ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 107 ตัดสินชี้ขาด
ตอนที่ 107 ตัดสินชี้ขาด
เยี่ยเว่ยหมิงแทบจะเก็บป้ายอาญาสิทธิ์หนึ่งแผ่นตรงปากทางลับได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไร ตอนนี้การต่อสู้ข้างล่างใกล้จะจบลงแล้ว
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ไม่ได้จงใจซ่อนตัวอีกต่อไป จากตอนแรกที่แอบปูเสื่อรอเผือก ตอนนี้กลายเป็นปูเสื่อรอเผือกอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว
อย่างไรเสียตอนนี้มนุษย์กลทองแดงก็ตายแล้ว ป้ายอาญาสิทธิ์ก็อยู่ตรงหน้า ต่อให้เจ้าคนพวกนี้รู้อยู่แจ่มแจ้งว่ามีนกขมิ้น[1]อยู่ข้างหลัง แต่ก็ต้องชิงของสิ่งนี้มาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน
และสำหรับเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ การปูเสื่อรอเผือกครั้งนี้ก็สนุกมากจริงๆ
ลำพังแค่พฤติกรรมก่อกวนของคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างหนิวจื้อชุนอย่างเดียว ก็ยกระดับการรับชมของศึกตะลุมบอนครั้งนี้ให้สูงขึ้นหลายระดับแล้ว
ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่อยากจะอวดวิชาตัวเบาต่อหน้าเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์หลายต่อหลายครั้ง แต่วิชาตัวเบาของเขาก็ยอดเยี่ยมจริงๆ ทั้งยังเหนือกว่าวิชาตัวเบาของเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ด้วย
สาเหตุที่ทั้งสองเมินเขาทุกครั้งที่ถามคำถามนี้ ก็เพราะไม่อยากให้โอกาสเขาลำพองใจจนลืมตัวก็เท่านั้นเอง
ทว่าคนที่มีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดาอย่างเขา ตอนนี้กลับแสดงออกอย่างงุ่มง่ามไร้ที่เปรียบ ทุกครั้งเวลาที่คนชิงได้ป้ายอาญาสิทธิ์ถูกล้อมโจมตี การตอบสนองของเขาก็จะช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย ทุกครั้งจะรอให้คนอื่นชิงป้ายอาญาสิทธิ์ไปก่อน จากนั้นถึงค่อยร่วมมือกับคนอื่นโจมตีสังหารคนนั้น
จากนั้นก็มีชิงป้ายอาญาสิทธิ์อีกครั้ง แล้วก็ตอบสนองช้าอีก…
แผนการของเขาโจ่งแจ้งมาก แม้แต่คนไร้เดียงสาอย่างซานเย่ว์ก็ยังทนมองต่อไปไม่ไหว “เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ไม่อยากกลายเป็นเป้าโจมตี ก็เลยจงใจไม่ชิงป้ายอาญาสิทธิ์ แล้วก็ใช้วิธีการนี้อีกเรื่อยๆ รุกกัดกินคู่ต่อสู้ทีละคน”
“จะว่าไปแล้วการกระทำของเขาก็ชัดเจนมาก คนกลุ่มนั้นมองไม่ออกจริงหรือ”
“บางทีอาจจะมองไม่ออกจริงๆ” เยี่ยเว่ยหมิงอธิบายอย่างใจเย็น “ตราบใดที่มีป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตู ก็จะกราบอาจารย์เข้าสำนักลับของตระกูลมู่หรงได้ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พลังทำลายล้างที่แท้จริงคืออะไรรู้ไหม ตระกูลมู่หรงไม่ได้เรียกร้องให้ผู้เล่นทรยศออกจากสำนักเสมอไป แต่ใช้ฐานะของศิษย์สำนักอื่นมาเป็นแขกขุนนางของตระกูลมู่หรงได้…
…แขกขุนนางแม้จะไม่ได้รับสวัสดิการเหมือนศิษย์ในสำนัก แต่กลับมีโอกาสรับภารกิจสำนัก เรียนวิทยายุทธ์ประจำสำนักของตระกูลมู่หรง สำหรับพวกผู้เล่นแล้ว สิ่งนี้มีแรงดึงดูดมากที่สุด!…
…ถึงขั้นว่าถ้าทิ้งฐานะแขกขุนนาง ก็จะได้รับรางวัลภารกิจที่ใช้งานได้ครั้งเดียวเช่นกัน แม้มองเผินๆ เหมือนผลประโยชน์ไม่เยอะเท่าฐานะแขกขุนนาง แต่ก็ทำให้ยกระดับความสามารถของตัวเองได้เร็วขึ้น สิ่งนี้ก็มีแรงดึงดูดไม่น้อยเหมือนกัน…
…มีผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้า จะมีสักกี่คนที่ยังเอาสายตาไปมองอย่างอื่นอีก”
ซานเย่ว์ได้ฟังแล้วพยักหน้าอย่างจนปัญญา แต่ในใจกลับแอบคิดว่า หากไม่ใช่เพราะกำลังปฏิบัติภารกิจกับอาหมิง ตัวเองจะเหมือนคนปัญญาอ่อนพวกนั้นที่ตัวเองกำลังดูถูกอยู่หรือเปล่า จะไปแย่งชิงป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูโดยไม่สนใจอะไรอย่างนั้นหรือเปล่า
ตอนนี้กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดต่อว่า “พูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้มีคนมองแผนการของเขาออกแล้วอย่างไรล่ะ…
…ป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูตกอยู่ข้างเท้า จะเก็บหรือไม่เก็บ?…
…อย่าลืมนะว่านี่เป็นเพียงดันเจี้ยนภารกิจหนึ่งเท่านั้น บทลงโทษของการตายก็แค่เสียป้ายอาญาสิทธิ์กับเสียคะแนนสะสมของตัวเอง ชนะแล้วได้รับผลประโยชน์มหาศาลมาก แพ้แล้วไม่ได้เสียหายอะไรเท่าไร เมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ ใครจะทิ้งโอกาสรวยที่มาอยู่ตรงหน้าล่ะ…
…ตอนนี้การต่อสู้ดำเนินไปนานพอสมควร พวกเราก็ควรลงมือแล้วเช่นกัน” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็กระโดดลงมาจากทางลับตรงช่องลมแล้ว เขาเดินเข้าไปใกล้สนามรบอย่างเงียบเชียบ
บนสนามรบ หนิวจื้อชุนยังคงแสดงละครของพวกเขาต่อไป
“ป้ายอาญาสิทธิ์อยู่บนตัวเขา ฆ่าเขาซะ!”
“บัดซบ! เจ้าปัญญาอ่อนนี่บังอาจมาแย่งป้ายอาญาสิทธิ์ของข้า คอยดูเถอะว่าข้าจะสังหารเจ้าอย่างไร!”
“เจ้าชั้นต่ำ บังอาจมาแย่งของของข้า ดูกระบี่ให้ดีนะ!”
แกร๊ง!
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า คนยังมีพลั้งมือ ม้ายังมีพลั้งเท้า
เมื่อเห็นว่าในสนามต่อสู้อันวุ่นวายสู้กันจนจากสิบกว่าคนเหลือห้าคน หนิวจื้อชุนวางแผนว่าถ้าฆ่าตายอีกสองคน เขาก็จะลงมือชิงป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนั้นมาไว้ในมือเสียเลย เพราะถึงแม้อีกสามคนที่เหลือจะร่วมมือกัน เขาก็รับมือได้สบายๆ อยู่ดี
ทว่ากลับคาดคิดไม่ถึงว่ากระบี่ที่โจมตีออกไปอย่างแน่วแน่ของเขา จะถูกเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าใช้ดาบสกัดไว้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ!
เป็นอย่างที่คิด ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นคนไหน ก็ล้วนมีทางหนีทีไล่ของตัวเอง
ตอนนี้เหตุการณ์อยู่เหนือความคาดหมายของหนิวจื้อชุนโดยสิ้นเชิง กระทั่งตอนที่เขานึกได้ว่าต้องไปโจมตีแย่งชิงต่อ กลับได้ยินเสียง ฉึก! แล้วก็เห็นปลายกระบี่สีเขียวครึ่งหนึ่งโผล่ออกจากหัวใจของผู้เล่นคนนี้
-2232!
ตัวเลขโจมตีคริติคอลแวบขึ้นมา ผู้เล่นที่มีแผนสำรองคนนี้ถูกโจมตีกลายเป็นแสงขาวทันที หลังจากทิ้งป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ ก็ไปรายงานตัวที่จุดฟื้นชีพนอกดันเจี้ยนแล้ว
หลังจากใช้กระบี่แทงผู้เล่นที่นึกว่าตัวเองเป็นข้อยกเว้นตายไป เยี่ยเว่ยหมิงก็สะบัดกระบี่ชิงจู๋ในมือ เหมือนสะบัดเลือดสดที่ไม่มีอยู่จริงบนคมกระบี่ออก ท่วงท่าสง่างามที่สุด พร้อมกล่าวอย่างเท่ๆ ว่า “บังอาจมาโจมตีสหายร่วมทีมของข้า รนหาที่ตายจริงๆ!”
“พวกเขาเป็นพวกเดี๋ยวกัน ฆ่าพวกเขาก่อนแล้วค่อยชิงป้ายอาญาสิทธิ์ก็ยังไม่สาย!”
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ลงสนาม ในที่สุดผู้เล่นสี่คนที่ถูกหนิวจื้อชุนปั่นจนหัวหมุนก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองถูกนักพรตเต๋าคนนี้หลอกใช้เป็นเครื่องมือ พวกเขาหันตัวไปโจมตีพวกเยี่ยเว่ยหมิงอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในเมื่อเยี่ยเว่ยหมิงเลือกลงสนามในเวลานี้ ก็แสดงว่าผู้เล่นจนตรอกพวกนี้สร้างภัยคุกคามใดๆ ต่อเขาไม่ได้
ผ่านไปเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น ทั้งถ้ำก็เหลือเพียงสามคนที่เป็นทีมของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
หลังจากเข่นฆ่ากันมาหนึ่งยก ทำให้ทั้งสามได้คะแนนสะสมไปคนละห้าพันแต้มแล้ว
จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกผู้เล่นเข่นฆ่ากันเองจนคะแนนสะสมไปกองรวมกันเหมือนก้อนหิมะ เมื่ออยู่ภายใต้โหมดที่เหมือนเลี้ยงแมลงพิษนี้ สุดท้ายจำนวนทั้งหมดก็เข้ากระเป๋าพวกเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
ติ๊ง! เมื่อกำจัดผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ดีดกระบี่ชิงจู๋บนตัวอวดความเท่ ก่อนจะถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “คนที่โจมตีสหายร่วมทีมของข้าจะต้องตาย หลักการก็ง่ายๆ อย่างนี้แหละ ทำไมถึงบอกว่าไม่เข้าใจล่ะ”
“หัวหน้าทีม!” เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงแสร้งทำท่าเหมือนเป็นยอดฝีมือที่โดดเดี่ยวเหน็บหนาวราวกับหิมะ หนิวจื้อชุนก็รีบเข้ามาใกล้ ขณะที่เปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าทีมให้เยี่ยเว่ยหมิง ก็หัวเราะคิกคักพร้อมถามว่า “แล้วป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้ พวกเราจะแบ่งกันอย่างไรดี”
ตอนนี้ไม่รู้ว่าคนคนนี้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ยืนอยู่ตรงสามทิศทางรอบป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูพอดี แต่ละคนอยู่ห่างจากป้ายอาญาสิทธิ์ประมาณหนึ่งเมตร กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
เยี่ยเว่ยหมิงมองป้ายอาญาสิทธิ์บนพื้นปราดหนึ่ง แล้วก็มองหนิวจื้อชุนที่กำลังทำหน้ายิ้มไร้เดียงสา ก่อนจะถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่จริงจะแบ่งอย่างไรก็ได้ ประมูล เดิมพัน หรือจะประลองยุทธ์ก็ได้หมด เจ้ากำหนดกติกามาเลยดีไหม”
เมื่อถูกเยี่ยเว่ยหมิงเตะลูกบอลกลับมา หนิวจื้อชุนก็กลับเริ่มลำบากใจทันที
ต้องทำอย่างไรกันแน่ ตัวเองถึงจะได้ผลประโยชน์มากกว่า
ประลองยุทธ์?
หากเป็นตอนก่อนเข้ามาในนี้ หนิวจื้อชุนก็ยังมีความมั่นใจมาก แต่หลังจากได้รับรู้ถึงพลังโจมตีอันน่ากลัวและการเคลื่อนไหวอันปราดเปรียวของเยี่ยเว่ยหมิง เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสู้เจ้าโรคจิตนี่ไหว
ประมูล?
อิงตามมูลค่าของป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูนี้ อาศัยทรัพย์สินในตัวเขาอาจจะประมูลมาไว้ในมือไม่ได้ ต่อให้โชคดีประมูลสำเร็จ แต่ก็ต้องขาดทุนมากแน่นอน
หนิวจื้อชุนถามใจตัวเองแล้ว พบว่าตัดใจทิ้งไม่ลง!
หลังจากลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็บอกว่า “เป่ายิ้งฉุบ ก้อนหิน กรรไกร ผ้า เป็นอย่างไร ตัดสินแพ้ชนะในรอบเดียว!”
“ได้!” ขณะที่เอ่ยรับ เยี่ยเว่ยหมิงก็เก็บกระบี่ชิงจู๋ เอามือขวาไขว้หลังพร้อมถามหนิวจื้อชุนว่า “เจ้าเตรียมจะออกอะไร”
“ถ้าข้าบอกว่าออกก้อนหิน เจ้าจะเชื่อหรือเปล่า”
“เชื่อ!” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มอย่างสดใสกว่าเดิม “เช่นนั้นข้าจะออกผ้าเพื่อเอาชนะเจ้า”
“พูดมากอะไรขนาดนั้น รีบเริ่มกันเถอะ!”
“ดี!”
ขณะที่พูด ทั้งสามก็ต่างคนต่างเตรียมตัว
“กรรไกร ก้อนหิน ผ้า!”
เยี่ยเว่ยหมิงพูดความจริง แต่หนิวจื้อชุนกลับโกหก พวกเขาออกผ้าทั้งคู่
ส่วนซานเย่ว์กลับออกกรรไกร
เป็นอย่างที่หนิวจื้อชุนบอก รอบเดียวตัดสินแพ้ชนะ
ป้ายอาญาสิทธิ์ย่อมตกเข้าประเป๋าซานเย่ว์แล้ว
สำหรับผลลัพธ์นี้ หนิวจื้อชุนก็ทำได้เพียงทอดถอนใจที่ตัวเองดวงไม่ดี ไม่ได้แพ้ให้กับคนเจ้าเล่ห์เหมือนผีอย่างเยี่ยเว่ยหมิง แต่กลับแพ้ให้คนไร้เดียงสาอย่างซานเย่ว์
อืม…
ด้วยสติปัญญาของเขา เกรงว่าคงจะจินตนาการไม่ถึงว่าในเกมจะมีทักษะอย่าง ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ อยู่ด้วย
[1] มาจากสำนวน ‘ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ 螳螂捕蝉 黄雀在后 เปรียบเปรยถึงผู้ที่คิดจะเล่นงานผู้อื่น แต่ลืมไปว่ามีผู้อื่นจ้องจะเล่นงานตัวเองอยู่เหมือนกัน เหมือนตั๊กแตนที่มัวเล่นงานจั๊กจั่น แต่นกขมิ้นก็รอเล่นงานตั๊กแตนอยู่เหมือนกัน