ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 169 เรื่องราวหักมุมของ 'ซินเดอเรลล่า' เวอร์ชันยอดยุทธ์คุณธรรม
- Home
- ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ
- ตอนที่ 169 เรื่องราวหักมุมของ 'ซินเดอเรลล่า' เวอร์ชันยอดยุทธ์คุณธรรม
ตอนที่ 169 เรื่องราวหักมุมของ ‘ซินเดอเรลล่า’ เวอร์ชันยอดยุทธ์คุณธรรม
เมื่อหนุ่มน้อยเสื้อแพรขึ้นสังเวียน สง่าราศีที่มีเฉพาะในตัวเอกของนิยายก็อบอวลอยู่ในพื้นที่ว่างประมาณสามเซนติเมตรตรงหน้าและข้างหลังเขา เผยสามจุดเด่นของผู้ชนะออกมาหมดเปลือก
สูง! รวย! หล่อ!
จากนั้น เจ้าหนุ่มที่ลักษณะเหมือนตัวเอกในโครงเรื่องก็แสดงให้เห็นฝีมือที่ไม่ธรรมดา โจมตีคางคกอยากกินเนื้อหงส์สองตัวอย่างพระศีลแตกที่ยังไม่บรรลุธรรมกับตาแก่อ้วนน้ำมันเยิ้มที่ยังคึกคะนองเหมือนคนหนุ่มลงจากสังเวียนทันที ราศีความหล่อพุ่งทะลุฟ้าจริงๆ
จากนั้นก็เป็นไปตามกติกาของสังเวียนประลอง ผู้ชนะจะต้องประลองกับแม่นางมู่เนี่ยนฉือ ผู้เป็นเจ้าภาพสังเวียนประลองยุทธ์เลือกคู่ ‘เนี่ยนฉือแชมเปียนส์คัพ’ ครั้งนี้
เมื่อได้เห็นฉากนี้ บิดาผีบ้าอย่างมู่อี้ก็ไม่สบอารมณ์แล้ว
ในฐานะบิดาบุญธรรมคนหนึ่ง ราวกับว่าทนเห็นบุตรสาวอยู่ดีมีสุขไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนพวกหน้าตาประหลาดเหมือนแตงโมเบี้ยวขึ้นบนสังเวียนประลองยุทธ์ เขาไม่พูดอะไรสักคำ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวสุดหล่อผู้ร่ำรวยมาเยือน เขากลับกระโดดขึ้นมาเป็นก้างขวางคอทันที กล่าวถ้อยคำล้าสมัยประมาณว่าทั้งสองไม่เหมาะสมกัน มีเจตนาเดียวก็คืออยากจะทำลายบุพเพวาสนาจากสวรรค์!
เมื่อได้เห็นฉากนี้ แม้แต่กลุ่มคนขี้เผือกที่อยู่ด้านล่างสังเวียนก็ยังทนมองไม่ไหว พากันส่งเสียงก่นด่าบิดาบุญธรรมชั่วร้ายไร้มโนธรรมคนนี้
แต่การที่เจ้าชายเป็นเจ้าชายได้ ก็ย่อมแสดงว่ามีฐานะสูงส่งมากพอ ยามเจ้าชายต้องการตามหาซินเดอเรลล่า ก็ใช่ว่าบิดาบุญธรรมชั่วร้ายจะขัดขวางไหว
เห็นเจ้าชายขี่ม้าขาวหยิบหยกเรื่องกติกาประลองยุทธ์เลือกคู่ขึ้นมาพูดอย่างไม่แข็งกร้าว หรือถ่อมตัวเกินไป บีบให้บิดาผีบ้าอย่างมู่อี้จำต้องยอมให้เขาขึ้นสังเวียนไปประลองยุทธ์กับมู่เนี่ยนฉือที่เป็นเจ้าภาพ
เพียงแต่ท่าทีของเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนี้…จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ
ต่อให้เจ้าทำสำเร็จแล้ว ต่อให้ตาแก่คนนี้จะทำตัวแย่ขนาดไหน แต่เจ้าก็ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าพ่ออยู่ดี
ยามเผชิญหน้ากับท่านพ่อตาในอนาคต เจ้าทำเกินไปขนาดนี้จะดีหรือ
จากนั้น มนุษย์ขี้เผือกทุกคนตรงนั้นก็ได้มีวาสนาดวงตาแล้ว
พวกเขาได้เห็นอะไร
พวกเขาได้เห็นทั้งสองใช้เคล็ดฝ่ามือยักคิ้วหลิ่วตาเกี้ยวพาราสีกันในนามการประลองยุทธ์!
เจ้าชายขี่ม้าขาวสง่างามผ่าเผย แม่นางชุดแดงน่ารักมีเสน่ห์ แม้ทั้งสองจะอยู่ในการประลองยุทธ์ แต่ตรงหว่างคิ้วกลับเผยสายตาอบอุ่นราวกับรู้จักกันมานาน อัดอั้นตันใจสุดรำพันอยู่ตลอด
ราวกับผักปวยเล้งในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้คนทั้งอิจฉาทั้งเศร้าโศก
ฉากอย่างนี้ ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงที่นั่งอยู่ตำแหน่งผู้ชนะเลิศอึดอัดมาก
ตามจินตนาการเดิมของเขา ในเมื่อระบบให้ผู้ชนะเลิศอย่างเขาอยู่นั่งคุมสังเวียนแล้ว ต่อไปก็น่าจะมีคนชั่วจอมเผด็จการที่อาละวาดตามหมู่บ้านโผล่ออกมาชิงตัวหญิงสาวชาวบ้านคนนี้
จากนั้นเขาก็จะใช้ฐานะเจ้าของสังเวียนสั่งสอนอีกฝ่ายให้หลาบจำสักยก โจมตีจนอีกฝ่ายฟันร่วงเต็มพื้นแล้วคุกเข่าร้องขอชีวิต
แล้วหลังจากนั้น มู่อี้กับบุตรสาวก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล ซาบซึ้งจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร บิดาผีอย่างมู่อี้แม้จะไม่เต็มใจ แต่ติดที่กลัวเสียหน้า จึงต้องนำอาวุธเทพของบรรพบุรุษ หรือไม่ก็ตำราลับทักษะยุทธ์ที่ไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จออกมามอบให้แทนคำขอบคุณ
จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็กลับไปพร้อมอุปกรณ์มากมาย แล้วให้พวกเขาสองคนประลองยุทธ์เลือกคู่กันต่อไป
นี่ต่างหากที่เป็นแนวทางที่โครงเรื่องควรจะมี!
แต่ประธานบริษัทจอมเผด็จการอย่างเจ้าโผล่มาที่นี่ มาแสดงละคร ‘ซินเดอเรลล่า’ เวอร์ชันยอดยุทธ์คุณธรรมกับมู่เนี่ยนฉือ นี่มันใช่เรื่องหรือ
เรื่องราวแบบนี้ให้ความรู้สึกงดงาม แต่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของสังเวียนอย่างข้า!
อารมณ์ของเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ บรรยายได้เพียงคำเดียว
กลุ้มใจ! กลุ้มใจจนเขานำซาลาเปาหมาเมินลูกหนึ่งออกมากินเสียตรงนั้นเลย
แล้วยังถือโอกาสเรียกอาหวงที่ไม่ได้ปรากฏตัวนานแล้วออกมาด้วย เดิมทีเตรียมจะป้อนซาลาเปามันลูกหนึ่ง แต่อาหวงเหมือนไม่สนใจซาลาเปาราคาสูงแบบนี้ มันหันหน้าหนีแสดงการดูถูก
ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องแปลกๆ ราวกับหมาป่าหอนดังมาจากกลุ่มคนขี้เผือกด้านล่างสังเวียนพักเวียนพักหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลย แม้ผู้เล่นจะรบกวนการต่อสู้บนสังเวียนไม่ได้ แต่กลุ่ม NPC ขี้เผือกพวกนั้นก็ยังมีสิทธิ์เอะอะโวยวาย
ตอนที่สายตาฉงนของเยี่ยเว่ยหมิงย้ายขึ้นไปบนสังเวียน กลับเห็นฉากที่ทำให้เขาแทบจะพ่นอาหารออกมา
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นจะถอดรองเท้าปักลายของมู่เนี่ยนฉือในระหว่างที่ประมือกัน
จากนั้น เขาก็โน้มจมูกลงมาดมเล็กน้อย ทั้งยังทำสีหน้าเหมือนกำลังเสพสุขด้วย
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียด
จะว่าไปแล้ว เจ้าชายขี่ม้าขาวที่ดูสะอาดหมดจดคนนี้ คงจะไม่ได้ติดนิสัยแปลกๆ อะไรเป็นพิเศษใช่ไหม
ดูจากท่าทางแล้ว คงเสพติดนิสัยแบบนี้ไม่ผิดแน่!
เพียงแต่…เจ้าแสดงนิสัยแบบนี้ต่อหน้าฝูงชนมันจะดีหรือ
ข้ากำลังกินอาหารอยู่ตรงนี้นะ!
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียน ยังมีจิตสาธารณะเหลืออยู่ไหม!
ชั่วพริบตานั้น ระดับความรู้สึกดีที่เยี่ยเว่ยหมิงมีต่อ ‘เจ้าชายขี่ม้าขาว’ ก็ลดฮวบลงทันที จากชื่นชมกลายเป็นรังเกียจแล้ว
รังเกียจสุดๆ
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งพิสูจน์ฐานะของเจ้าชายขี่ม้าขาวกับซินเดอเรลล่าคู่นี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
มุกรองเท้าแก้วก็มาแล้ว!
ฉากนี้คุ้นเกินไปแล้วมั้ง
ต่อมา ก็น่าจะเป็นบิดาบุญธรรมชั่วร้ายคนนี้ออกโรง ใช้ไม้กระบองตีคู่รักที่สวรรค์ประทานบุพเพวาสนาให้แยกออกจากนั้น แล้วพาตัวมู่เนี่ยนฉือออกไป
จากนั้น เจ้าชายขี่ม้าขาวที่หล่อเหลาสง่างามผู้นี้ก็เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อตามหาแม่นางที่ตัวเองรัก
แม้เขาจะจำไม่ได้ว่าแม่นางหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ก็ไม่เคยลืมเลือนเท้าของแม่นางผู้นี้เลย เพราะนั่นคือความชอบส่วนตัวของเขา!
สุดท้าย หลังจากผ่านความยากลำบากนับร้อยพัน ในที่สุดเจ้าชายขี่ม้าขาวผู้นี้ก็อาศัย ‘รองเท้าปักลาย’ ที่ไร้ค่าคู่นี้ตามหาคนรักในฝันจนพบ จากนั้นเจ้าชายกับซินเดอเรลล่าก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องอับอายใคร…โปรยดอกไม้ตอนจบ!
ไม่ถูกสิ!
ทันใดนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ตระหนักได้ถึงปัญหาร้ายแรงบางอย่าง
หากโครงเรื่องเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นระบบก็ไม่จำเป็นต้องรั้งเจ้าของสังเวียนอย่างเยี่ยเว่ยหมิงเอาไว้เป็นก้างขวางคออยู่ตรงนี้ เพื่อให้ยืนดูละครอยู่ในมุมที่แตกต่างออกไปหรอก!
แต่อิงตามความเคยชินของระบบ ในเมื่อรั้งเขาไว้ที่นี่แล้ว แสดงว่าต้องมีเหตุผลที่รั้งเขาไว้ หรือหากจะพูดให้ชัดขึ้นอีกหน่อยก็คือ จะต้องมีภารกิจใหญ่รอเขาอยู่แน่นอน ต้องการให้เจ้าของสังเวียนอย่างเขาอาศัยกำลังอันป่าเถื่อนที่เหนือกว่าผู้อื่นมาแก้ปัญหา
เรียกสั้นๆ ว่าภารกิจที่มีภาคต่อ!
อย่าบอกนะว่า…
มู่อี้ บิดาบุญธรรมที่ชั่วร้ายนั่นต่างหากที่เป็นลาสบอสของงานประลองยุทธ์เลือกคู่สังเวียนนี้
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางขัดขวางบุพวาสนานี้ได้ บิดาผีบ้ามู่อี้ก็จะกลายร่างเป็นจอมมารทันทีอย่างนั้นหรือ
เขาที่ถูกความริษยาทำให้สติสัมปชัญญะหายไป ประสาทกินจนคิดจะสังหารกิ่งทองใบหยกคู่นี้เพื่อระบายความโกรธ
ในเวลาแบบนี้ ก็ค่อยให้เจ้าของสังเวียนที่ทักษะยุทธ์โดดเด่นอย่างเขาออกโรง โจมตีเอาชนะจอมมารมู่อี้ ช่วยชีวิตคู่รักอับโชคคู่นี้จากความขัดแย้ง
แล้วต่อจากนั้น วีรบุรุษก็ได้ใจองค์ชาย จึงนำอาวุธเทพที่เก็บรักษาไว้ในพระราชวังมามอบให้เขา
อื้ม
ตอนนี้ตรรกะของโครงเรื่องก็ฟังดูเข้าท่าแล้ว!
หลายจุดที่ไม่สมเหตุสมผลได้รับคำอธิบายที่ฟังขึ้นแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ระบบใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อจัดการประลองสังเวียนใหญ่นี้ขึ้นมา หากไม่มีความท้าทายที่ยากกว่านี้ หรือรางวัลภารกิจที่ทำให้คนตื่นเต้นรออยู่อีก ก็จะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย
มู่อี้กับบุตรสาวดูท่าทางไม่เหมือนคนมีเงิน แล้วพวกเขาจะมีรางวัลภารกิจที่เข้าท่าอะไรได้
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวที่อยู่ตรงหน้านี้ บางทีทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่แน่ว่าบนตัวของเขาตอนนี้ อาจจะซ่อนอาวุธเทพเอาไว้สักชิ้น หรือไม่ก็เกราะอ่อนที่อาวุธฟันแทงไม่เข้า หรือจะเป็นตำราลับทักษะยุทธ์ที่ไม่ด้อยกว่า ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ ดีล่ะ!
เมื่อถึงตอนนั้นก็ส่งตำราลับให้ผู้กล้า ส่งกระบี่ล้ำค่าให้วีรบุรุษ!
เพอร์เฟกต์!
ในฐานะผู้เล่นที่ใช้สติปัญญา เยี่ยเว่ยหมิงขอเพียงได้เจอภารกิจใหญ่ต่างๆ ของระบบ ก็จะวิเคราะห์สถานการณ์ตามข้อมูลที่มีในปัจจุบัน แล้วจัดร่างแผนการที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา จากนั้นก็ลงมือปฏิบัติตามแผน
นี่ต่างหาก คือผู้เล่นสติปัญญาดีที่วางกลยุทธ์อยู่ในกระโจมค่าย มีรู้ลุ่มลึกอย่างที่ควรจะมี!
ทว่า ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงวางกลยุทธ์อยู่ในกระโจมค่าย เริ่มวางแผนการรบในขั้นถัดไป แต่เรื่องราวที่หักมุมต่อจากนั้นกะทันหันมาก ทำเอาเขารับมือไม่ถูก!
หลังจากเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นเอาชนะมู่เนี่ยนฉือได้ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะหันตัวเดินออกไปเลย ไม่เอ่ยเรื่องเลือกคู่อีก
บิดาผี…แค่กๆ มู่อี้ บิดาของมู่เนี่ยนฉือตอนนี้ยืนขึ้นโต้แย้งด้วยเหตุผลแล้ว หลังจากแน่ใจว่าเจ้าชายขี่ม้า…ถุย! เจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นไม่อยากแต่งงานกับมู่เนี่ยนฉือ เพียงอยากขึ้นสังเวียนมาเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น เขาก็ขอให้อีกฝ่ายคืนรองเท้าลายปักของมู่เนี่ยนฉือทันที
ทว่า เขากลับถูกปฏิเสธอย่างโหดร้ายอีกครั้ง
มู่อี้โมโหมาก ทำได้เพียงลงมือด้วยตัวเอง ต้องการจะสั่งสอนเจ้ามักมากในกามตัณหาคนนี้ แล้วถือโอกาสชิงรองเท้าปักลายของลูกสาวกลับมา
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเริ่มร้ายความแข็งแกร่งเพิ่มสิบเท่า เมื่อเริ่มดีกลับอ่อนแอลงสามส่วน
หลังจากมู่อี้ถูกเขียนบทให้กลายเป็นคนดี ตอนนี้ศักยภาพเทียบบุตรสาวอย่างมู่เนี่ยนฉือไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนุ่มน้อยหน้าขาวนั่นด้วย ถูกหนุ่มน้อยหน้าขาวโจมตีกระอักเลือดคาที่ หลังจากมู่เนี่ยนฉือประคองบิดาขึ้นมาแล้ว นอกจากร้องไห้คร่ำครวญนางก็ทำอะไรไม่ได้เลย
ขณะมองหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นก็กำลังจะเดินกร่างออกไปหลังจากทำร้ายคน เสียงแจ้งเตือนของระบบที่เยี่ยเว่ยหมิงรอมานานก็ดังขั้นข้างหูเขา
[ติ๊ง! เห็นนายน้อยอันธพาลรังแกมู่อี้และบุตรสาวในงานประลองยุทธ์เลือกคู่ คุณกรุณาตัดสินใจเลือก]
1. สั่งสอนนายน้อยอันธพาล
2. ท้าสู้มู่เนี่ยนฉือตามกติกาการประลอง
3. ดูเฉยๆ
ยังต้องถามอีกหรือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนุ่มหน้าขาวที่เจตนาไม่ดีนั่นเป็น BOSS ที่ร่ำรวยอู้ฟู่ ถ้าไม่สู้กับเขาแล้วจะสู้กับใคร
หลังจากผ่านไปหนึ่งวินาที ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เป็นอิสระจากโหมดชมการต่อสู้แล้ว เขาพุ่งขึ้นสังเวียนราวกับธนูที่พุ่งออกจากสาย ตะโกนใส่หนุ่มน้อยหน้าขาวด้วยเสียงเยียบเย็น “โจรกระจอกที่อยู่ข้างหน้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
หนุ่มน้อยหน้าขาวได้ยินแล้วหันขวับกลับมา จ้องเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ “เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
“ข้าเรียกเจ้าว่าโจรกระจอก ข้าพูดผิดหรือ” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ “การหยิบฉวยของคนอื่นไปโดยเจ้าของไม่ได้อนุญาต ถือว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์! กฏหมายบอกไว้แบบนี้!”
หนุ่มน้อยหน้าขาวได้ยินแล้วชะงักทันที เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดที่ทั้งประหลาดทั้งถูกต้องแบบนี้ ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร
และในตอนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็พูดต่อไปว่า “แถมโจรอย่างเจ้ายังไร้รสนิยมมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะขโมยรองเท้าปักลายของแม่นางมู่ไป รู้ไหมว่าแม่นางมู่จะเป็นอย่างไรหลังจากถูกเจ้าขโมยรองเท้าไป”
หนุ่มน้อยหน้าขาวได้ยินแล้วชะงักอีก “นางจะเป็นอย่างไร”
“รองเท้าอยู่เป็นคู่” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างเคียดแค้นชิงชัง “พอถูกเจ้าขโมยไปข้างหนึ่งแล้ว เช่นนั้นอีกข้างที่เหลือก็ใช้ไม่ได้แล้วอย่างไร!”