ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 163 อันดับหนึ่งคือใคร
ตอนที่ 163 อันดับหนึ่งคือใคร
หลังจากออกจากดันเจี้ยนแล้วรอพักหนึ่ง สะพานสวรรค์น้อยก็ถูกส่งออกมาแล้วเช่นกัน
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ถามว่าผลงานของนางเป็นอย่างไร สะพานสวรรค์น้อยกลับอดเป็นฝ่ายบอกเล่าประสบการณ์การประลองของตัวเองอย่างมีชีวิตชีวาไม่ได้
สรุปก็คือขั้นตอนส่วนใหญ่เหมือนกับเยี่ยเว่ยหมิง นางบดขยี้คู่ต่อสู้ตลอดการประลอง นี่ก็เป็นสาเหตุที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน เพราะคู่ต่อสู้อ่อนหัดเกินไป อ่อนหัดจนไม่มีความท้าทายใดๆ ให้เอ่ยถึง แล้วยังจะมีอะไรน่าถามอีก
เพียงแต่น้องสาวคนนี้ต้องยืนหยัดต่อสู้มากกว่าเยี่ยเว่ยหมิง ตอนสู้กับ BOSS คนสุดท้ายเขาใช้ไปไม่เกินสามกระบวนท่า แต่ตอนนางสู้กับคู่ต่อสู้คนสุดท้ายนั้นใช้ไปเก้ากระบวนท่าเต็มๆ ถึงสังหาร BOSS ที่ชื่อเสิ่นชิงกังให้ตายคากระบี่ได้
ทั้งสองพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะตลอดทางตอนออกจากสังเวียน เมื่อเห็นท้องฟ้าใกล้มืด จึงเข้าไปเดินในเมืองเทียนจินเสียเลย
ขณะที่เดินอยู่นั้น สะพานสวรรค์น้อยก็อดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “เป็นอย่างไรบ้าง การประลองยุทธ์เลือกคู่นั่น พี่สาวที่ชื่อมู่เนี่ยนฉือสวยมากไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่เยี่ยเห็นแล้วเกิดความคิดอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ข้ารู้สึกว่านางไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ” เยี่ยเว่ยหมิงตอบตามจริง “ผลปรากฏว่าพอลองถาม ก็พบว่านางไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ อย่างที่คิดไว้จริงๆ”
“ไม่ใช่กระมัง ท่านถามไปแล้วจริงหรือ” สะพานสวรรค์น้อยรู้สึกเพียงว่าต้องประเมินพี่ใหญ่เยี่ยคนนี้ใหม่ว่าสมองกลับด้านหรือเปล่า แต่ก็ซักไซ้ต่อทันทีว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดมาก่อน หากเจ้ามีคุณสมบัติสมัครเป็นลูกเขยเหมือนกัน เจ้าจะพยายามเพื่อแต่งงานกับนางหรือเปล่า”
“ไม่พยายามหรือ”
“ไม่หรอก!”
“จริงหรือ”
“จริงสิ!”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ แล้วบอกว่า “ในเกมที่มีพลังบวกขนาดนี้ ต่อให้แต่งงานรับกลับบ้านได้จริง แล้วข้าจะทำอะไรนางได้ล่ะ นำไปวางประดับเป็นแจกันดอกไม้เฉยๆ หรือ”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า หากเกมนี้ไม่ได้ประนีประนอมขนาดนั้น…”
“หยุดเลย เปลี่ยนประเด็นสนทนา” เยี่ยเว่ยหมิงกลอกตามองสะพานสวรรค์น้อย “หากพูดต่อก็จะล้ำเส้นแล้ว”
สะพานสวรรค์น้อยยิ้มบางๆ แล้วเปลี่ยนมาบอกว่า “ข้าอยากกินซาลาเปาหมาเมิน แล้วก็กินขนมเกลียวด้วย!”
“เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ข้าชอบ!”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตาเป็นประกายทันที เขาดีดนิ้วแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมามากว่า “ไม่ใช่แค่สองอย่างนี้นะ ที่จริงนครเทียนจินยังมีของกินเล่นขึ้นชื่ออีกไม่น้อย นอกจากซาลาเปากับขนมเกลียวยังมี…ยังมีอะไรอีกนะ ไม่สนแล้ว ถึงตอนนั้นไปถาม NPC ในพื้นที่เดี๋ยวก็รู้เอง ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็เลี้ยงเอง!”
“ไม่มีปัญหา!”
หลังจากพูดจาอย่างกล้าหาญชาญชัยอย่างนี้ออกไป เยี่ยเว่ยหมิงก็นึกเสียใจทีหลังแล้ว
ซาลาเปาหมาเมินแบบต้นตำรับ ราคาลูกละหนึ่งเหรียญทอง หนึ่งเข่งสิบลูกราคาสิบเหรียญทอง เจ้ากล้าเชื่อไหมล่ะ
มองราคาที่ทำให้คนเห็นตากระตุกแวบหนึ่ง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็เสนอว่า “เมื่อก่อนข้าได้ยินคนอื่นบอกว่า ซาลาเปาหมาเมินที่จริงแล้วก็มีดีแค่ชื่อเท่านั้น รสชาติยังสู้เสี่ยวหลงเปาไม่ได้เลย เอาอย่างนี้ไหม พวกเราไปชิมอย่างอื่นกันดีกว่า”
สะพานสวรรค์น้อยอดถามกลับไม่ได้ว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มาเทียนจินสักครั้ง ถ้าไม่ชิมซาลาเปาหมาเมินสักหน่อย เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าเสียดายมากหรอกหรือ”
“จะว่าไปก็ใช่ เอามาชิมก่อนสองเข่งว่าเค็มหรือเปล่า” เยี่ยเว่ยหมิงตอบ
……
หลังจากนั้นห้านาที…
“พนักงาน เอามาอีกสองเข่ง!”
หลังจากนั้นสิบนาที…
“พนักงาน ห่อกลับอีกสองเข่ง”
ตอนที่ทั้งสองออกจากร้านซาลาเปา ก็ไม่คิดจะไปหาของกินอะไรที่อื่นแล้ว ค่าความหิวกลายเป็นศูนย์แล้ว หากกินอีกคงพุงกางแน่
ในกระเป๋าของพวกเขาเก็บซาลาเปาไว้คนละเข่ง กะว่าต่อไปจะค่อยๆ กินตอนหิว
รู้สึกได้ถึงความเย็นสดชื่นของลมราตรีที่พัดปะทะใบหน้า เยี่ยเว่ยหมิงแอบยิ้มเจื่อนในใจ เป็นอย่างที่คาดไว้ ทฤษฎีทำตรงข้ามกับสิ่งที่พูด ไม่ว่าตอนไหนก็ใช้ได้จริง เสียดายก็แต่เงินน้อยๆ ของฉัน
การใช้ชีวิตยามราตรีของเยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์น้อยวันนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรถไฟเล็กๆ ขบวนหนึ่ง เมื่อสรุปก็ได้คำพูดซ้ำเดิมว่า เดินกิน เดินกิน เดินกิน…
เคยมีคำกล่าวว่า ได้มาแล้วไม่ตอบแทนถือเป็นการเสียมารยาท
เห็นได้ชัดว่าสะพานสวรรค์น้อยไม่อยากเสียมารยาทกับเยี่ยเว่ยหมิง ดังนั้นเมื่อเยี่ยเว่ยหมิงเลี้ยงอาหารแล้ว นางก็เป็นฝ่ายขอเปิดห้องเอง
อย่าคิดไปในแง่นั้นนะ ในเกมที่มีความปรองดองและพลังบวกขั้นสุดเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องสิบแปดบวกใดๆ เกิดขึ้น
เปิดห้องสองห้อง เยี่ยเว่ยหมิงหนึ่งห้อง สะพานสวรรค์น้อยหนึ่งห้อง
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกลับมาถึงห้องแล้วก็เริ่มนั่งสมาธิฝึกกำลังภายใน ส่วนสะพานสวรรค์น้อยจะทำอะไรนั้น
ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!
ทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกันเลยทั้งคืน พากันมาถึงสังเวียนประลองยุทธ์เลือกคู่ตั้งแต่เช้าตรู่ ยังคงมีผู้คนล้นหลามเหมือนเดิม บรรดา NPC ก็มีคุณสมบัติดีมากเช่นกัน หลีกทางให้ผู้เล่นเดินขึ้นสังเวียนเป็นเส้นตรง
ที่จริงแล้ว กติการโดยละเอียดของการประลองถูกส่งเข้ามาในแถบภารกิจบนหน้าอิสเตอร์เฟสของระบบตั้งแต่ตอนประลองรอบคัดเลือกจบแล้ว
กติกาโดยละเอียดมีดังนี้
1. ผู้ท้าชิงการประลองรอบตัดสิน จะต้องผ่านการต่อสู้โหมดแรงค์ 20 ครั้งก่อน
2. ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คุณก็ต้องสู้ 20 ยกนี้ให้เสร็จ หากยอมแพ้กลางคันจะถูกยกเลิกรางวัลประลอง สุดท้ายจะจัดอันดับตามคะแนน เพื่อเลือกผู้แข็งแกร่งแปดคน
3. ส่วนผู้ที่คะแนนอยู่หลังแปดอันดับลงมา ก็จะได้รับรางวัลประลองแตกต่างกันไปตามคะแนนตัวเอง (จากนั้นก็แยกย้ายกันไสหัวไปได้แล้ว)
4. หลังจากแปดผู้ท้าชิงผ่านการคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าร่วมการแข่งรอบน็อกเอาต์สามรอบสุดท้าย (เลือกสี่คนจากแปดคน เลือกสองคนจากสี่คน รวมทั้งสู้รอบชิงชนะเลิศตอนสุดท้าย)
5. นอกจากผู้ชนะเลิศแล้ว รางวัลที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปตามอันดับและเลเวล (จากนั้นก็ไสหัวไปได้)
6. ผู้ชนะเลิศส่วนหนึ่งจะได้รับรางวัลภารกิจพิเศษ และมีสิทธิ์เข้าร่วมภารกิจเนื้อเรื่องในตอนหลังต่อไป
7. สิทธิ์ทั้งหมดในการอธิบายกติกาของการประลองครั้งนี้เป็นของบริษัทวีรบุรุษ
กติกาของประลองพวกนี้ดูเหมือนซับซ้อน แต่สรุปรวดรัดได้ประโยคเดียว
Just do it! ก็แค่ทำมันซะ!
พอกระโดดขึ้นสังเวียน ก็เข้าสู่ดันเจี้ยนของการประลองนี้ทันที ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้เห็นชัดๆ ว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือศิษย์หญิงสำนักเอ๋อเหมยที่หยาดเยิ้มคนหนึ่ง ดูเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล เป็นแบบที่ผู้ชายเห็นแล้วชอบ
ตอนนี้ บิดาผีมู่อี้ที่เป็นกรรมการของสังเวียนประกาศเริ่มการประลองแล้ว
ศิษย์หญิงสำนักเอ๋อเหมยกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เยี่ยเว่ยหมิงกลับพุ่งมาข้างหน้าก่อนอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู
พเนจรสุดขอบฟ้า!
ไซซีกุมดวงใจ!
ฉึก!
ยกต่อไป…
ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าผู้เล่นที่เดินมาถึงจุดนี้ได้ล้วนมีฝีมืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากสู้ตัวต่อตัวกับ BOSS เล็กๆ ที่เฝ้าด่านอย่างเฉียนชิงเจี้ยนไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ผ่านการประลองรอบคัดเลือกเช่นกัน
เพียงแต่ถึงอย่างไรผู้เล่นก็ยังเป็นผู้เล่น แม้จะมีข้อได้เปรียบด้านสติปัญญา การพลิกแพลงกลยุทธ์ แต่หากพูดถึงความอึดและพลังชีวิต กลับห่างชั้นกับ BOSS ไกลมาก
หลังจากผ่านการประลองรอบคัดเลือกเมื่อวานนี้มา ก็พิสูจน์ได้แล้วจุดหนึ่ง นั่นก็คือพลังโจมตีของเยี่ยเว่ยหมิงปลิดชีพ BOSS เล็กๆ บนการประลองรอบคัดเลือกได้!
หลังจากเล่นโหมดแรงค์เสร็จแล้ว เขาก็พิสูจน์ได้อีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือทักษะยุทธ์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นด้านกระบวนท่าหรือการเคลื่อนไหว ก็บดขยี้ผู้ท้าชิงรอบคัดเลือกได้โดยสมบูรณ์
บดขยี้ด้านฝีมือ บดขยี้ด้านค่าสเตตัส หากโจมตีก็สร้างผลปลิดชีพได้…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำหรับเขาถือว่าคู่ต่อสู้ทั้งโหมดแรงค์ไม่มีใครรับมือได้ยากเลย เขาสู้ได้เหมือนฟันแตงหั่นผักตลอดทาง หลับหูหลับตาเล่นไปยี่สิบรอบก็ประลองรอบคัดเลือกเสร็จแล้ว ในระหว่างนั้นไม่เจอยอดฝีมือใดๆ เลย
ทว่าการเล่นโหมดแรงค์ครั้งนี้ไม่เหมือนการประลองรอบคัดเลือกที่สู้เสร็จแล้วไปได้ แต่ต้องรอให้ผู้ท้าชิงทั้งหมดสู้เสร็จยี่สิบรอบก่อน ถึงจะประกาศอันดับตอนสุดท้าย
ดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงที่สู้เสร็จก่อนก็ทำได้เพียงรอให้คนอื่นสู้เสร็จ พื้นที่ว่างด้านล่างสังเวียนนั้นมีจำกัด รองรับผู้เล่นที่เข้าร่วมประลองได้ไม่มากขนาดนั้น เมื่อผู้ท้าชิงสู้เสร็จก่อนเพื่อน ก็ทำได้เพียงรออยู่บนสังเวียนในดันเจี้ยนต่อไป
เยี่ยเว่ยหมิงนั่งขัดสมาธิบนพื้นเสียเลย ปรับสภาวะของตัวเองอย่างเงียบๆ
เรื่องราวดำเนินไปอย่างนี้ เวลาผ่านไปเกินครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว หลังจากผ่านไปนานกว่านั้น เสียงแจ้งเตือนของระบบถึงได้ดังขึ้นข้างหู
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณผ่านการเล่นโหมดแรงค์ของการประลองยุทธ์เลือกคู่ได้อย่างราบรื่น อันดับของคุณในโหมดแรงค์คืออันดับสอง ได้เข้าร่วมแข่งรอบน็อกเอาต์รอบถัดไป]
[ติ๊ง! อีกสามนาทีการแข่งรอบน็อกเอาต์กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในระหว่างนี้กรุณาปรับสภาวะของตัวเองให้เรียบร้อย สามารถดูรายชื่อและตารางการแข่งของแปดผู้ท้าชิงได้ที่แถบภารกิจของหน้าอินเตอร์เฟสระบบ]
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบที่รอมานาน มุมปากของเยี่ยเว่ยหมิงก็โค้งขึ้นมาด้วยความสนใจ
สาเหตุที่คู่ประลองก่อนหน้านี้อ่อนแอหมด คงเป็นเพราะยังไม่ได้เข้าสู่การประลองรอบตัดสิน
ส่วนการแข่งรอบน็อกเอาต์อีกสามยกถัดไป คงจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดของงานประลองยุทธ์ใหญ่ครั้งนี้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังมีความมั่นใจเต็มที่เช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอันดับสองในโหมดแรงค์!
เดี๋ยวก่อนนะ!
อันดับสอง?
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ฉันสู้ได้โหดขนาดนั้นมาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าจะได้แค่อันดับสอง
แล้วอันดับหนึ่งคือใคร