ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 200 เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด
ตอนที่ 200 เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด
“อวี๋ชางไห่ เจ้ารู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่!”
เยี่ยเว่ยหมิงตะคอกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เขตลานบ้านใหญ่ของตระกูลอวี๋ที่เดิมทีก็บรรยากาศอึดอัดอยู่แล้วยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วขณะนั้น สายตาของทุกคนในงานย้ายจากตัวเจ้าสำนักใหญ่ของยุทธภพอย่างอวี๋ชางไห่กับเย่ว์ปู้ฉวินไปยังสี่มือปราบแห่งสำนักมือปราบที่อยู่ในมุมแล้ว
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงเดินนำออกมาจากกลุ่ม ส่วนสหายอีกสามคนเดินตามหลังมาติดๆ บรรดาครูฝึกยุทธ์ ผู้คุ้มภัย เศรษฐีบ้านนอก รวมทั้งศิษย์สำนักชิงเฉิงที่เดิมทีมาอวยพรวันเกิดให้อวี๋ชางไห่ เนื่องจากตกใจที่จู่ๆ พวกเขาก็ทำตัวสง่างามภูมิฐาน ตอนนี้จึงพากันถอยออกเป็นสองฝั่ง เปิดเส้นทางที่ทั้งตรงทั้งกว้างให้กับพวกเขาแล้ว
พวกเขาเดินตรงไปหาอวี๋ชางไห่!
เยี่ยเว่ยหมิงเร่งฝีเท้าเดินมาถึงตรงหน้าอวี๋ชางไห่กับเย่ว์ปู้ฉวินที่อยู่กลางเขตลานบ้าน แล้วเผยป้ายแขวนเอวของสำนักมือปราบ เฟยอวี๋และซานเย่ว์ที่อยู่ข้างหลังก็ทำอย่างนี้เช่นกัน จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็เป็นคนเอ่ยว่า “พวกเราเป็นมือปราบที่สำนักมือปราบมอบหมายให้จัดการคดีนี้ จากข่าวกรองที่มีในปัจจุบัน พบว่าอวี๋ชางไห่รวมถึงศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักชิงเฉิงตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าสังหารผู้บริสุทธิ์ที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย ทั้งยังสังหารหลินเจิ้นหนานและฮูหยินแห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่นอกเมืองลั่วหยางด้วย มีหลักฐานน่าเชื่อถือ”
ขณะที่พูดเขาก็วางป้ายอาญาสิทธิ์แล้วมองอวี๋ชางไห่อย่างเยียบเย็น “ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเงียบ แต่ทุกอย่างที่เจ้าพูดจะกลายเป็นหลักฐานในชั้นศาล เจ้าสำนักอวี๋ หวังว่าเจ้าจะเลิกขัดขืน ไปสำนักมือปราบกับพวกเราสักเที่ยว แล้วให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ”
อะไรนะ
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเว่ยหมิงลงมือกับเจ้าสำนักชิงเฉิงอวี๋ชางไห่โดยอ้างเรื่องสำนักคุ้มภัยฝูเวย ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เริ่มมีสีหน้าพิกล
สำหรับชาวยุทธ์ที่อยู่ในงานตอนนี้ ‘เกิดเรื่องในยุทธภพ แก้ไขกันเองในยุทธภพ’ กลายเป็นกฎไร้ลายลักษณ์อักษรที่ฝังอยู่ในส่วนลึกในใจทุกคนแล้ว
ในทางกลับกัน หากราชสำนักคิดเข้ามาแทรกแซงเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ ทุกคนก็จะตั้งตัวเป็นปฎิปักษ์
นี่ก็คือตรรกะประหลาดของชาวยุทธ์พวกนี้ ตัวเองอยู่ระดับต่ำสุดของยุทธภพเป็นเป้าให้บรรดาสำนักใหญ่เหล่านั้นกดขี่แท้ๆ แต่กลับคิดไปเองว่าตัวเองเป็นชาวยุทธ์ที่สุกงอมคนหนึ่ง มักยืนมุมเดียวกับบรรดาสำนักพี่ใหญ่เหล่านั้นยามไตร่ตรองปัญหา
การเปลี่ยนมุมมองไตร่ตรองปัญหาแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องให้สำนักใหญ่เหล่านั้นโน้มนำเลย พวกเขามีจิตสำนึกมาก!
แต่กลับไม่ลองคิดจากมุมของตัวเองเสียบ้างว่าหากสำนักใหญ่ของอวี๋ชางไห่ถูกราชสำนักควบคุมให้อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ว่าพวกเขาจะเปิดโรงเรียนสอนการต่อสู้ หรือรับจ้างคุ้มภัย เมื่อไม่ต้องแบ่งรายได้ไปติดสินบนสำนักใหญ่เหล่านั้นแล้ว ก็จะเหลือเงินให้ตัวเองมากขึ้น
เพียงแต่ความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อพฤติกรรมของสำนักมือปราบ ก็ทำได้เพียงแสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น ถึงขั้นเก็บไว้ในใจอย่างเดียว
แต่ตอนนี้กลับไม่กล้ายืนขึ้นวิจารณ์อย่างโจ่งแจ้ง
เนื่องจากพวกเขามีเรื่องกับอวี๋ชางไห่ไม่ไหว มีเรื่องกับราชสำนักไม่ไหวเช่นกัน!
ส่วนอวี๋ชางไห่ที่เป็นเป้าหมายโจมตีหลัก ตอนที่ได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงตะคอกถาม กลับเผยสีหน้าไม่สนใจไยดี เพียงถามกลับด้วยน้ำเสียงปกติว่า “อ้อ? เมื่อครู่ท่านขุนนางบอกว่าข้าเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม ไม่ทราบว่ามีหลักฐานหรือไม่ หากไม่มี ก็ขออภัยที่อวี๋ผู้นี้จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ก็สบตากันปราดหนึ่ง
นี่เป็นแผนรับมือที่ชีชีเตรียมไว้ให้อวี๋ชางไห่อย่างนั้นหรือ
พอนึกถึงตรงนี้ ทั้งสองกลับเผยรอยยิ้มที่สื่อถึงความเข้าใจออกมาพร้อมกัน
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ยิ้ม ยังคงทำหน้านิ่งพร้อมพูดอย่างมีเหตุผลต่อไปว่า “เจ้าทุกข์หลินผิงจือก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่ยอมให้เจ้าแก้ตัวง่ายๆ หรอก”
ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมคนหนึ่ง เขาจะยิ้มในระหว่างที่จัดการคดีไม่ได้เด็ดขาด แต่เฟยอวี๋กับซานเย่ว์จัดเป็นอีกประเภทหนึ่ง พวกเขาอดใจไว้ไม่ไหว
พวกเขากลั้นยิ้มไม่ไหว แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับหน้าตึงมาก ขณะที่พูดก็หันกลับไปมองข้างหลัง คนอื่นที่อยู่ในเขตลานบ้านใหญ่ของตระกูลอวี๋มองตามสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว ย้ายสายตาไปบนตัวชายชุดแดงสวมหมวกงอบที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลังเขามาตลอด “คุณชายหลิน คนที่ฆ่าพ่อแม่ของเจ้า ทำให้เจ้าบ้านแตกสาแหรกขาดคือใครกันแน่ เจ้ายังจำได้หรือเปล่า”
หลินผิงจือที่แสร้งทำตัวเป็นคนล่องหนอยู่ข้างหลังทั้งสามมาตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว พอได้ยินคำถามก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที ถอดหมวกงอบโยนไว้ข้างๆ ก่อนจะชี้หน้าอวี๋ชางไห่ “เป็นเขา!”
เมื่อเห็นหลินผิงจือกล้าชี้หน้าตัวเอง ในดวงตาอวี๋ชางไห่ก็ฉายแววดุร้ายปราดหนึ่ง แต่กลับแสร้งทำท่าทางจริงจัง “เจ้าเองหรือ หลินผิงจือ เช่นนั้นก็ดี ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าบอกว่าข้าสังหารพ่อแม่เจ้า เรื่องนี้เจ้าเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า”
“เอ่อ…” หลินผิงจือได้ยินแล้วชะงักไป ตอนที่หลินเจิ้นหนานและฮูหยินถูกสังหาร เขายังอยู่ในคุกใหญ่ของสำนักมือปราบ จะไปเห็นกับตาตัวเองได้อย่างไร
เมื่อเห็นหลินผิงจือพูดไม่ออก บนใบหน้าอวี๋ชางไห่กลับเผยยิ้มลำพองใจ “ที่แท้เวลาสำนักมือปราบตัดสินคดี ก็อาศัยเพียงคำให้การเหลวไหลของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียวสินะ…
…ช่างน่าเศร้าจริงๆ แต่ก็น่าขันเช่นกัน!…
…ถุงสุราห่อข้าว[1]อย่างพวกเจ้า กลับไปกินดื่มรอความตายอยู่ในจวนว่าการน่ะดีแล้ว คู่ควรที่จะมาทำตัวน่าอับอายขายขี้หน้าที่สำนักชิงเฉิงด้วยหรือ”
หลังจากสบถด่าอย่างไม่เกรงใจอยู่พักหนึ่ง อวี๋ชางไห่ก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
ราวกับความโกรธที่เก็บกลั้นอยู่ในใจมาหลายปีถูกระบายออกมาในคราเดียว เขารู้สึกโล่งไปทั้งตัว ถึงขั้นแม้แต่อากาศขุ่นมัวในเขตลานบ้านใหญ่ เวลาสูดลมหายใจเข้าก็รู้สึกสดชื่นกว่าอากาศบนดาดฟ้าของชิงเฉิงเสียอีก
เขารู้สึกโล่งสบายมาก!
และเมื่อได้ยินอวี๋ชางไห่ด่าทอต่อหน้า เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้แสดงอาการโมโหเลยสักนิด กลับเผยรอยยิ้มจอมปลอมอย่างมืออาชีพออกมา
ขณะเดียวกันนี้เอง เขาก็ส่งข้อความไปในช่องทีมอย่างแนบเนียน [บันทึกไว้!]
พอได้รับคำสั่งของเยี่ยเว่ยหมิง เฟยอวี๋ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ทำตามแผนที่ทั้งสามปรึกษากันไว้ก่อนหน้านี้ทันที นำพู่กันและกระดาษออกมา แล้วเขียนไปพลางพูดไปพลาง “ผู้ต้องสงสัยอวี๋ชางไห่ปฏิเสธข้อเท็จจริง ไม่เพียงแค่เล่นลิ้นบิดเบือน ทั้งยังด่าทอเจ้าหน้าที่ของราชสำนักต่อหน้าธารกำนัล ปลุกปั่นอารมณ์ของชาวยุทธ์ที่อยู่ตรงนี้ จงใจสร้างความขัดแย้งกับราชสำนัก มีเจตนาไม่บริสุทธิ์!”
พอได้ยินคำคำพูดของเฟยอวี๋ คนในยุทธภพที่อยู่ตรงนั้น แม้กระทั่งเย่ว์ปู้ฉวินที่จิตใจยากแท้หยั่งถึงก็ยังอดสูดหายใจลึกด้วยความตกตะลึงไม่ได้
ประโยคธรรมดาเพียงไม่กี่ประโยคของเขา กลับยัดข้อหาใหญ่ที่อวี๋ชางไห่รับไม่ไหวแล้ว
ปลุกปั่นอารมณ์คนในยุทธภพ เจตนาสร้างความขัดแย้งระหว่างยุทธภพและราชสำนัก
เรื่องแบบนี้ถ้าจะพูดให้ฟังดูเป็นเรื่องใหญ่ ก็เรียกว่าการก่อกบฏ!
หากข้อหานี้เป็นความจริงเมื่อไร อย่าว่าแต่อวี๋ชางไห่เลย แม้แต่ไต้ซือฟางเจิ้งแห่งเส้าหลิน นักพรตเต๋าชงซวีแห่งอู่ตังก็รับไม่ไหวเช่นกัน!
หากเทียบกับการฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยฝูเวยก็ไม่รู้ว่าร้ายแรงกว่าตั้งกี่เท่า!
คำพูดของขุนนางเชื่อถือไม่ได้จริงๆ มีเรื่องด้วยไม่ไหว!
ที่จริงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้หวังว่าอาศัยคดีของสำนักคุ้มภัยฝูเวยแล้วจะทำอะไรอวี๋ชางไห่ได้
อย่างไรเสีย เมื่ออยู่ในเงื่อนไขที่ไม่อาจนำศพเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานในชั้นศาล พวกเขาก็หาหลักฐานที่แน่นหนาเพื่อมัดตัวว่าอวี๋ชางไห่เป็นคนร้ายคดีฆาตกรรมไม่ได้เลย
แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ปกติ อวี๋ชางไห่ที่เป็นเจ้าสำนักย่อมไม่อาจคุยเรื่องหลักฐานกับพวกเขาตามกฎระเบียบอยู่แล้ว
เพราะเรื่องนี้ไม่เข้ากับเจ้าสำนักที่ชอบอวดเก่งอย่างเขา!
อิงตามหลักการทั่วไป อวี๋ชางไห่จะต้องใช้ข้ออ้างประมาณว่า ‘เกิดเรื่องในยุทธภพ แก้ไขกันเองในยุทธภพ’ มาเถียงข้างๆ คูๆ แสดงความเป็นอิสระในฐานะที่ตัวเองเป็นของพี่ใหญ่แห่งยุทธภพ
นี่ต่างหากที่สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของเขามากกว่า
แต่ขอเพียงเขากล้าทำอย่างนี้เมื่อไร ก็เท่ากับว่าเขายอมรับว่าเรื่องที่เขาฆ่าล้างตระกูลเป็นเรื่องจริง
หากคนของสำนักมือปราบคิดจะฉวยโอกาสสร้างเรื่องแล้วเล่นงานเขาขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก
ทว่าการที่เขาไม่ได้พูดแก้ตัวตามเจตนาเดิมของตัวเอง แต่อ้างถึงหลักฐานแทน มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเพราะชีชีวางแผนให้เขา พอเป็นแบบนี้ แม้จะเป็นวิธีการที่เหนือชั้นกว่าการใช้กำลังอยู่มาก แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้อยู่ดี ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ชีชีที่เป็นคนคิดแผนนี้ขึ้นมาก็ยังหนีล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
อย่างไรเสีย สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงกล้าแตะต้องอวี๋ชางไห่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยใช้หลักฐานที่น่าเชื่อถืออะไรอยู่แล้ว
โดยเฉพาะกับชาวยุทธ์ที่มีนิสัยมุทะลุอย่างอวี๋ชางไห่ ขอเพียงเจ้าวางกับดักเขาสักหน่อย เขาก็กล้าพุ่งเข้าไปในกับดักนั้นอยู่แล้ว
ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงโน้มนำด้วย ขอเพียงเขารู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่านิดหน่อย ก็จะพลิกมือหันกระบี่แทงตัวเองตายทันที
ตอนนี้อวี๋ชางไห่ถูกกำหนดให้เป็นผู้ต้องสงสัยข้อหากบฏแล้ว ทั้งยังเป็นเรื่องที่ยอมรับเองกับปาก คนในงานที่มีหูต่างก็ได้ยินชัดเจน
ถ้าสำนักมือปราบเทพคิดจะจัดการเขา ก็ยังจับเขาคลึงจนกลม หรือนวดจนแบนได้อยู่ดีไม่ใช่หรอกหรือ
แน่นอน หากต้องการเล่นงานเขา ก็ต้องอยู่ในภายใต้เงื่อนไขว่าเอาชนะเขาเมื่อปะทะกันซึ่งหน้าได้
แต่ในเมื่อวันนี้พวกเยี่ยเว่ยหมิงกล้าก่อเรื่องแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว
เมื่อเข้าใจประเด็นสำคัญต่างๆ แล้ว ชาวยุทธ์ที่อยู่ในงานก็พากันเงียบกริบเหมือนจักจั่นฤดูหนาว
แม้แต่เย่ว์ปู้ฉวินที่อยู่ข้างๆ ก็ยังแอบเตือนตัวเองในใจว่าในภายหลังไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็จะไม่มีเรื่องกับคนของสำนักมือปราบเทพเด็ดขาด
แม่งเอ๊ยโหดเกินไปแล้ว!
ส่วนคนอื่นๆ ในยุทธภพ?
แม้พวกเขาจะบอกว่าตัวเองเป็นคนในยุทธภพเหมือนกัน แต่ทุกคนล้วนใช้ทักษะที่ตัวเองถนัดดำรงชีวิต พอจะนับว่าเป็นสุจริตชนที่เคารพกฎระเบียบได้
หากตอนนี้ใครกล้ายืนขึ้นช่วยอวี๋ชางไห่พูด ก็อาจจะถูกติดป้ายว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทันที
แบบนี้ใครจะรับไหว
ต้องทราบไว้ว่าพวกที่เปิดโรงเรียนสอนการต่อสู้และสำนักคุ้มภัย ล้วนเป็นชาวยุทธ์ชอบด้วยกฎหมายที่มีครอบครัวและกิจการทั้งสิ้น
แตกต่างกับชาวยุทธ์พเนจรที่ขอเพียงแค่ตัวเองกินอิ่มและครอบครัวไม่อดก็พอ เวลาทำอะไร พวกเขาต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เยอะมาก จะทำตามใจตัวเองไม่ได้
ไม่อย่างนั้นถ้าถูกข้อหาสมรู้รวมคิดกับกบฎ ก็จะต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตร!
ตอนนี้พวกเขาจะยืนขึ้นแกว่งเท้าหาเสี้ยนไปทำไม
อย่างไรเสีย พวกเขาก็มีเก้าชั่วโคตรจริงๆ!
ส่วนอวี๋ชางไห่ พอเจอพวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่เล่นไพ่ตามกติกา เขาก็โมโหจนตัวสั่นแล้ว
ในเมื่อล่วงเกินไปแล้ว เขาก็ไม่กลัวที่จะล่วงเกินให้โหดขึ้นอีกหน่อย หลังจากได้ยินข้อกล่าวหาของเฟยอวี๋ เขาก็ยื่นมือชี้หน้าเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกล่าวอย่างเดือดดาลเสียเลย “พวกเจ้าหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการต่ำช้าอย่างนี้มาใส่ร้ายข้า ตกลงสำนักมือปราบเทพของพวกเจ้ายังมียางอายอยู่ไหม”
เยี่ยเว่ยหมิงยังรักษารอยยิ้มการค้าจอมปลอมต่อไป เฟยอวี๋บันทึกต่อว่า “อวี๋ชางไห่สารภาพเองว่าค้าอวัยวะมนุษย์ ทั้งยังพยายามลากเจ้าหน้าที่ของสำนักมือปราบเทพให้ร่วมกันกระทำความผิดด้วย”
[1] ถุงสุราห่อข้าว 酒囊饭袋 เปรียบเปรยถึงคนไร้ความสามารถ กินดื่มไปวันๆ