ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 159 เรื่องนี้ห้ามบอกเฟยอวี๋
ตอนที่ 159 เรื่องนี้ห้ามบอกเฟยอวี๋
ตอนสหายวั่งเหยียนผู้น่าสงสารเดินมาถึงโถงเจิ้งชี่ ก็แทบจะโมโหตายเพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
เขาเห็นอะไรเข้าแล้ว
เขาเห็นมือปราบที่ชื่อเฟยอวี๋กำลังนั่งสง่าอยู่ตรงตำแหน่งหลักของโถงเจิ้งชี่ ซึ่งเดิมทีเป็นตำแหน่งนั่งของหนิงจ้งเจ๋อ อีกฝ่ายกำลังนั่งพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะอยู่กับเย่ว์ปู้ฉวิน เจ้าสำนักหัวซานของพวกเขา
ชั่วพริบตานั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าชีวิตตัวเองช่างมืดมนยิ่งนัก
อย่าบอกนะว่าข้าอุตส่าห์ตั้งใจเลือกแล้วเลือกอีก แต่สุดท้ายเลือกได้สำนักชั้นต่ำขนาดนี้
ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักนะ!
มาพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกับมือปราบเล็กๆ คนหนึ่งที่นี่ รู้สึกเสียหน้าบ้างไหม เสียศักดิ์ศรีบ้างไหม
น่าโมโหนัก!
ทว่าแม้ในใจจะรู้สึกไม่ยอมอย่างไร เขาก็ยังต้องส่งมอบกระบี่จินสยาให้พร้อมใบหน้าเจือรอยยิ้ม
สำหรับเรื่องแบบนี้ เขาเองก็ไม่ได้เถียงข้างๆ คูๆ เพื่อแก้ตัว และไม่สำคัญตัวเองผิดคิดว่าหากตัวเองไม่ยอมรับว่าเคยขโมยของก็จะหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษได้
คนที่แบกวิธีคิดอย่างนี้ไว้ ล้วนไม่เคยถูกความจริงเฆี่ยนตีมาก่อน!
หากเขาถูกไล่ออกจากสำนักขึ้นมาจริงๆ ตอนที่เสียเลเวลทักษะยุทธ์ทั้งหมดของสำนักไป ก็จะไม่มีใครมาพูดคุยกับเขาด้วยเหตุผลแล้ว
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังบอกว่าตัวเองเป็น ‘เด็กมีอนาคตสอนได้’ บนใบหน้าของเฟยอวี๋ วั่งเหยียนนอกจากแค้นจนกัดฟันกรอดแล้ว ก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เลย
ทำได้เพียงส่งกระบี่วิเศษให้อย่างรวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็รับรางวัลภารกิจที่น้อยจนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง จากนั้นก็ออกจากโถงเจิ้งชี่นี้ไปอย่างกลัดกลุ้มและไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมาอีก
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองรอยยิ้มน่ารังเกียจของเจ้าหมอนั่นเลย
เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!
ต้องมีสักวัน ที่ข้าจะขโมยของบนตัวเจ้าให้หมด!
ทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเหี้ยมโหด!
วั่งเหยียนข่มความโกรธเดินออกจากโถงเจิ้งชี่ไปพร้อมความเคียดแค้นไร้ที่สิ้นสุด
ส่วนเย่ว์ปู้ฉวินเมื่อรับกระบี่มาไว้ในมือแล้ว กลับไม่ได้เตรียมจะคืนให้เจ้าของเดิมในทันที เขามองเฟยอวี๋ด้วยแววตาสื่อความหมายล้ำลึกพร้อมกล่าวว่า “จอมยุทธ์น้อยเฟยอวี๋ ข้าหวังว่าข่าวที่เจ้านำมาจะมีมูลค่ามากพอนะ ไม่อย่างนั้น ข้ารับรองว่าเจ้าไม่มีทางนำกระบี่เล่มนี้ออกจากหัวซานได้”
หลังจากขู่เสร็จแล้ว ถึงได้ส่งกระบี่ให้ตรงหน้าเฟยอวี๋
“ตกลง” หลังจากรับกระบี่จินสยามาจากมือเย่ว์ปู้ฉวิน เฟยอวี๋ก็กล่าวโดยตรงว่า “อวี๋ชางไห่รวมทั้งพรรคพวกของเขาที่สำนักชิงเฉิง สังหารหลินเจิ้นหนานกับฮูหยินแห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวยเพื่อ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ แต่สุดท้ายกลับยังไม่ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ”
“เพื่อที่จะล้างแค้น หลินผิงจือบุตรชายของเขาประกาศให้รางวัลแล้ว นำตำราลับ ‘กระบี่พิชิตมาร’ ฝากไว้ในมือนักพรตจางแห่งอู่ตังชั่วคราว ขอเพียงมีคนล้างแค้นบัญชีเลือดแทนเขาได้ ก็จะได้รับตำรากระบี่ที่อยู่ในมือนักพรตจางทันที…
…เรื่องนี้จะถูกประกาศต่อยุทธภพในอีกสามวันหลังจากนี้ ตอนนี้ยังเป็นเพียงข่าววงในเท่านั้น”
เฟยอวี๋ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น “หากเจ้าสำนักเย่ว์ไม่วางใจ ก็ยืนยันความจริงเรื่องนี้กับนักพรตจางได้ทุกเมื่อ”
เมื่อพูดจบ เขาก็จิบน้ำชาอีกคำหนึ่ง
อืม รสชาติไม่ได้สดชื่นเหมือนน้ำผลไม้เลย!
อย่างไรเสียเย่ว์ปู้ฉวินก็ได้ฉายาว่าเป็นเจ้าสำนักกระบี่วิญญูชน วิญญูชนใจกว้างตรงไปตรงมา จึงส่งพิราบสื่อสารออกไปต่อหน้าเฟยอวี๋โดยไม่ปิดบังเสียเลย
หลังจากนั้นพักหนึ่ง พิราบก็บินกลับมา บนใบหน้าเย่ว์ปู้ฉวินเผยรอยยิ้มดั่งดอกไม้บานทันที “ขอบคุณจอมยุทธ์น้อยเฟยอวี๋ที่มาบอกเรื่องนี้ทันเวลา เย่ว์ผู้นี้ซาบซึ้งยิ่งนัก”
เฟยอวี๋วางถ้วยน้ำชาลง “ที่จริงเกี่ยวกับ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ บลาๆๆ…”
……
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม บนภูเขาเล็กๆ แหล่งรวมโจรที่ห่างจากเขาหัวซานสิบลี้
วั่งเหยียนกำจัดมอนสเตอร์โจรภูเขาเลเวลสิบแปดคนหนึ่งด้วยกระบี่เดียว แต่ในใจกลับจินตนาการว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเฟยอวี๋
เฟยอวี๋สมควรตาย สำนักมือปราบสมควรตาย ไอ้พวกเวรอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น!
ต้องมีสักวันที่ข้าได้สังหารพวกเจ้า!
ขณะกำลังสังหารอย่างถึงอกถึงใจ จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงที่แสบแก้วหูมากดังขึ้น “โย่ว ฝึกอัปเลเวลอยู่ตรงนี้เองหรือ”
เขาหันขวับกลับไป!
วั่งเหยียนเห็นใบหน้าเจือรอยยิ้มกวนประสาทของเฟยอวี๋พอดี อีกฝ่ายกอดอกยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา กำลังมองเขาพร้อมอมยิ้ม
“ทำไมถึงเป็นเจ้าอีกแล้ว” วั่งเหยียนถามอย่างกลุ้มใจ “ข้าคืนกระบี่วิเศษให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก”
“จะเอาอย่างไรน่ะหรือ” เฟยอวี๋ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น “ถามได้ดี!”
ขณะที่พูด ดาบเหยียนหลัวก็ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้ว “ข้าตั้งใจมาหาเจ้าโดยเฉพาะ มาเพื่อส่งเจ้ากลับหัวซานสักเที่ยวโดยไม่คิดเงิน เจ้าทำให้พวกเราลำบากมาตั้งนาน จนป่านนี้เพิ่งจะได้ของของพวกเรากลับคืนมา ทำให้พวกเราเสียเวลานานมาก เจ้าคงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าแค่คืนกระบี่วิเศษก็จบเรื่องแล้ว”
“เจ้าอยากจะ PK กับข้า?” วั่งเหยียนโมโหจนแทบจะลงมือเสียตรงนั้น แต่มีบทเรียนจากครั้งที่แล้ว เขาย่อมรู้ว่าต่อให้ตัวเองถือกระบี่จินสยา แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมือปราบที่อยู่ตรงหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ในมือตัวเองมีกระบี่วิเศษเสียที่ไหนล่ะ
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เมื่อสู้ไหวก็โอ้อวด เมื่อสู้ไม่ไหวก็ขอคุยด้วยเหตุผล’
ครั้งนี้วั่งเหยียนตัดสินใจจะคุยกับเฟยอวี๋ด้วยเหตุผล จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าจำได้ว่าเหมือนเจ้าจะชื่อเฟยอวี๋ ข้าแนะนำเจ้าว่าทางที่ดีอย่าวู่วาม อย่างไรเสียเจ้าสำนักของพวกเราก็ไม่ใช่คนอารมณ์เย็นสักเท่าไร…
…ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งคืนกระบี่วิเศษให้เจ้า ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวเจ้าก็จะสังหารข้าระบายความโกรธ ไม่เห็นแก่หน้าคนแก่เกินไปแล้วหรือเปล่า…
…หากตอนหลังเจ้าสำนักของพวกเรารู้เรื่องนี้ ค่าความรู้สึกดีที่เจ้าได้มาอย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ เกรงว่าจะต้องลดลงไปเกินครึ่งแล้ว” วั่งเหยียนยักไหล่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มสุขุมเยือกเย็น “รอให้ใจเย็นลงก่อน แล้วค่อยคิดให้ดีๆ เจ้าคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไหม”
สงสัยจนป่านนี้แล้วเจ้าหมอนี่คงคิดว่าที่เฟยอวี๋พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกับเย่ว์ปู้ฉวินเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับ ‘ค่าความรู้สึกดี’
เฟยอวี๋ได้ยินแล้วกลับขี้คร้านจะอธิบายให้เขาฟัง จึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดาบเหยียนหลัวในมือฟันแสกหน้าวั่งเหยียนแล้ว “ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักหัวซานเสียหน่อย ได้ค่าความรู้สึกดีจากเย่ว์ปู้ฉวินไปจะมีประโยชน์กับผีอะไรเล่า!”
นางนวลแฉลบคลื่น!
ลูกโซ่นกเป็ดน้ำ!
เหยี่ยวนกกระจอกหมุนกายา!
……
ใช้กระบวนท่าของ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ อย่างต่อเนื่อง
วั่งเหยียน พรึ่บ!
ขณะมองวั่งเหยียนกลายเป็นแสงสีขาวต่อหน้าต่อตาตัวเอง ในที่สุดบนใบหน้าเฟยอวี๋ก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
ตอนนี้เข้าใจแล้ว!
……
เขาซงซาน ชื่อเก่าแก่คือ ‘ไว่ฟาง’ สมัยราชวงศ์เซี่ยและราชวงศ์ซางเรียกว่า ‘ฉงเกา’ และ ‘ฉงซาน’ สมัยราชวงศ์โจวตะวันตกเปลี่ยนเป็นชื่อ ‘เย่ว์ซาน’ หากยึดเขาซงซานเป็นจุดศูนย์กลาง ด้านซ้ายเป็นไต้ (ไท่ซาน) ด้านขวาเป็นหัว (หัวซาน) กำหนดให้เขาซงซานเป็นจงเย่ว์ ทำให้ถูกเรียกว่า ‘จงเย่ว์ซงซาน’
ในฐานะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทิวทัศน์ของเขาซงซานกล่าวได้ว่างดงามหลากหลายรูปแบบ มีภูเขา มีต้นไม้ มีก้อนหิน ทำให้ซานเย่ว์ที่มาเยือนภูเขาลูกนี้เป็นครั้งแรกตกตะลึงกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ผีสางเทวดารังสรรค์ออกมา
เพียงแต่ตอนนี้ นางกลับไม่มีอารมณ์ไปดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงามของเขาซงซาน เนื่องจากนางได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากจั่วเหลิ่งฉาน เจ้าสำนักซงซาน กำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกันอยู่ในโถงด้านข้าง ดูมีสง่าราศีมาก
“แม่นางซานเย่ว์พูดจริงหรือ”
ไม่มีท่าทีแฝงการปฏิเสธเหมือนเย่ว์ปู้ฉวิน ตอนที่จั่วเหลิ่งฉานได้ยินคำว่า ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ดวงตาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยราศีของนักสู้เหมือนสุนัขป่า ตาลุกวาวจนแทบกลายเป็นสีเขียวในทันที!
จากนั้น เขาก็มีท่าทีเกรงใจต่อซานเย่ว์เป็นพิเศษ ถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตำรากระบี่ไม่หยุด
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วยิ้มบางๆ แล้วกล่าวเหมือนกับที่เฟยอวี๋บอกเย่ว์ปู้ฉวินที่หัวซาน “หากเจ้าสำนักจั่วไม่เชื่อ ก็ขอพิสูจน์กับอู่ตังได้ทุกเมื่อ”
“ได้ ข้าจะพิสูจน์เดี๋ยวนี้!” ขณะที่พูด ก็มีพิราบขาวบินออกจากตัวเขาไม่หยุด เรียงตัวเป็นภาพที่เจ้าเข้าใจ บินไปทางเขาอู่ตัง
หลังจากนั้นพักหนึ่ง พิราบก็บินกลับมา หลังจากจั่วเหลิ่งฉานอ่านข้อความจบแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็สดใสเปล่งประกายกว่าเมื่อก่อนมาก ปากก็บอกว่า “ขอบคุณแม่นางซานเย่ว์ที่แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ นี่คือน้ำใจเล็กน้อย หวังว่าแม่นางซานเย่ว์จะไม่รังเกียจ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ตำราหนังสีฟ้าเล่มหนึ่งก็วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาแล้ว เขาใช้นิ้วกด ผลักไปตรงหน้าซานเย่ว์
[‘ความรู้เบื้องต้นหมัดฝ่ามือ’: ความรู้บางส่วนเกี่ยวกับวิชาหมัดฝ่ามือของเจ้าสำนักจั่วเหลิ่งฉานแห่งสำนักซงซาน เย็บเป็นเล่มแล้ว มอบเป็นรางวัลให้ศิษย์ในสำนักที่มีผลงาน เมื่อใช้วิทยายุทธ์ประเภทวิชาหมัดฝ่ามือที่กำหนด จะเพิ่มค่าประสบการณ์ 5000 แต้ม (จำกัดใช้หนึ่งครั้งต่อหนึ่งคน)]
หลังจากได้ผลประโยชน์แล้ว แม่นางน้อยก็ส่งพิราบสื่อสารบอกข่าวเยี่ยเว่ยหมิงทันที
[‘ความรู้เบื้องต้นหมัดฝ่ามือ’ ]…ซานเย่ว์
พิราบสื่อสารตอบกลับไวมาก
[เรื่องที่เจ้าได้รางวัลชิ้นนี้ อย่าบอกเฟยอวี๋เชียวนะ]…เยี่ยเว่ยหมิง
[ทำไมหรือ]…ซานเย่ว์
[เพราะสำนักหัวซานค่อนข้างยากจน เขาไปที่หัวซาน เกรงว่าจะไม่ได้รับรางวัลอะไร]…เยี่ยเว่ยหมิง
[ขอบคุณอาหมิง จุ๊บๆ! o(^▽^)o]…ซานเย่ว์