูงที่ควรจะมีก็มีครบหมด ขอแค่จ่ายเงินและบริจาคให้สำนักก็เรียนรู้ได้แล้ว
ตอนเยี่ยเว่ยหมิงอยู่ในหมู่บ้านมือใหม่ ได้รู้จักกับพี่ชายคนหนึ่งที่ตอนหลังเข้าสำนักเส้าหลิน อีกฝ่ายเผยข้อมูลที่เป็นที่ฮือฮาว่า สำนักเส้าหลินมีตั้งเจ็ดสิบสองสุดยอดทักษะ!
สำหรับคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง NPC จ่านเจาที่รับหน้าที่ดูแลผู้เล่นใหม่เพียงถามกลับปนเสียงหัวเราะว่า “สำนักในยุทธภพคือโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ จะเรียนทักษะยุทธ์ก็ต้องจ่ายเงิน แต่สำนักมือปราบเทพของพวกเราคือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของราชสำนัก รับค่าจ้างรายเดือน เจ้าเคยเห็นหน่วยงานไหนให้การศึกษากับพนักงานโดยไม่คิดเงินบ้างล่ะ”
เมื่อไม่มีการเปรียบเทียบ ก็ไม่มีการบาดเจ็บ…
ในตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกแค่ว่า ชีวิตคนช่างมืดมน มองไม่เห็นแสงสว่างของอนาคตแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงยอมรับชะตากรรม ทำท่าเหมือนชีวิตไร้ความอาลัยอาวรณ์ จ่านเจาก็เริ่มโน้มน้าวอย่างจริงใจ “เจ้าเองก็อย่าเศร้าซึมนักเลย ที่จริงวิธีการได้รับทักษะยุทธ์มีเยอะมาก วิทยายุทธ์ของสำนักก็เป็นเพียงหนึ่งในช่องทางที่สะดวกที่สุด อีกทั้งช่องทางนี้ก็ไม่ทำให้คนเดินสู่จุดสูงสุดโดยตรง ยกตัวอย่างวัดเส้าหลินที่เจ้าเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ก็แล้วกัน ในเจ็ดสิบสองสุดยอดทักษะของพวกเขายังมีสุดยอดวิชาเทพอย่าง ‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น’ ด้วย แต่ก็ไม่ได้ใส่ไว้ในรายวิทยายุทธ์ของสำนักไม่ใช่หรือ…
…และการอยู่ในสำนักมือปราบเทพของข้า แม้จะไม่ได้เรียนรู้วิทยายุทธ์ของสำนัก แต่กลับสามารถเรียนรู้บางสิ่งที่ศิษย์สำนักอื่นเรียนรู้ไม่ได้” จ่านเจาพูดประเด็นนี้ต่อ
เยี่ยเว่ยหมิงหนังตาตก ถามส่งเดชโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ยกตัวอย่างเช่น?”
แต่กลับเห็นจ่านเจาควักป้ายอาญาสิทธิ์สีดำสี่แผ่นมาจากไหนก็ไม่รู้ บนนั้นเขียนอักษรสีทองตัวใหญ่สี่ตัว ‘ฟ้า’ ‘ดิน’ ‘คน’ ‘ผี’
“แม้หน่วยงานที่ใช้คนจะไม่รับผิดชอบเรื่องการศึกษาของพนักงาน แต่การฝึกอบรมก่อนเข้ารับตำแหน่งที่จำเป็นก็ยังต้องมี” จ่านเจากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “ป้ายอาญาสิทธิ์สี่แผ่นนี้เป็นตัวแทนสุดยอดทักษะที่มีแค่ในสำนักมือปราบเทพเท่านั้น ที่ต้องยินดีกับเจ้าก็คือ ในฐานะที่เป็นผู้เล่นอาชีพมือปราบคนแรก เจ้าได้รับสิทธิ์ให้เลือกก่อน”
ยังมีสุดยอดทักษะเฉพาะด้วย?
เยี่ยเว่ยหมิงแข็งใจปลุกความฮึกเหิมในตัวเอง แล้วรีบถามว่า “บอกข้าสักหน่อยได้หรือเปล่า ว่าในป้ายอาญาสิทธิ์สี่แผ่นนี้เป็นตัวแทนของสุดยอดทักษะอะไรบ้าง”
“ไม่ได้” จ่านเจาปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“เชอะ!” เขาถลึงตาเหยียดหยามใส่เจ้าหนุ่มที่เหมือนจะซื่อตรงเปิดเผยทีหนึ่ง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็หยิบป้ายอักษร ‘ฟ้า’ ขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
ส่วนสาเหตุว่าทำไมต้องเลือกแผ่นนี้น่ะหรือ
เพราะคำว่า ‘ฟ้า’ มันดูเจ๋งมากยังไงล่ะ!
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับโอกาสเรียนรู้สุดยอดทักษะเฉพาะของสำนักมือปราบเทพ เชิญไปที่ห้องชันสูตรเพื่อเรียนรู้ทักษะกับใต้เท้าซ่ง]
ห้องชันสูตร?
นั่นมันสถานที่สำหรับคุยกับศพไม่ใช่เหรอ
ตามหลักแล้ว ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แบบนี้ ควรจะอยู่ในขอบเขตของป้ายที่เขียนตัวอักษร ‘ผี’ ไม่ใช่เหรอ
ขณะที่เห็นจ่านเจาเก็บป้ายอาญาสิทธิ์อีกสามแผ่นไปแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะให้โอกาสเขาเลือกใหม่อีก และไม่มีท่าทีว่าจะอธิบายอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ด้วย เยี่ยเว่ยหมิงจึงขี้คร้านจะเปลืองน้ำลาย หยิบป้ายอาญาสิทธิ์เดินตรงไปที่ห้องชันสูตรเสียเลย
……
ห้องชันสูตรตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของสำนักมือปราบเทพ ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้กลิ่นศพเหม็นตุๆ ที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายจมูกโชยมาแล้ว แต่เพื่อเรียนรู้ทักษะ เขายังอดทนความอึดอัดนี้และก้าวเข้าไป
ผลปรากฏว่าพอเข้ามาในประตูใหญ่ของห้องชันสูตร ก็ได้ยินเสียงที่เย็นเยียบวังเวงกำลังฮัมเพลงเบาๆ “แมลงวันดูดเลือดหัวร่อเย้ยฟ้า เรือโดดเดี่ยวถูกโซ่ขาวล่ามไว้ริมฝั่ง”
เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองตามเสียง กลับเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง ผิวกายขาวซีด ให้ความรู้สึกว่าสุขภาพแย่มาก
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียด ชายวัยกลางคนก็สังเกตเห็นแล้วว่าเขาเดินเข้ามา ชายผู้นั้นนั้นวางตำราในมือลงแล้วถามว่า “เจ้าก็คือผู้เล่นอาชีพมือปราบที่มาใหม่ของสำนักมือปราบเทพ?”
“ใช่แล้ว!” เยี่ยเว่ยหมิงปลุกความฮึกเหิมให้ตัวเอง “ท่านก็คือใต้เท้าซ่ง?”
“ข้าคือซ่งฉือ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ
ซ่งฉือ!
แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะไม่รู้จักจ่านเจา แต่กลับรู้จักซ่งฉือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าซ่งฉือคนที่อยู่ตรงหน้า ใช่ปฐมาจารย์แห่งการแพทย์ในประวัติศาสตร์ท่านนั้นหรือเปล่า
“เยี่ยเว่ยหมิงคำนับใต้เท้าซ่ง” แม้จะอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดถึงขีดสุด แต่อีกฝ่ายคือความภาคภูมิใจของชนชาติในประวัติศาสตร์ เยี่ยเว่ยหมิงยังคงความเคารพไว้ในระดับหนึ่ง “ข้ามาเรียนรู้ทักษะของสำนัก” ขณะที่พูดก็นำป้ายอาญาสิทธิ์ตัวอักษร ‘ฟ้า’ มายื่นให้อีกฝ่าย
เมื่อซ่งฉือเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ สายตาก็มองประเมินบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงศีรษะจดเท้าครู่เดียว ก่อนจะบอกว่า “หากต้องการเรียนรู้ความสามารถของข้า ก็ต้องผ่านการทดสอบของข้าก่อน”
มันก็คือการทำภารกิจนั่นแหละ
สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเตรียมใจมาตั้งแต่แรกแล้ว จึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ท่านว่ามาเลย”
เสียงของเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งเงียบลง ก็เห็นซ่งฉือนำม้วนกระดาษที่เต็มไปด้วยข้อสอบออกมา แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ที่ข้ามีคำถามสิบข้อ ขอเพียงเจ้าตอบถูกหกข้อขึ้นไป ก็นับว่าเจ้าผ่านด่านแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิง “???”
นึกไม่ถึงว่าแค่เรียนรู้ทักษะเดียว ยังจะต้องทำแบบทดสอบอีก!
[1] ชนชาติหัวซย่า 华夏 ชนเผ่าที่เป็นบรรพบุรุษของชาวจีน