ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 199 อวี๋ชางไห่ เจ้ารู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่
ตอนที่ 199 อวี๋ชางไห่ เจ้ารู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่
หลังเที่ยงวันต่อมา ศิษย์ทั้งสี่ของสำนักมือปราบวิ่งตามทางเล็กๆ ขึ้นไปยังยอดเขาชิงเฉิง
เยี่ยเว่ยหมิง เฟยอวี๋ ซานเย่ว์ นอกจากผู้เล่นสามคนนี้แล้ว ยังมีคนชุดแดงสวมหมวกงอบอีกคนตามติดมาข้างหลัง
ท่าร่างของคนผู้นี้ทั้งว่องไวทั้งประหลาด เป็นท่าร่างที่เหนือกว่าพวกเยี่ยเว่ยหมิง เพียงแต่ไม่อยากทำตัวเด่นเกินพวกเขา ถึงได้ตามอยู่ท้ายกลุ่มอย่างไม่รีบร้อนแต่ไม่อืดอาดเกินไป
ท่ามกลางเสียงพรึ่บพรั่บๆๆๆ จู่ๆ ก็มีพิราบขาวโผล่มาอีกตัว มาเกาะบนบ่าของซานเย่ว์
หลังจากสาวน้อยอ่านข้อความปราดหนึ่งก็บอกว่า “จั่วเหลิ่งฉานแห่งสำนักซงซานปรากฏตัวอยู่ตรงเขาชิงเฉิงแล้ว คนที่ร่วมเดินทางมากับเขายังมีเฟ่ยปิน ฉายามือต้าซงหยาง หนึ่งในสิบสามผู้พิทักษ์ของซงหยาง เล่อโฮ่ว ฉายามือใหญ่หยินหยาง จงเจิ้น ฉายากระบี่เก้าเพลง รวมทั้งศิษย์ซงหยางอีกเกือบร้อยคน”
พอได้ฟังข่าวนี้ เฟยอวี๋ก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ “จากข้อมูลที่ข้ามี สิบสามผู้พิทักษ์แห่งซงซานอยู่อันดับต้นๆ แต่ละคนมีศักยภาพใกล้เคียงเจ้าสำนักห้าขุนเขากระบี่ ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีอวี๋ชางไห่คนเดียวเลย!…
…จั่วเหลิ่งฉานคนนี้ไม่ใช่แค่มาด้วยตัวเอง ทั้งยังพาผู้พิทักษ์อันดับต้นๆ จากสิบสามผู้พิทักษ์มาด้วย เขามาเพื่อกำจัดอวี๋ชางไห่ชัดๆ!”
เฟยอวี๋ชะงักไปครู่เดียว แล้วก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “แต่ซานเย่ว์ เมื่อวานข้าก็อยากจะถามเจ้าอยู่พอดี อย่าบอกนะว่าในเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าวัน เจ้าก็มีเครือข่ายข่าวกรองที่ชิงเฉิงเป็นของตัวเองแล้ว”
“ไม่บอกเจ้าหรอก!” ซานเย่ว์เชิดหน้าตอบอย่างลำพองใจ
เฟยอวี๋หาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจแล้ว ไม่น่าเลย เขาก้มหน้าเดินทางต่อไป
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดไปเรื่อยว่า “ตอนนี้ความสามารถในการทำงานของเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆ ข้าโล่งอกแล้ว”
ซานเย่ว์เผยรอยยิ้มบนใบหน้าทันที “ที่จริงจะว่าไปแล้ว ก็ต้องขอบคุณอุปกรณ์พวกนั้นที่เจ้าเคยฝากให้ข้าขาย ข้าคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องขายทิ้ง ไม่สู้ตั้งแผงขายใกล้ๆ สำนักชิงเฉิงไปเลยดีกว่า ผลก็คือเจอหัวหน้าพรรคเล็กๆ คนหนึ่งกำลังฝึกอัปเลเวลอยู่แถวนั้น…
…เพราะอุปกรณ์ที่เจ้าให้มามีคุณภาพดีมาก ทั้งยังมีจำนวนมาก ในระหว่างที่ต่อรองราคากัน พวกเราก็เลยพูดคุยจนสนิทกันแล้ว…
…หลังจากรู้ว่าพรรคของพวกเขาฝึกอัปเลเวลบริเวณนี้ ข้าก็ฝากฝังให้นางรวบรวมข่าวชั้นหนึ่งแถวนี้มาให้ โดยเฉพาะทิศทางการเคลื่อนไหวของพวก NPC ขอเพียงข่าวมีมูลความจริง ข้าก็จะจ่ายเงินตามบรรทัด นางเองก็ตอบตกลงด้วยความยินดีเช่นกัน”
ขณะที่พูด นางยังขยิบตาให้เยี่ยเว่ยหมิงด้วย “พรรคนั้นแม้จะเล็ก แต่หัวหน้าพรรคของพวกนางเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยนะ ให้ข้าแนะนำให้เจ้าสักหน่อยไหมล่ะ”
เยี่ยเว่ยหมิงรีบส่ายหน้าสื่อว่าไม่ต้องการ รอยยิ้มของซานเย่ว์ก็ยิ่งร่าเริงขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่เฟยอวี๋ที่มองอยู่ข้างๆ ปวดประสาทอยู่พักหนึ่ง
ตอนที่ข้าถามเจ้าไม่ตอบ แต่เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่ทันถาม เจ้าก็พูดฉอดๆ ออกมาหมดแล้ว
เลือกปฏิบัติชัดเจนเกินไปไหม
พูดคุยกันเสียงดังตลอดทาง ในที่สุดทั้งสี่มาถึงจวนของอวี๋ชางไห่ที่อยู่ตรงไหล่เขาแล้ว
อวี๋ชางไห่แม้จะเป็นเจ้าสำนักชิงเฉิง แต่อายุกลับไม่มาก กอปรกับปีนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงครบรอบวันเกิดหลักสิบปี ย่อมไม่จัดงานเลี้ยงใหญ่โตในอารามเจี้ยนฝูอยู่แล้ว
จากข่าวที่ซานเย่ว์สืบมาได้ งานวันเกิดปีนี้ของอวี๋ชางไห่จัดที่จวนของตัวเองเท่านั้น
นี่ไม่ใช่ความลับอะไร ข่าวจึงไม่ผิดพลาดแน่นอน
งานวันเกิดของเจ้าสำนักคนหนึ่ง ก็ย่อมต้องคึกคักไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถึงขนาดว่าตอนที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงมาถึงก็ยังไม่ดึงดูดความสนใจของพวก NPC เลยสักนิด
ส่วนพวกผู้เล่น?
ผู้เล่นแต่ละคนของสำนักชิงเฉิงต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการอวยพรวันเกิดให้อวี๋ชางไห่ หลังจากรับซองอั่งเปาแล้ว พวกเขาก็กินดื่มด้วยกันอีกยกหนึ่ง
จะมีคนสนใจได้อย่างไรว่าตรงหน้าประตูมีคนแปลกหน้าหลายคนโผล่มา
ส่วนอวี๋ชางไห่ก็รู้ว่าตัวเองมีฐานะอย่างไรในยุทธภพ จึงไม่ได้เชิญสหายร่วมเส้นทางมากชื่อเสียงพวกนั้นมาร่วมงานเลี้ยง ผู้ที่มาอวยพรวันเกิดให้เขาล้วนเป็นชาวยุทธ์ธรรมดาที่อยู่ใกล้ๆ สำนักชิงเฉิง ส่วนใหญ่เป็นครูฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ ผู้คุ้มภัยที่ทำการค้าอยู่แถวนี้ รวมทั้งพวกเศรษฐีบ้านนอกด้วย
แม้คนพวกนี้จะไม่โดดเด่นน่าโอ้อวด แต่กลับมีจิตสำนึกที่สุนัขขี้ประจบควรจะมี แต่ละคนไม่เพียงแค่นำของขวัญล้ำค่ามามอบให้ ทั้งยังกล่าวสรรเสริญจนอวี๋ชางไห่แทบลอยขึ้นฟ้า
ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นไม่สนใจ พวกเยี่ยเว่ยหมิงหลบอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตาคนเพื่อสังเกตแนวโน้มสถานการณ์อย่างเงียบๆ แต่ละคนทำท่าเหมือนรอดูละครฉากเด็ด
หลินผิงจือที่สวมหมวกงอบเห็นท่าทางกำเริบเสิบสานของอวี๋ชางไห่แล้วโมโหจนตัวสั่น
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้น ก็รีบตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “สหายหลินอย่าใจร้อน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของอวี๋ชางไห่แล้ว อีกประเดี๋ยวต้องพ่ายแพ้สิ้นชื่อ จากงานเกิดกลายเป็นงานศพแน่นอน ปล่อยให้เขาดีใจไปก่อนจะเป็นไรไป”
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หลินผิงจือถึงได้สงบลงบ้างนิดหน่อย
ตอนนี้เอง จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินศิษย์สำนักชิงเฉิงที่ทำหน้าที่รับแขกอยู่นอกประตูใหญ่ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าสำนักเยว่แห่งสำนักหัวซาน!”
เมื่อประกาศมาแบบนี้ เขตลานบ้านที่เดิมทีคึกคักก็เงียบลงในฉับพลัน
แม้แต่อวี๋ชางไห่ที่อยู่ในโถงก็อดยืนขึ้นไม่ได้เช่นกัน
ตั้งแต่เริ่มงานวันเกิดจนถึงตอนนี้ ในที่สุดพี่ใหญ่ของยุทธภพที่โด่งดังกว่าอวี๋ชางไห่ก็ปรากฏตัวแล้ว!
ต้องกล่าวว่า แม้ในกระบวนการรับรู้ของ NPC สำนักหัวซานจะเป็นเพียงสำนักที่เหี่ยวเฉา แต่อย่างไรเสีย อูฐที่ผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า เป็นหนึ่งในห้าขุนเขากระบี่ ฐานะในยุทธภพต้องสูงกว่าชิงเฉิงหนึ่งระดับแน่นอน
เมื่อพี่ใหญ่แบบนี้ปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความรู้สึก หรือทางด้านเหตุผล อวี๋ชางไห่ก็ไม่อาจนั่งสงบอยู่กับที่ได้อีก แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเย่ว์ปู้ฉวินไม่ได้มาดี แต่ก็ยังออกไปต้อนรับทันทีที่รู้ข่าว
เมื่อเห็นอวี๋ชางไห่มีท่าทีฉุกละหุกมาตั้งแต่ไกลๆ ซานเย่ว์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ข้าว่าอวี๋ชางไห่เหมือนจะกังวลอยู่บ้างจริงๆ ดูท่าแล้วแผนการของชีชีนั่นคงไม่ได้ทำให้เขาเบาใจ”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า “เมื่อวานข้าก็แค่ปากไวเท่านั้น ถึงได้พูดคำนั้นออกมา พอลองย้อนคิดดู จู่ๆ ก็พบว่าเมื่อเย่ว์ปู้ฉวินปรากฏตัวกะทันหัน วิธีการรับมือที่ดีที่สุดของชีชี ที่จริงแล้วก็คือไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
“ยังคงเป็นสหายเยี่ยที่เข้าใจข้า” ตอนที่ทั้งสามปรึกษากัน เสียงของชีชีกลับดังมาจากที่ไกลๆ พอหันกลับไปมอง หนุ่มน้อยผู้สง่างามคนนี้ก็เดินมาทางฝั่งพวกเขาแล้ว “วิธีการนี้ของเย่ว์ปู้ฉวินไม่ใช่กลยุทธ์ลับ แต่เป็นกลยุทธ์เปิดเผย!”
ขณะที่พูด ชีชีก็เดินมาถึงตรงหน้าทั้งสี่ “เขารู้อยู่แจ่มแจ้งว่าลูกศิษย์ของตัวเองนิสัยเป็นอย่างไร แต่ก็ยังส่งลิ่งหูชงนั่นมาที่ชิงเฉิงคนเดียว ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าจงใจให้เขามาก่อเรื่อง…
…แต่ต้นตอของปัญหาก็ยังอยู่ที่ความกำเริบเสิบสานของสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิง ถ้าจะให้พูด ก็เป็นสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อตรง แต่ลิ่งหูชงกลับมีนิสัยรักความยุติธรรม อย่างร้ายแรงที่สุดก็นับว่าเขาล่วงเกินเพื่อนร่วมยุทธภพ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สำนักหัวซานเสียหน้า…
…แต่อาจารย์ของข้ากลับลงมือโจมตีลิ่งหูชงนั่นจนสาหัส ทำให้กลายเป็นฝ่ายขาดเหตุผลทันที พอเป็นแบบนี้ ต่อให้เย่ว์ปู้ฉวินต้องการจะลงมือกับสำนักชิงเฉิง เพื่อร่วมยุทธภพก็คงไม่ว่าอะไรมากนัก…
…วิธีการนี้ของเขา หากเทียบกับวิธีการที่สำนักชิงเฉิงใช้รับมือกับสำนักคุ้มภัยฝูเวยก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าไม่แตกต่างกัน แต่กลับเหนือชั้นกว่าไม่ใช่แค่หนึ่งระดับ”
และในตอนนี้เอง เย่ว์ปู้ฉวินที่อยู่กลางลานบ้านก็นำของสิ่งหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้วกล่าวกับอวี๋ชางไห่ด้วยรอยยิ้ม “หลายวันก่อนข้าเก็บตัวฝึกฝนอยู่ที่หัวซาน พลังก้าวหน้าเล็กน้อย เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สงบที่สุด ข้าไปกำจัดหลิ่วอวี้ชุนที่ฆ่าคนปล้นทรัพย์อยู่แถวหัวซาน แล้วได้เสื้อไข่มุกชิ้นนี้มาจากตัวเขา ของล้ำค่าเช่นนี้ ผู้แซ่เย่ว์ย่อมไม่กล้าเก็บไว้ส่วนตัว ลองคำนวณวันเวลาแล้ว พบว่าใกล้ถึงงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของเจ้าสำนักอวี๋พอดี จึงยืมดอกไม้ถวายพระ[1]เสียเลย หวังว่าเจ้าสำนักอวี๋จะไม่รังเกียจ”
เมื่อเย่ว์ปู้ฉวินกล่าวคำนี้ออกมา ก็ทำให้รอบข้างมีเสียงตะโกนชื่นชมเป็นแถบ
ฉายาของหลิ่วอวี้ชุนคือหนูข้ามถนน ปกติทำเรื่องชั่วช้ามาสารพัดอย่าง กล่าวได้ว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ เย่ว์ปู้ฉวินลงมือสังหารโจรคนนี้ด้วยตัวเอง นับเป็นการกำจัดภัยใหญ่ของยุทธภพ
หลังจากเขาได้สมบัติชิ้นนี้มาแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาเป็นของขวัญวันเกิดให้อวี๋ชางไห่ แสดงว่าเขาก็ให้ความสำคัญกับอวี๋ชางไห่มากพอสมควร
ส่วนบรรดาสุนัขขี้ประจบที่มาเพื่อเลียแข้งเลียขาอวี๋ชางไห่ก็ย่อมไม่พลาดโอกาสประจบพี่ใหญ่ทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้อยู่แล้ว พวกเขาพ่นคำพูดสรรเสริญเยินยอต่างๆ ไปทั่วทุกมุมของเขตลานบ้านราวกับเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ชีชีก็อดส่ายหน้ายิ้มเจื่อนไม่ได้ “เจรจาพาทีก่อนค่อยใช้กำลัง แบบนี้ภาพลักษณ์กระบี่วิญญูชนของเย่ว์ปู้ฉวินก็สูงขึ้นอีกระดับแล้ว จะว่าไป เขาก็ใช้วิธีการนี้ได้อย่างงดงามมาก คงไม่ใช่กลอุบายที่มาจากสหายเยี่ยหรอกกระมัง”
“ข้าไม่เป็นแพะรับบาปเรื่องนี้หรอก!” สำหรับการหยั่งท่าทีของชีชี ครั้งนี้เยี่ยเว่ยหมิงให้คำตอบโดยการปฏิเสธเสียเลย “พวกเราแค่ประกาศว่านำศีรษะของเย่ว์ปู้ฉวินกับอวี๋ชางไห่มาแลกกับข่าว ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ได้ ที่เหลือก็อาศัยฝีมือของพวกเขาล้วนๆ มิเกี่ยวกับข้า”
ชีชีได้ยินแล้วรีบถามซักไซ้ “สำนักซงซานก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหรือ”
“ไม่ผิดหรอก เป็นพวกเราเองที่แจ้งให้สำนักซงซานรู้” หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ก็ถามกลับว่า “ข้าว่าแม้แต่ส่วนเล็กๆ นี้ก็คงปิดบังสหายชีชีไม่อยู่สินะ”
“ข้ารู้แล้วอย่างไรล่ะ” ชีชีส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม “ถ้าอยากจะแก้เผ็ดอุบายของเย่ว์ปู้ฉวิน วิธีการเดียวก็คือให้สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงบาดเจ็บหนักกว่าลิ่งหูชง ถึงขั้นกำจัดทิ้งไปสองคนได้ก็ยิ่งดี เมื่อเป็นอย่างนั้น ขอเพียงเย่ว์ปู้ฉวินยังต้องการฉายากระบี่วิญญูชนของตัวเองอยู่ ก็ไม่อาจหาเรื่องสำนักชิงเฉิงของข้าต่อไปได้อีกแล้ว สี่คนนั้นล้วนเป็นผู้ภักดีที่แท้จริงของอาจารย์ข้าเชียวนะ!”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่ทั้งสี่ล้วนฟังความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขาออกแล้ว
หากเขากล้าเสนอให้อวี๋ชางไห่ลงมือกับสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิง ไม่ว่าอุบายนี้จะถูกยอมรับหรือไม่ ค่าความรู้สึกดีที่อวี๋ชางไห่มีต่อเขาก็จะเพิ่มขึ้นมากแน่นอน
ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงประเมินว่าเขาเป็น ‘จย่าสวี่’ และจุดที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดของจย่าสวี่ก็คือ ในบรรดากุนซือทุกคน เขาก็คือคนสนใจผลประโยชน์ส่วนตัวที่สุด ไม่ใช่คนที่สนใจผลประโยชน์ส่วนรวม
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินผิงจือที่อยู่ข้างกันก็อดแสยะยิ้มไม่ได้ “พวกเจ้าน่ะจิตใจสกปรกกันทั้งนั้น”
“ใจเย็น” เยี่ยเว่ยหมิงรีบตบบ่าหลินผิงจือ “เรื่องแบบนี้ เจ้าไม่เพียงแค่ไม่ควรรังเกียจนะ กลับต้องเรียนรู้จนเกิดความเคยชินด้วย”
ชีชีได้ยินแล้วชำเลืองหลินผิงจือด้วยสายตาแปลกๆ แวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงพูดประเด็นเมื่อครู่นี้ต่อไป “คนไม่สนิทไม่ควรยุ่ง แล้วจะทำอย่างไรได้”
ส่วนตอนนี้ หลังจากทักทายปราศัยกันสองสามประโยค จู่ๆ เย่ว์ปู้ฉวินก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา ถามอวี๋ชางไห่ว่า “เจ้าสำนักอวี๋ เมื่อวานลิ่งหูชง ศิษย์จอมดื้อรั้นของข้ากระทำบุ่มบ่าม ทำร้ายศิษย์ทั้งสี่ของเจ้าแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่ทันรอให้อวี๋ชางไห่ตอบ ศิษย์สำนักชิงเฉิงทั้งสี่ก็เดินมาอยู่ข้างๆ แล้ว เป็นสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงนั่นเอง โหวเหรินอิงที่อยู่หน้าสุดก็ยิ่งกล่าวอย่างอวดดีไร้ที่เปรียบว่า “ลิ่งหูชงกระจอกๆ คนเดียว จะทำพวกเราบาดเจ็บได้อย่างไร”
มองออกเลยว่า เป็นเพราะข่าวที่เย่ว์ปู้ฉวินสั่งสอนลิ่งหูชงที่โรงเตี๊ยมเมื่อวานนี้แพร่ออกไป กอปรกับเขาเองเป็นฝ่ายมามอบของขวัญแสดงไมตรีก่อน ทำให้เจ้าพวกนี้เข้าใจผิดว่าเย่ว์ปู้ฉวินกลัวอวี๋ชางไห่ ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดจาเหมือนไม่เห็นหัวเจ้าสำนักห้าขุนเขากระบี่ผู้นี้เลยสักนิด
เมื่อได้เห็นฉากนี้ ชีชีก็ยิ่งเอามือปิดหน้าตัวเอง “ดูสหายร่วมทีมโง่เง่าพวกนี้ของข้าสิ NPC ร่วมสำนักแบบนี้ ถ้าข้าแพ้ก็ยุติธรรมแล้ว!”
จากนั้นเขาก็หันกลับมาพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเพียงอยากถามสหายเยี่ยคำเดียว ในแผนการของสหายเยี่ยครั้งนี้ ชื่อของสำนักชิงเฉิงจะหายไปจากยุทธภพหรือเปล่า”
ครั้งแรกที่สองคนนี้เจอกัน ชีชีเองก็เคยถามคำถามประมาณนี้กับเยี่ยเว่ยหมิงเช่นกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงไม่อยากเปิดเผยเส้นตายของตัวเอง จึงเลี่ยงตอบคำถาม ตอนนี้อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังต่อไปอีกแล้ว
ดังนั้นยี่ยเว่ยหมิงจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการมากกว่า “สำนักชิงเฉิงสร้างมาเป็นร้อยปี ไม่อาจถูกปฏิเสธจากยุทธภพเพียงเพราะอวี๋ชางไห่คนเดียว ราชสำนักไม่ได้มีความคิดจะล้างเลือดยุทธภพเช่นกัน”
ถ้าพูดอะไรพวกนี้ออกมาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็จะวางแผนโดยมีเป้าหมายชัดเจนได้
ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยู่ในเงื่อนไขที่ไม่รู้สถานการณ์ ตอนวางแผนเขาก็ต้องคำนึงถึงทุกด้าน แต่ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าเป้าหมายของสำนักมือปราบมีเพียงพรรคพวกของอวี๋ชางไห่ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องอื่นมากขนาดนั้นแล้ว
ตอนนี้ผ่านขั้นตอนการวางแผนมาแล้ว ทุกอย่างเหมือนเป็นลูกธนูที่ง้างรออยู่บนสาย เยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับเขา เขาจะได้ไม่มีความกังวลหลงอยู่ในใจ แล้วยอมทำทุกอย่างเพื่อสร้างปัญหาให้ตน
ชีชีได้ยินแล้วถอนหายใจยาว ถ้าวันนี้สำนักชิงเฉิงถูกสังหารจนสำนักล่มจริงๆ เช่นนั้นศิษย์สำนักชิงเฉิงอย่างพวกเขาก็จะโชคร้ายกันหมด วิทยายุทธ์ทั้งหมดจะถูกหักไปสองเลเวล บทลงโทษไม่ต่างอะไรกับการทรยศสำนัก
แต่ถ้าสำนักชิงเฉิงยังปลอดภัย มีเพียงอวี๋ชางไห่และพรรคพวกที่ตายหมด แม้พวกเขาจะได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่กลับอยู่ในขอบเขตที่รับไหว
เขากุมหมัดคารวะเยี่ยเว่ยหมิง “ขอบคุณสหายเยี่ยที่บอกความจริง ตอนนี้น้องชายอยู่คุยเป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าไม่อยากถูกฆ่าตายที่นี่”
พอพูดจบ ก็ไม่น่าเชื่อว่าชีชีจะหันตัวเดินออกไปจากลานบ้านแล้วจริงๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น เฟยอวี๋ก็อดถามเยี่ยเว่ยหมิงอย่างสงสัยไม่ได้ “เขายอมแพ้แล้วจริงๆ หรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ “ชีชีคนนี้ ข้าเองก็มองเขาไม่ออกเช่นกัน แต่ด้วยแนวโน้มของสถานการณ์ตรงหน้า ไม่ว่าเขาจะยอมแพ้จริงหรือไม่ ก็เปลี่ยนแปลงจุดจบในวันนี้ของอวี๋ชางไห่ไม่ได้หรอก”
ตอนนี้ บรรยากาศในเขตลานบ้านเริ่มตึงเครียดเพราะการปรากฏตัวของสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงแล้ว
พอเย่ว์ปู้ฉวินเห็นสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงยังไม่ตาย ในใจก็เริงร่าราวกับมีดอกไม้บาน แต่ยังแสร้งทำสีหน้าเหมือนแปลกใจมาก ถามอวี๋ชางไห่ว่า ในเมื่อศิษย์ของเขาไม่เป็นอะไร แล้วเหตุใดยังลงมือกับลิ่งหูชงรุนแรงขนาดนั้น
อวี๋ชางไห่รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้านเหตุผล แต่ไหนๆ ก็ลงมือไปแล้ว เขาทำได้เพียงแข็งใจบอกว่า “ดูท่าวันนี้เจ้าสำนักเยว่คงจะมาซักไซ้เอาความที่สำนักชิงเฉิงของข้าสินะ”
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้น ก็พูดเสียงต่ำกับสหายข้างกายทั้งสามว่า “ไฟกำลังได้ที่ ตอนนี้ถึงเวลาขึ้นเวทีแสดงของพวกเราแล้ว”
จากนั้น ไม่ทันรอให้เย่ว์ปู้ฉวินแสดงปฏิกิริยาใดๆ เสียงตะโกนตัดบทก็ดังออกมาจากปากเขาแล้ว “อวี๋ชางไห่ เจ้ารู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่!”
[1] ยืมดอกไม้ถวายพระ 借花献佛 ใช้เปรียบเปรยว่านำของที่ผู้อื่นให้มามอบให้กับอีกคนหนึ่งเป็นน้ำใจ