ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 184 ใครบังอาจชิงเนื้อย่างของข้า
ตอนที่ 184 ใครบังอาจชิงเนื้อย่างของข้า
ในฐานะที่เป็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงใกล้เมืองเทียนจิน ยอดเขาผิงกู่สูงใหญ่มากจริงๆ และสวยงามมากเช่นกัน
ไม่ได้มีเพียงภูเขาเท่านั้น มีแม่น้ำ มีต้นไม้ มีโขดหิน ทั้งยังมีหุบผาด้วย!
จุดนัดพบของหวังชู่อีกับพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับหุบผา แต่เป็นยอดเขาของภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ระหว่างทางต้องผ่านเขตฝึกอัปเลเวลที่มีมอนสเตอร์เลเวลสามสิบห้า
สำหรับผู้เล่นทั่วไปในปัจจุบันที่มีเลเวลไม่ถึงยี่สิบ เส้นทางสายนี้ถือเป็นความท้าทายไม่น้อย กรองผู้เล่นออกได้ 90% ขึ้นไปทีเดียว
ตรงจุดที่ใกล้ยอดเขาก็ยิ่งมี BOSS เฝ้าด่านที่ชื่อว่าผิงกู่อี้เตี่ยนหง
ด้วยความสามารถของ BOSS เลเวลสี่สิบ ก็ยิ่งทำให้ผู้เล่นที่ไม่ใช่ยอดฝีมือก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ แม้จะอยู่ห่างจากยอดเขาเพียงก้าวเดียว แต่บางคนก็ได้กลับเมืองโดยไม่เสียค่าเดินทาง
แต่พวกเยี่ยเว่ยหมิงเนื่องจากนัดพวกหวังชู่อีไว้ล่วงหน้าแล้ว ผิงกู่อี้เตี่ยนหงจึงไม่ได้กลั่นแกล้งพวกเขา เพียงมองพวกเขาปราดหนึ่ง แล้วก็ปล่อยให้พวกเขาไป
อืม…
ถ้าจะพูดให้ถูก ต่อให้ไม่ปล่อยเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่กลัวอยู่ดี
ถึงอย่างไรผิงกู่อี้เตี่ยนหงก็เป็นเพียง BOSS เล็กๆ เลเวล 40 เท่านั้น เทียบไม่ติดแม้กระทั่งหวันเหยียนคังที่ถูกเขาโจมตีจนจะเป็นจะตายด้วยซ้ำ
ถึงขั้นขนาดว่าหากไม่ใช่เพราะผิงกู่อี้เตี่ยนหงคนนี้กล่าวประโยค ‘ข้าคือ NPC ที่ซื่อสัตย์ สังหารข้าแล้วจะได้ค่าประสบการณ์ ค่าตบะน้อยมาก ไอเทมดรอปแทบจะไม่มี ทั้งยังถูกหักค่าวีรบุรุษ 30 แต้ม’ ออกมาได้ทันเวลา เยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์น้อยก็อาจจะฆ่าเขาเพื่อกำจัดภัยให้ประชาชนไปแล้วก็ได้
เมื่อมาถึงบนยอดเขา ก็เห็นหวังชู่อีกับกัวจิ้งกำลังนั่งคุยกันอยู่บนโขดหินอย่างที่คาดไว้ เมื่ออีกฝ่ายเห็นทั้งสองมาถึง หวังชู่อีก็บอกว่า “จอมยุทธ์น้อยทั้งสองมาตามนัดจริงๆ แสดงว่าข้ามองคนไม่ผิด”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “ก่อนหน้านี้ผู้น้อยได้ยินว่าท่านมีเรื่องจะหารือ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะ”
ถ้าแปลเป็นภาษาในยุคปัจจุบันก็คือ อย่ามัวแต่พูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ รีบมอบหมายภารกิจมา!
หวังชู่อีได้ยินแล้วกลับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า “หวันเหยียนคังนั่น เดิมทีแล้วมีแหล่งกำเนิดจากสำนักฉวนเจินของพวกเรา เขาไม่ใช่คนแคว้นจิน แต่เป็นชาวฮั่นผู้จงรักภักดี เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนอยู่หมู่บ้านหนิวเจียเมื่อสิบแปดปีก่อน บลาๆๆ”
หลังจากเล่าภูมิหลังของเรื่องราวที่หากเขียนออกมาเป็นนิยายจะต้องถูกคนตำหนิว่าเป็นนิยายที่มีแต่น้ำ หวังชู่อีก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ตอนนี้หยางคังตายแล้ว แต่หยางฮูหยินยังอยู่ที่จวนของท่านอ๋องแคว้นจิน ศิษย์พี่ชิวไม่อยู่ ข้าตัดสินใจว่าจะไปรับหยางฮูหยินออกมาจากจวนอ๋องแทนศิษย์พี่ ตอนนี้มีเพียงข้ากับจิ้งเอ๋อร์ คนน้อยกำลังอ่อนแอ ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยทั้งสอง…”
เป็นภารกิจภาคต่อจริงๆ!
เยี่ยเว่ยหมิงไม่กังวลปัญหาด้านความปลอดภัยแม้แต่น้อย เขาเชื่อว่าเมื่อไปถึงจวนอ๋องแล้ว จะต้องเป็นหวังชู่อีที่สู้กับ BOSS กลุ่มนั้นต่ออย่างสูสี ส่วนเขาก็รับมือเพียงปัญหาเล็กน้อยที่อยู่ในขอบเขตความสามารถ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คำตอบของเขาก็คือ “ในทางศีลธรรมไม่อาจปฏิเสธได้!”
สะพานสวรรค์พยักหน้า “ข้าก็เช่นกัน”
“จอมยุทธ์น้อยตรงไปตรงมาจริงๆ” หวังชู่อีหัวเราะลั่น จากนั้นส่ายหน้าบอกว่า “แต่น่าเสียดาย ด้วยความสามารถของจอมยุทธ์น้อยทั้งสองตอนนี้ การเข้าจวนอ๋องอาจจะอันตรายเกินไป รอให้จอมยุทธ์น้อยมีความสามารถมากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาหาข้าอีกทีดีไหม”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอารมณ์เสียทันที
ขอให้ข้ามาช่วย แต่ยังจะรังเกียจที่ข้าความสามารถไม่ถึง นักพรตเต๋าคนนี้ทำไมน่ารำคาญขนาดนี้!
ตอนนี้เอง กลับมีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้น คลายข้อสงสัยในใจของเขาแล้ว
[ติ๊ง! หวังชู่อีนัดให้คุณไปที่จวนอ๋องจ้าวเพื่อช่วย ‘หยางฮูหยิน’ กรุณาอัปเลเวลให้ถึง 40 แล้วค่อยมาหาเขาที่นี่ (หมายเหตุ: ภารกิจครั้งนี้ทำคนเดียวได้ และหาผู้เล่นคนอื่นที่ได้รับภารกิจเหมือนกันแต่ยังทำไม่สำเร็จมาตั้งทีมด้วยกันได้)]
สงสัยระบบจะจำกัดเลเวลในการรับภารกิจ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเจ้าจมูกโค[1]+คนซื่อบื้อสองคนนี้อีก จึงพาสะพานสวรรค์น้อยที่ได้รับภารกิจเหมือนกันหันตัวเดินจากไปทันที
……
เยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์ใช้ท่าร่างวิ่งลงเขาทันที
ในด้านความเร็ว อาศัยโบนัสค่าสเตตัสและอุปกรณ์ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมเร็วกว่าสะพานสวรรค์น้อยไม่ใช่แค่หนึ่งขั้น ตลอดทางที่วิ่งลงมา ล้วนเป็นเขาที่ผ่อนความเร็วให้สะพานสวรรค์น้อย ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง
แต่หากใช้สายตามองอย่างเดียว ข้อดีข้อเสียที่มีในวิชาตัวเบาของทั้งสองนั้นต้องมองกลับกัน
สะพานสวรรค์น้อยมีพื้นเพมาจากสำนักสุสานโบราณ วิชาตัวเบาปราดเปรียวว่องไว ราวกับนกนางแอ่นบินแฉลบคลื่น หากดูแค่ตอนที่นางเดินทางอย่างเดียว ก็ให้ความรู้สึกเพลิดเพลินสายตามาก
ส่วนท่าร่างของเยี่ยเว่ยหมิงกลับให้ความรู้สึกว่า…เจ้าเด็กนี่วิ่งเร็วจริงๆ!
เจ้ามองผิดหรือเปล่า ความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็คือ สะพานสวรรค์น้อยดูเหมือนเทพธิดากำลังเหาะเหิน ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงกลับดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่กำลังวิ่ง…ด้านภาพพจน์แพ้ให้อีกฝ่ายไม่ใช่แค่ระดับเดียว เจ้าว่าน่ากลุ้มใจไหมล่ะ
ขณะที่กำลังวิ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็แอบตัดสินใจเช่นกันว่าถ้ากลับไปแล้วจะต้องฝึกวิชาตัวเบาระดับสูงแน่นอน
ทำไมอย่างนั้นแล้ว ความแตกต่างระหว่างเขากับคนอื่นก็จะไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องภาพพจน์แล้ว ทั้งยังกระโดดสูงไม่ได้ด้วย มารดาเจ้าเถอะ!
มีจุดด้อยชัดเจนขนาดนี้ใครจะไปทนไหว
“พี่ใหญ่เยี่ย ต่อไปเจ้าคิดจะไปที่ไหน” สะพานสวรรค์น้อยเอ่ยถามขณะก้าวเบาๆ บนก้อนหินตลอดทางราวกับแมลงปอเกาะผิวน้ำ แต่ร่างกลับนำหน้าเยี่ยเว่ยหมิงไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
เยี่ยเว่ยหมิงก้มหน้าก้มตาวิ่งต่อไป ปากก็ยังตอบไปส่งๆ ว่า “ไม่มีอะไรทำ เตรียมจะไปอัปเลเวล”
“เรื่องอัปเลเวลมีอะไรให้รีบร้อนขนาดนั้น” จู่ๆ สะพานสวรรค์น้อยก็นึกอะไรขึ้นได้ นางเอ่ยถามอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินซานเย่ว์บอกว่าตำบลถังกูที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมีเครื่องประดับสวยๆ ขายเยอะมาก ไม่เพียงแค่สวยนะ ทั้งยังราคาถูก เพียงแต่ไม่มีการเพิ่มค่าสเตตัส ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องด่วนอะไร พี่ใหญ่เยี่ยไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหม”
เพียะ! ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงจู่ๆ ก็ตบต้นขา เกือบเสียการทรงตัวล้มลงตรงนั้น หลังจากยืนได้มั่นคงแล้ว เขาก็บอกว่า “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ ในแผนการของภารกิจสำนักชิงเฉิง ยังมีปัญหาด้านรายละเอียดบางอย่างที่ข้าต้องไปด้วยตัวเอง เจ้าไปเองดีกว่าไหม”
สะพานสวรรค์รู้ว่าเขาไม่อยากไปเดินตลาด แต่ก็ไม่พูดเปิดโปงความคิดในใจเขาเช่นกัน นางได้แต่พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไปเองก็ได้ มีเส้นทางเล็กๆ ตรงไปที่อำเภอถังกู่พอดี พวกเราแยกกันตรงนี้ก็ได้”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าซ้ำๆ “ก็ได้ ไม่มีปัญหา”
ขอเพียงไม่ต้องให้ข้าไปเดินตลาดเป็นเพื่อนเจ้า ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น!
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา สะพานสวรรค์น้อยก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างผิดหวังนิดหน่อย จากนั้นก็หันตัวเหาะเหินไปอีกทางหนึ่ง
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงหลังจากวิ่งออกมาได้สักระยะแล้ว ในที่สุดก็หยุดแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ฟู่ว อันตรายมาก!
เกือบถูกบังคับให้ไปเกณฑ์ทหารแล้ว
ไปเดินตลาดเป็นเพื่อนผู้หญิง แบบนั้นอันตรายถึงชีวิต!
ก่อนที่เยี่ยเว่ยหมิงจะขึ้นยาน เขาไม่เคยไปเดินตลาดเป็นเพื่อนผู้หญิงมาก่อน แต่เขามีเพื่อนผู้ชายที่ค่อนข้างพิถีพิถันคนหนึ่ง เพื่อที่จะซื้อเสื้อผ้าชุดเดียว อีกฝ่ายดึงเขาไปเดินตลาดตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่ง!
ตอนที่เดินออกมาจากร้าน เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกแย่ไปทั้งตัว จึงยื่นคำขาดว่า ถ้าครั้งหน้ากล้าชวนฉันไปเดินตลาดเป็นเพื่อนนายอีก…เลิกคบ!
ขนาดผู้ชายด้วยกันยังมีเรื่องประหลาดแบบนี้เลย แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิง
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วนำน้ำเปล่าออกมาหนึ่งกา กรอกใส่ปากคำใหญ่เพื่อข่มความตกใจ
หลังจากดื่มน้ำเสร็จก็รู้สึกหิวนิดหน่อย จึงนำเนื้อย่างที่อาจ้งปรุงเองกับมือออกมาหนึ่งชิ้น เขาอ้าปากเตรียมจะกัดสักคำ แต่พอเนื้อจ่ออยู่ตรงปาก เขากลับเริ่มลังเลขึ้นมา
สาเหตุที่เยี่ยเว่ยหมิงลังเล ไม่ใช่เพราะเสียดายค่าสเตตัสบนเนื้อย่าง
ความจริงแล้ว เนื้อย่างที่มีค่าสเตตัสถูกใช้ไปหมดตั้งแต่ตอนต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ในกระเป๋าสะพายหลังของเขายังมีเนื้อย่างเหลืออยู่สามชิ้น ล้วนเป็นเนื้อย่างที่เคยถูกกัดไปแล้วคำหนึ่ง ไม่มีทางเพิ่มค่าสเตตัสได้อีกแล้ว แต่ก็ยังทำให้อิ่มได้
ในจำนวนนั้นมีสองชิ้นที่เคยถูกเขากัดไปหนึ่งคำ ยังมีอีกชิ้นที่ถูกสะพานสวรรค์น้อยกัดไปหนึ่งคำ
กระเป๋าของระบบมีฟังก์ชั่นรักษาความสดในตัวเอง ตอนที่นำเนื้อย่างออกมาก็ยังร้อนอยู่เลย ยังสดใหม่เหมือนตอนที่เพิ่งย่างเสร็จ
แต่ปัญหาก็คือ กินเนื้อชิ้นที่ตัวเองเคยกัดไว้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าไปกินชิ้นที่สะพานสวรรค์น้อยเคยกัดไว้ล่ะ
ต้องทราบเอาไว้ว่า เนื้อย่างพวกนี้หลังจากถูกกัดไปหนึ่งคำแล้ว ในข้อมูลของมันก็จะเปลี่ยนเป็น ‘เนื้อหมาป่าย่างที่ถูกกัดแล้วหนึ่งคำ’ แต่ไม่ได้ใส่หมายเหตุไว้อย่างใส่ใจว่า ‘เนื้อหมาป่าย่างที่ถูกกัดแล้วหนึ่งคำโดยXXX’ เวลาผ่านไปนานแล้ว เขาจะไปแยกออกชัดเจนได้อย่างไรว่าเป็นชิ้นไหน
แม้จะบอกว่าสะพานสวรรค์เป็นสุดยอดสาวงามที่มีลักษณะไม่ธรรมดาก็ตาม
พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นของกินที่คนอื่นกินเหลือไว้ ในใจเขาก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะในกระเป๋าสัมภาระไม่มีของกินอย่างอื่นให้เลือกแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่อยากกินเนื้อย่างสามชิ้นนี้เลยจริงๆ
ตอนนี้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือ เนื้อย่างชิ้นนี้ เขาจะกิน หรือไม่กินดี
ใช่แล้ว!
ทันใดนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็เกิดความคิดบางอย่าง เขามองตรงจุดที่เนื้อย่างเคยถูกกัดแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนมันหนึ่งรอบ ไม่ว่าเนื้อย่างชิ้นนี้จะเคยถูกใครกัดไว้ แต่ตราบใดที่เลี่ยงตรงจุดที่เคยถูกกัด กินแค่ตรงจุดอื่นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ
ข้าช่างมีพรสวรรค์จริงๆ!
ขณะที่กำลังคิดแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็หายกังวลทันที เขาอ้าปากกัดเนื้อย่าง
ฟิ้ว! ชั่วพริบตาที่ปากของเยี่ยเว่ยหมิงกำลังจะสัมผัสกับเนื้อย่าง จู่ๆ กลับรู้สึกว่าในมือเบาโหวง ไม่น่าเชื่อว่าเนื้อย่างที่เคยอยู่ในมือจะหายไปแล้ว!
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ยั้งมือไม่ทัน แทบจะกัดมือตัวเองแล้ว!
ใครกันที่ใจกล้าขนาดนี้ ใครบังอาจขโมยเนื้อย่างในมือข้าไป!
[1] จมูกโค 牛鼻子 เป็นคำดูหมิ่นนักพรตเต๋า เพราะมวยผมสองจุกเหมือนจมูกวัว