ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 132 มารบูรพา!
ตอนที่ 132 มารบูรพา!
ช้าก่อน!
ไม่ได้รู้สึกหลอนไปเอง ไม่ใช่แน่นอน!
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงลองควบคุมกำลังภายในที่ปั่นป่วนแล้วไม่ได้ผล เขาก็มองไปยังทิศทางที่เสียงขลุ่ยลอยมาอย่างหวาดกลัว
แต่เขากลับเห็นเพียงชายชุดเขียวคนหนึ่งที่บนใบหน้าสวมหน้ากากผีร้ายสีแดง อีกฝ่ายยืนอยู่บนกิ่งต้นหลิวใหญ่ ในมือถือขลุ่ยหยกเลาหนึ่งจ่ออยู่ตรงริมฝีปากพร้อมเป่าบรรเลงเบาๆ
ภายใต้การรบกวนของคลื่นเสียงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกเพียงว่ากำลังภายในของตัวเองกำลังปั่นป่วนจนควบคุมไม่อยู่ ถึงขั้นเดินขากะเผลกเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้
เป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งมาก หากเทียบกับชวีหลิงเฟิงและเหมียวเหรินเฟิ่ง คนผู้นี้ก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่ามาก!
ในบรรดา NPC ที่เยี่ยเว่ยหมิงเคยเจอมา ก็คงมีเพียงราชสีห์ขนทองเซี่ยซุนที่เขามองเลเวลไม่ออก หรือไม่ก็หวงโส่วจุนที่ฝีมือสูงส่งลึกล้ำ แล้วก็พวกโหยวจิ้น มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่จะเทียบฝีมือได้
ตุ้บ!
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ล้มลง เขาเพียงโยนชวีหลิงเฟิงที่แบกไว้บนบ่าลงบนพื้น
หลังจากปลดภาระแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้วิธีการที่จางชุ่ยซานเคยสอน นั่นก็คือโคจรกำลังภายในไปที่สองตา แล้วมองไปบนตัวของคนชุดเขียว ข้อมูลที่ได้รับสั้นกระชับเหมือนที่เขาคาดไว้จริงๆ
[หวงเย่าซือ]
มารบูรพา หนึ่งในห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้า ฝีมือสูงส่งลึกล้ำ
เลเวล: ???
พลังชีวิต: ???/???
กำลังภายใน: ???/???
ทักษะยุทธ์: ???
…..
นอกจากชื่อกับฉายา ก็มองอย่างอื่นไม่ออกแล้ว
เพียงแต่ถ้าดูแค่ชื่อกับฉายานี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคือการดำรงอยู่ที่น่ากลัวอย่างไร!
เข้ามาอยู่ในเกมนานขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงพอจะเข้าใจยอดฝีมือ NPC บางส่วนในโลกนี้แล้วเช่นกัน
ส่วนห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้า แม้อาจจะไม่ได้เก่งสุดในบรรดา NPC ที่เป็นยอดฝีมือ แต่กลับมีชื่อเสียงมากที่สุดแน่นอน
ก็เหมือนกับ NPC ที่เป็นยอดฝีมือยุทธภพอย่างจางชุ่ยซาน เขาอาจไม่รู้ว่าราชสีห์ขนทองเซี่ยซุนคือใคร อาจไม่รู้ว่าหวงโส่วจุนกับโหยวจิ้นเป็นใคร แต่เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้า
และการที่พวกเขาได้รับเกียรติให้ใช้ชื่อเสียงอย่างนี้ได้ จะเห็นได้เลยว่าแม้จะไม่ได้มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เกรงว่าคงไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรนัก
ตามสูตรผู้แข็งแกร่งที่อินปู้คุยสรุปให้ฟังก่อนหน้านี้ ในผลงานนิยายยอดยุทธ์คุณธรรมบางส่วน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมักจะซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษเสมอ
ที่รองลงมาก็เป็นอย่างห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้า ชื่อเสียงสะท้านจิ่วโจว!
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงในตอนนี้ เหมือนจะนับว่าผ่านระยะมือใหม่มาแล้ว?
การให้เยี่ยเว่ยหมิงมาเผชิญหน้ากับลาสต์บอสที่ความสามารถเหนือกว่าอย่างนี้ ถือว่าโหดร้ายเกินไปกระมัง
จะว่าไปแล้ว ต้องเป็นผู้ออกแบบเกมที่โหดร้ายขนาดไหนกัน ถึงสร้างเค้าโครงภารกิจที่เป็นโศกนาฏกรรมอย่างนี้ออกมาได้
อะไรนะ
เจ้าบอกว่าหวงเย่าซืออาจจะไม่ได้มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเยี่ยเว่ยหมิงอย่างนั้นหรือ
พูดเหลวไหลอะไรกัน
เจ้าไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ชื่อกับค่าพลังชีวิตของ BOSS ก็เปิดเผยออกมาแล้ว นี่เรียกว่าเป็นจังหวะแรกของการต่อสู้ได้เลย!
เมื่อเห็นหวงเย่าซือยังคงอยู่ในท่า ‘ขลุ่ยหยกกวนกระแสทะลเคราม’ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้
ใช้พิษของสายลมโศกาไปหมดแล้ว แต่กลับให้ข้ามาเจอหวงเย่าซือเนี่ยนะ
นี่ข้าเคยไปสร้างเวรกรรมอะไรไว้?!
แล้วก็หวงเย่าซือนี่อีก เป็นตัวละครที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมาลงมือกับมือปราบเล็กๆ อย่างข้า หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!
“เฮ้อ หน้าไม่อายจริงๆ!”
ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังด่าในใจว่าหวงเย่าซือว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ตรงจุดที่ไกลกว่านั้น จู่ๆ ก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามดังขึ้น เสียงนี้เหมือนกับสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดในใจไม่มีผิด แต่กลับข่มเสียงขลุ่ยของหวงเย่าซือไปแล้ว และทำให้ความกดดันบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงเบาลงเช่นกัน
ที่คลายความกดดันบนตัวเยี่ยเว่ยหมิง ก็เป็นเพียงเรื่องที่ถือโอกาสทำไปด้วยเท่านั้น หวงเย่าซือที่เป็นหนังหน้าไฟกลับร่างสั่นสะท้านกะทันหัน เขาที่เดิมทียืนไม่สะทกสะท้านอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อถูกโจมตีด้วยเสียงนี้ก็แทบจะตกลงมา
หลังจากดันทุรังควบคุมร่างกายให้มั่นคง หวงเย่าซือก็วางขลุ่ยหยก แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เป็นผู้สูงส่งมาจากที่ไหน เหตุใดไม่ปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง”
ในตอนนี้เอง เสียงอันคุ้นเคยนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นน้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวล ทว่ากลับแสดงท่าทีของผู้เหนือกว่า ถามกลับว่า “ควรจะให้ข้าไปพบเจ้า หรือเจ้ามาพบข้าล่ะ”
เสียงนั้นลอยละล่อง ฟังดูเหมือนเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล ต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงตั้งใจจะแยกแยะ แต่ก็ไม่มีทางรู้ชัดว่าเสียงมาจากทิศทางไหนกันแน่ รู้เพียงว่าดังจากไกลมาใกล้ แต่หวงเย่าซือที่อยู่บนกิ่งไม้ได้ยินแล้วกลับตกตะลึงมาก ร่างพลันกลายเป็นเงาเลือนรางสีเขียวแฉลบไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็ว ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเยี่ยเว่ยหมิงอีก
เป็นโอกาสดี!
แม้จะรู้ว่ามีผู้สูงส่งแอบให้ความช่วยเหลือ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่มีจิตใจจะติดตามรายละเอียด
เมื่อเห็นว่าหวงเย่าซือไปแล้ว เขาก็แบกชวีหลิงเฟิงที่เคยทิ้งลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำอีกขึ้นมาไว้บนบ่าอีกครั้ง แล้วใช้ท่าร่าง ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ ขั้นหกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วิ่งหนีไปทางวัดถู่ตี้อย่างรวดเร็วราวกับควันที่ลอยหายไป
มองออกเลยว่าการปรากฎตัวของหวงเย่าซือนั่นต้องพุ่งเป้ามาที่ชวีหลิงเฟิงแน่นอน มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าต้องการจะช่วยคน
แล้วกับดักที่โหยวจิ้นวางไว้รอชวีหลิงเฟิง จะทำอะไรหวงเย่าซือได้หรือ
เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาควรพิจารณา
เขาเพียงต้องนำตัวชวีหลิงเฟิงในสภาพสมบูรณ์ไปที่วัดถู่ตี้ พอส่งตัวให้โหยวจิ้น ภารกิจของเขาก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ไปรับรางวัลได้แล้ว
ส่วนเรื่องราวที่เหลือต่อจากนั้น ในสายตาเขาก็จัดว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพกับเซียน จะแพ้หรือชนะก็เหมือนจะไม่เกี่ยวกับเขาเลย
ทว่าอุดมการณ์ให้ความรู้สึกอวบอิ่ม แต่ความจริงกลับทำให้รู้สึกผอมแห้งมาก
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงแบกชวีหลิงเฟิงวิ่งส่ายก้นออกมาได้แปดเก้าลี้และมองเห็นวัดถู่ตี้อยู่ไกลๆ กลับมีเงาร่างสีเขียวของคนผู้หนึ่งวูบผ่านมา นึกไม่ถึงว่าหวงเย่าซือที่จากไปก่อนหน้านี้จะย้อนกลับมาอีกแล้ว มาขวางทางอยู่ตรงหน้าเขา
หากท่านช่วยถ่วงเวลาหวงเย่าซืออีกสักประเดี๋ยว ภารกิจของข้าก็จะเสร็จสิ้นแล้ว เช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ
หลังจากยิ้มแห้ง สมองน้อยๆ ของเยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มคิดวนไปวนมาอย่างรวดเร็ว คิดหาแผนรับมือขั้นต่อไป
ทว่าหลังจากหวงเย่าซือคนนี้ปรากฏตัว กลับมองเขาด้วยแววตาล้ำลึกปราดเดียวเท่านั้น แล้วพอโบกมือ วัตถุสีทองชิ้นหนึ่งก็เหมือนจะลอยมาทางเขาด้วยความเร็วที่พอดิบพอดี
ในใจรู้ว่าหากหวงเย่าซือคิดจะสู้กับตน ก็ไม่ต้องเล่นลูกไม้อะไรมากอยู่แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงรับวัตถุที่โยนเข้ามาไว้ในมืออย่างไม่ลังเล แต่กลับเห็นบนนั้นเป็นป้ายอาญาสิทธิ์สีทองที่เขียนอักษร ‘หวง’ เอาไว้
ตอนนี้ได้ยินหวงเย่าซือเอ่ยปากแล้ว กล่าวประโยคแรกตั้งแต่ปรากฏตัวมา “ยังไม่ปล่อยคนอีกหรือ”
“ก็ได้!”
ครั้งนี้เยี่ยเว่ยหมิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนชวีหลิงเฟิงที่ถูกมัดเป็นบ๊ะจ่างไปทางหวงเย่าซือเสียเลย
การที่เขาทำเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อลอบโจมตีหวงเย่าซือ หรือจะฉวยโอกาสหนีไปอะไรทำนองนั้น แต่ทำไปเพื่อปล่อยคนเท่านั้นเอง
เพียงแต่วิธีการปล่อยคนของเขาค่อนข้างพิเศษ
ส่วนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกปล่อยคนง่ายขนาดนี้
เป็นเพราะตอนที่เขารับป้ายอาญาสิทธิ์อักษร ‘หวง’ มา มีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นข้างหูพอดี
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณทำภารกิจพิเศษ ‘จับเป็นหัวขโมย’ เสร็จสิ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ คุณได้จับเป็นชวีหลิงเฟิง BOSS เลเวล 65 โดยไม่ได้อาศัยความช่วยเหลือจาก NPC คุณทำภารกิจที่แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จให้สำเร็จได้แล้ว!]
[ได้รับรางวัลภารกิจ: ค่าประสบการณ์ 100000 แต้ม ค่าตบะ 20000 แต้ม
เนื่องจากคุณแสดงความสามารถได้โดดเด่นมากในระหว่างทำภารกิจ อุปกรณ์ทองคำ 1 ชิ้นในรางวัลภารกิจจะเปลี่ยนเป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงหนึ่งวิชา คุณส่งตัวชวีหลิงเฟิงให้หวงเย่าซือได้ หวงเย่าซือจะเป็นผู้แจกรางวัลเอง]
(หมายเหตุ: เกี่ยวกับภารกิจคดีขโมยของในพระราชวัง หัวหน้าโหยวจิ้นเจรจากับลู่ติ่งกงเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่ส่งของกลางขึ้นมาก็ถือว่ารายงานผลภารกิจได้แล้ว)
ท่ามกลางการแจ้งเตือนสุดประหลาดของระบบ เยี่ยเว่ยหมิงสัมผัสได้ไวมากถึงคำว่า: ข้อตกลงที่มีเงื่อนงำ!