ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 140 ประหารก่อนรายงานทีหลัง ได้อำนาจพิเศษจากจักรพรรดิ!
ตอนที่ 140 ประหารก่อนรายงานทีหลัง ได้อำนาจพิเศษจากจักรพรรดิ!
ในฐานะที่เป็นนักโทษกระทำความผิดซ้ำที่ก่อคดีบ่อยๆ ที่แท้วั่งเหยียนก็มีประสบการณ์ที่ถูกคนไล่ฆ่าและไล่ฆ่ากลับมาอย่างโชกโชน
และการใช้ประโยชน์จากทหารอของระบบตรงจุดคืนชีพไล่ฆ่าศัตรูกลับ ก็ยิ่งเป็นแผนเด็ดที่เขาทดลองกี่ครั้งก็ไม่พลาด โดยปกติวั่งเหยียนจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร!
สาเหตุที่วันนี้เขาพูดมาก ที่จริงก็เป็นเพราะสองครั้งสุดท้ายที่ถูกปลิดชีพทำให้เขาค่อนข้างโมโห ตอนนี้ถึงได้ปากไวพูดออกไปโดยไม่ทันคิด
เขาต้องการฉวยโอกาสก่อนที่เยี่ยเว่ยหมิงจะถูกทหารของระบบประหาร ตั้งใจพูดจาอวดดีสักครั้ง ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงได้รู้ว่าหัวขโมยอย่างเขาไม่ได้มีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ!
ถูกข้าขโมยของไปแล้ว ก็ต้องยอมรับแต่โดยดีว่าตัวเองโชคไม่ดี
หากเจอกันอีกครั้งหน้า ก็อย่าลืมเดินอ้อมไปล่ะ!
คิดจะกลับมาล้างแค้น อยากจะเรียกร้องเอาของที่เสียไปแล้วหรือ
นั่นเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนชัดๆ!
ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่อยากตายอีกครั้งหรอก ที่เขาแกล้งทำเป็นโจมตี ก็เพียงเพื่อจะนำกระบี่ออกมาวาดลีลาท่าทางเท่านั้น ไม่ได้เล็งเป้าหมายไปที่ตัวเยี่ยเว่ยหมิงเลย
เมื่อเป็นแบบนี้ ระบบก็จะตัดสินว่า เขาเพียงควงกระบี่ฟันอากาศเฉยๆ ขอเพียงเยี่ยเว่ยหมิงลงมือ ‘โจมตีกลับ’ ก็จะถูกตัดสินว่าเป็นการรุกโจมตีก่อนทันที
จากนั้น เขาก็จะยืมมือทหารของระบบไล่สังหารกลับสำเร็จ จากนั้นก็หนีไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ได้กลบฝังฝีมือและผลงานนี้ของตัวเองด้วย
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าการโจมตีของยี่ยเว่ยหมิงจะเร็วขนาดนี้ ดุดันขนาดนี้ โจมตีแค่กระบี่เดียวก็เกิดคริติคอลแล้ว ทำให้เขาถูกปลิดชีพทันที
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ความเสียหายของเขาก็เป็นเพียงการตายเพิ่มหนึ่งครั้งเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการภาพรวมของเขามาก
ทว่า…
ท่ามกลางเสียงพูดอวดดีของวั่งเหยียน สีหน้าของเยี่ยเว่ยหมิงกลับยังสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่เพียงแค่ไร้ความประหม่าหวาดกลัว ถึงขั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์แม้แต่น้อย
ส่วนทหารระบบที่ ‘ไร้เทียมทาน’ สี่คนนั้น หลังจากเข้ามาล้อมเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว กลับออกแรงกระทุ้งหอกในมือลงพื้นอีกครั้ง จากนั้นก็ทำสิ่งที่วั่งเหยียนเห็นแล้วคาดไม่ถึงพร้อมกัน
ทหารของระบบที่เลเวลสองร้อยยามเผชิญหน้ากับผู้เล่น ไม่น่าเชื่อว่าจะคุกเข่าให้เยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกัน!
วั่งเหยียนที่กำลังรู้สึกเหลือเชื่อ ขยี้ตาตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้ หวังให้ฉากตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา ทว่าตอนที่เขาเอามือออกจากดวงตา กลับจนใจเมื่อพบว่าทหารองครักษ์ของระบบสี่คนนั้นคุกเข่าจริงๆ
การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นระเบียบพร้อมเพรียง ยืดอกเงยหน้า คุกเข่าข้างเดียว มือข้างหนึ่งกุมหอก ปลายหอกชี้ขึ้นฟ้า
ท่ามกลางสายตาเหม่อค้างของวั่งเหยียน พวกเขากล่าวสิ่งที่ทำให้วั่งเหยียนเหวอหนักยิ่งกว่าเดิม
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
เมื่อเทียบกับวั่งเหยียนที่ตะลึงค้าง เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้ชัดเจน
ในความเป็นจริง ในฐานะขุนนางของราชสำนัก เขาเข้าใจการทำงานของ NPC อย่างทหารของระบบดี มีหรือที่เขาจะเทียบโจรกระจอกคนเดียวไม่ติด
สำหรับความสามารถของทหารของระบบ เขาย่อมเข้าใจชัดเจนดีมาก เพียงแต่…
มองดูกระบี่ที่อยู่ในมือ แม้เนื้อแท้จะเป็นกระบี่มังกรคำราม แต่ภายนอกกลับเป็นกระบี่อาญาสิทธิ์ เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่มีธุระของพวกเจ้าแล้ว ถอยไปให้หมด”
ตั้งแต่ติดตั้งอุปกรณ์ไว้ในมือ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้แล้วว่าประโยชน์ของอุปกรณ์ภายนอกไม่ใช่แค่การฆ่าคนแล้วไม่ถูกหักค่าวีรบุรุษเท่านั้น
ก็เหมือนกับคำอธิบายของกระบี่เล่มนี้
ประหารก่อนรายงานทีหลัง ได้อำนาจพิเศษจากจักรพรรดิ!
นี่ก็คือกระบี่อาญาสิทธิ์!
นี่ต่างหากกระบี่อาญาสิทธิ์!
นี่สิถึงจะเป็นอานุภาพที่แท้จริงของกระบี่วิเศษ!
“รับทราบ!”
สำหรับคำสั่งของเยี่ยเว่ยหมิง หลังจากทหารสี่นายนี้ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็ต่างคนต่างถอยกลับไปอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง แล้วแสดงบทบาทครื่องมือมนุษย์เของพวกเขาต่อไปโดยไม่ชายตาแลใคร
ทิ้งไว้เพียงวั่งเหยียนที่กำลังยืนปวดหัวอยู่เพียงลำพังอยู่ตรงกลางจุดคืนชีพ
“ดูท่าทางแล้ว ทหารของระบบเหล่านั้นก็ไม่ได้เตรียมจะหาเรื่องข้านะ” ขณะที่ในมือถือกระบี่อาญาสิทธิ์ เยี่ยเว่ยหมิงก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปประชิดวั่งเหยียน “เช่นนั้นในตอนนี้ พวกเราก็พิจารณาถึงปัญหาเรื่องคืนกระบี่วิเศษ รวมทั้งชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจกันได้แล้วน่ะสิ”
เดิมทีเยี่ยเว่ยหมิงแค่อยากจะมาทวงกระบี่จินสยาคืนเท่านั้น เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะกำเริบเสิบสานขนาดนี้ นิสัยเลวร้ายถึงขีดสุดจริงๆ
ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมหมดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่เกรงใจอะไรอีก ต้องทำให้เขาคายของที่ฮุบเอาไว้ทั้งต้นทั้งดอกให้ได้
ต่อให้ฟันหักก็ปฏิเสธไม่ได้ เยี่ยเว่ยหมิงไม่ถือสาที่จะฆ่าเขาวนไปเรื่อยๆ!
ขณะเผชิญหน้ากับเยี่ยเว่ยหมิงที่เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน วั่งเหยียนก็ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วถามเสียงหลงว่า “ทหารของระบบเหล่านั้นเชื่อฟังเจ้าหรือ มารดาเจ้าเถอะ! เจ้าทำได้อย่างไร”
“อยากรู้?”
“แน่นอน!”
เยี่ยเว่ยหมิงกะพริบตา “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อย่าคิดเลยว่าจะได้กระบี่จินสยาที่เดิมทีเป็นของเจ้ากลับไป! ลาก่อน!” ขณะที่พูด วั่งเหยียนก็กวาดกระบี่กระบี่จินสยาในแนวขวาง จากนั้นก็ใช้ท่าดาบศึกราตรีแปดทิศ…
“ฉึก!”
เมื่อคมของกระบี่จินสยาแฉลบผ่านคอของเขา เงาร่างของวั่งเหยียนก็กลายเป็นลำแสง หายไปจากตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงทันที ไม่ปรากฏขึ้นมาอีก
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
เยี่ยเว่ยหมิงรออยู่ห้าวินาทีเต็มๆ จุดคืนชีพตรงหน้ายังเงียบสงบเหมือนเคย เขาเริ่มขมวดคิ้วเงียบๆ
นักโทษกระทำความผิดซ้ำคนนี้เจ้าเล่ห์อย่างที่คาดไว้ วิธีการปกป้องตัวเองไม่ได้มีแค่การใช้ประโยชน์จากทหารอของระบบเท่านั้น
“เจ้าไม่ต้องรอแล้ว” ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังพิจารณาแผนการขั้นต่อไป เสียงของผู้หญิงที่เคยรู้จักกันคนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังเขาไม่กี่เมตร “หากผู้เล่นตายต่อเนื่องสามครั้งภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ครั้งที่สี่จะเลือกได้ว่าจะไปคืนชีพตรงจุดคืนชีพไหนที่เคยคืนชีพ ตอนนี้วั่งเหยียนไปคืนชีพอยู่ตรงไหนกันแน่ เกรงว่าคงจะมีเพียงตัวเขาเองที่รู้”
พอหันหน้ากลับมา เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกราวกับว่าตรงหน้ามีแสงสว่าง
ที่แท้ตรงจุดที่อยู่ไม่ไกลจากเขา สาวน้อยชุดแดงผู้องอาจผึ่งผายคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ ตรงนั้น มือข้างหนึ่งเท้าเอว ท่าทางเหมือนเกียจคร้านเล็กน้อย ยังคงใส่ชุดสีแดงไว้และผมสีดำ สะพายดาบไว้ข้างหลังเหมือนเดิม
นางก็คือผู้ที่ปรากฏตัวอย่างน่าทึ่งที่เมืองฝูโจวครั้งนั้น คนหนึ่งคนพร้อมดาบหนึ่งเล่ม สู้ชนะคนในทีมสำนักมือปราบเทพอย่างต่อเนื่อง สังหารถังซานไฉ่บนถนน ตอนหลังถูกเยี่ยเว่ยหมิงใช้กลยุทธ์คนโหดเวอร์ชั่นอัปเกรดโจมตีจนถอยไป สาวน้อยชุดแดงนั่นเอง
ชื่อของนางคือ…
เอ่อ…ตอนนั้นนางวิ่งเร็วเกินไป เหมือนจะไม่ได้บอก
ราวกับได้พบสหายเก่าที่จากบ้านไปไกล แม้จะเป็นศัตรูคนหนึ่ง แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มทักทายอย่างมีมารยาทมาก “นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ บังเอิญจัง”
“ไม่บังเอิญเลยสักนิด” สาวน้อยชุดแดงยังคงเถียงกลับอย่างไม่ไว้หน้าเช่นเคย “ข้าได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากวั่งเหยียน ตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ”
เยี่ยเว่ยหมิงยังยิ้มเหมือนเดิม “น่าเสียดายที่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง”
“ข้าไม่ได้มาช้า” สาวน้อยชุดแดงส่ายหน้า “ที่จริงแล้ว หลังจากเขาคืนชีพครั้งแรกแล้วถูกเจ้าฆ่าตายอีก ข้าก็มาถึงแล้ว ข้ากำลังชื่นชมการแสดงของพวกเจ้าอยู่”
“อ้อ?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดเลิกคิ้วไม่ได้ “ในเมื่อเจ้ามาถึงตั้งนานแล้ว เหตุใดไม่ลงมือช่วยคน”
สาวน้อยชุดแดงกะพริบดวงตาโตฉ่ำน้ำของนาง “ทำไมข้าถึงไม่ช่วยเขาน่ะหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงงุนงงกับคำพูดที่ย้อนแย้งกันของสาวน้อยคนนี้ จึงเตือนอย่างจนใจว่า “ก็เจ้าพูดเอง”
“ข้าบอกว่า ข้าได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากเขา จึงตั้งใจมาที่นี่เป็นพิเศษ แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะมาช่วยเขา” สาวน้อยชุดแดงอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “ตามที่พวกเรากับเขาตกลงกันไป พวกเราออกเงิน ส่วนเขาเป็นคนช่วยพวกเราขโมยของที่ชื่อว่า ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ มา พวกเราเป็นประเภททำข้อตกลงทางการเงินที่น่าอับอายที่สุด”
“เขาเองก็ถูกพวกเจ้าไล่ฆ่าเพราะขโมยของ ทั้งยังถูกฆ่าหลายครั้งเพราะไม่ยอมคืนของที่ขโมย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หลังจากเขาขโมยแล้ว ของที่เขาไม่ยอมคืนก็ไม่ใช่กระสอบข้าวที่พวกเราทำข้อตกลงกันไว้…
…ดังนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบของเรื่องนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า…
…แล้วทำไมข้าต้องไปช่วยเขาด้วยล่ะ”
อะไรกันวะเนี่ย!
เยี่ยเว่ยหมิงพลันค้นพบว่า สิ่งที่สาวน้อยตรงหน้าพูดนั้นมีเหตุผลทุกอย่าง ทำให้เขาเถียงไม่ออกเลย
หลังจากเงียบไปสองวินาที เยี่ยเว่ยหมิงก็ถามอย่างจนใจว่า “ในเมื่อไม่ได้เตรียมจะช่วยเขา แล้วเจ้าจะตั้งใจถ่อมาถึงที่นี่ไปเพื่ออะไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในดวงตาทั้งคู่ของสาวน้อยชุดแดงก็ราวกับมีเพลิงเดือดสองกลุ่มแผดเผา “ก็ต้องมาเพื่อท้าสู้กับเจ้าอยู่แล้ว!”