ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 201 BOSS เวอร์ชันถูกตอน...หลินผิงจือ!
ตอนที่ 201 BOSS เวอร์ชันถูกตอน…หลินผิงจือ!
เมื่อได้ยินเฟยอวี๋พูดข้อกล่าวหาออกมา ชาวยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในงานก็ทำสีหน้างุนงง
อวี๋ชางไห่ “???”
เย่ว์ปู้ฉวิน “???”
พวกตัวประกอบรอบๆ ที่ไม่รู้ความจริง “???”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
อวี๋ชางไห่พูดอะไรกันแน่ เหตุใดจึงกลายเป็นยอมรับแล้วว่าตัวเองค้าอวัยวะมนุษย์
อวี๋ชางไห่ที่เป็นเป้าหมายโจมตีหลักก็ยิ่งโมโหจนแทบกระโดดขึ้นมา “ทุกคนในที่นี้ได้ยินหมดแล้ว วัวขนของสำนักมือปราบเทพใส่ร้ายกันโจ่งแจ้ง ข้าไปยอมรับว่าตัวเองค้าอวัยวะมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เห็นชาวยุทธ์ที่อยู่ในงานไม่เข้าใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดขยิบตาแล้วเตือนด้วยความหวังดีไม่ได้ “เจ้าสำนักอวี๋ปากแข็งแล้ว ทุกคนได้ยินหมดแล้วนะ เมื่อครู่เจ้ายังถามข้าอยู่เลยว่ายังมียางอายอยู่ไหม[1]”
อวี๋ชางไห่พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! พวกเจ้ามันไร้ยางอาย!”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “ถ้าแบ่งตามที่เขียนไว้ในตำราแพทย์ ใบหน้าก็คือหนึ่งในอวัยวะ พวกเราล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักมือปราบเทพ จะไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าอวัยวะที่โหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงอธิบายอย่างละเอียด ชาวยุทธ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในงาน นอกจากอวี๋ชางไห่ที่โมโหจนควันแทบออกทวารทั้งเจ็ด คนอื่นๆ ก็ตะลึงค้างกันหมด!
จะว่าไปแล้วคำว่า ‘เจ้ายังมียางอายอยู่ไหม’ ยังอธิบายความหมายแบบนี้ได้ด้วยหรือ
แต่ตอนที่กำลังตกตะลึง คนพวกนี้ก็ถูกคำอธิบายไร้สาระของเยี่ยเว่ยหมิงปั่นจนกลั้นขำไม่อยู่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา มีบางคนกลั้นไม่อยู่จนหัวเราะเสียงดังออกมาแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแห่งความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น อวี๋ชางไห่ก็ยิ่งโมโหจนหน้าเขียว ย้ายสายตาไปทางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นช้าๆ เตรียมจดจำใบหน้าของคนที่กล้าซ้ำเติมตัวเองในเวลานี้เอาไว้ในใจ รอให้ผ่านด่านตรงหน้านี้ไปก่อน ค่อยไปตามจัดการทีละคน
เห็นได้ชัดว่าพวกที่มามุงดูเหล่านั้นก็รู้เช่นกันว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบนี้ ไม่ว่าสายตาของเขาจะมองไปทางไหน เสียงหัวเราะทางนั้นก็พลันเงียบลง ทุกคนเผยสีหน้าจริงจังสุดๆ แต่จุดไหนที่สายตาของเขายังมองไปไม่ถึง กลับยังมีเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด
ชั่วขณะนั้น เขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋กลายเป็นเขตลานบ้านแมวของชเรอดิงเจอร์[2]แล้ว ทั้งข้างนอกข้างในเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่คิดจะให้โอกาสอวี๋ชางไห่เถียงกลับอีก ตอนที่อีกฝ่ายกำลังโมโหแทบควันออกรูทวารทั้งเจ็ดเพราะถูกเฟยอวี๋กล่าวหาและถูกชาวยุทธ์ซ้ำเติม เขาก็ประกาศเสียงดังทันที
“อวี๋ชางไห่ เจ้าสำนักชิงเฉิงด่าทอเจ้าหน้าที่ของทางการ ดูหมิ่นราชสำนัก มีเจตนาปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวยุทธ์กับราชสำนัก เรื่องนี้มีคนได้ยินมากมาย มีหลักฐานน่าเชื่อถือ ไม่อนุญาตให้แก้ตัว!”
“ขณะเดียวกัน ระหว่างที่โจรกบฏอวี๋ชางไห่แก้ตัว ก็ยังยอมรับเองแล้วว่าตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัยค้าอวัยวะมนุษย์ เพียงแต่เรื่องนี้ยังต้องรอสืบสวนในขั้นต่อไป” ด้วยความสามารถในการพูด เยี่ยเว่ยหมิงพูดให้อวี๋ชางไห่เลื่อนขั้นจาก ‘ผู้ต้องสงสัย’ กลายเป็น ‘โจรกบฏ’ เต็มตัวแล้ว ทั้งยังไม่ลืมที่จะย้ำอีกว่า “สำนักมือปราบเทพเป็นหน่วยงานที่ใช้เหตุผลและหลักฐาน พวกเราไม่ใส่ร้ายคนดีเด็ดขาด แต่จะไม่ปล่อยคนชั่วไปเช่นกัน”
ก็ได้ อวี๋ชางไห่ก็แค่ฝีปากคม เถียงกับเจ้าแค่สองประโยคก็อัปเลเวลจากผู้ต้องสงสัยกลายเป็นโจรกบฏแล้ว
เจ้ายังบอกอีกหรือว่าตัวเองไม่ใส่ร้ายคนดี
หึหึ!
เพียงแต่เสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ ของทุกคน อย่างมากก็ดังขึ้นได้แค่ในใจเท่านั้น
ในเวลานี้ไม่มีใครก็ไม่อยากหรือกล้าเอาตัวเองไปทดลองว่าสำนักมือปราบจะกล้าระบุให้ตนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับโจรกบฏหรือเปล่า
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงหลังจากบรรยายข้อหาของอวี๋ชางไห่หมดแล้ว ก็ประกาศทันทีว่า “ประกาศจากสำนักมือปราบเทพ ตอนนี้อวี๋ชางไห่เป็นผู้ร้ายตามประกาศจับที่อันตรายที่สุด ถ้าคนในยุทธภพเจอเขา ก็สังหารทิ้งตรงนั้นได้เลย เงินรางวัลหนึ่งร้อยเหรียญทอง!”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงประกาศรางวัลออกมาเสียงดัง ชาวยุทธ์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พากันเย้ยหยันในใจ
หนึ่งร้อยเหรียญทอง?
สุนัขขี้ประจบที่มาดมเท้าเหม็นของอวี๋ชางไห่อย่างพวกเขา แต่ละคนมอบของขวัญให้เป็นมูลค่ามากกว่านี้เยอะ
อาศัยแค่เงินเล็กน้อยพวกนี้ คิดว่าจะซื้อชีวิตของอวี๋ชางไห่ได้แล้วหรือ
มุขตลกนี้ไม่น่าขำเลยสักนิด!
จะว่าไปแล้ว การทำงานของสำนักมือปราบเทพเชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ
ทว่า เยี่ยเว่ยหมิงไม่เคยหวังเลยว่ารางวัลหนึ่งร้อยเหรียญทองจะแสดงบทบาทอะไรได้จริง มันก็แค่แสดงถึงท่าทีของสำนักมือปราบเท่านั้นเอง
ส่วนรางวัลที่ทำให้พี่ใหญ่ในยุทธภพใจเต้นได้จริงๆ พ่อค้าเร่กับคนเดินถนนอย่างพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่มีรางวัล แต่จะไม่มีใครยอมลงมือสังหารอวี๋ชางไห่เชียวหรือ
ชวิ้ง!
พอสิ้นเสียงเยี่ยเว่ยหมิง หลินผิงจือที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ชักกระบี่ยาวตรงเอวออกมาแล้ว จากนั้นชี้ไปทางอวี๋ชางไห่ไกลๆ “อวี๋ชางไห่ เอาชีวิตเจ้ามาแลกกับชีวิตพ่อแม่ข้า!”
ไม่มีใครรู้สึกเหนือความคาดหมายเมื่อเห็นหลินผิงจือแสดงตัวออกมา ราวกับชาวยุทธ์ที่อยู่ตรงนี้ล้วนเข้าใจว่าข้อหาที่มี ‘หลักฐานน่าเชื่อถือ’ อยู่ในมือสำนักมือปราบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ขณะเดียวกันพวกเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งด้วยว่าคดีสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่สำนักมือปราบเทพหาหลักฐานไม่ได้นี้ ที่จริงแล้วเป็นฝีมือของอวี๋ชางไห่
เมื่อเห็นหลินผิงจือแสดงตัวเป็นคนแรก สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงที่อยู่ข้างหลังอวี๋ชางไห่กลับก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกัน โหวเหรินอิงที่อยู่หน้าสุดพูดเปิดว่า “ขยะอย่างเจ้าคู่ควรจะมาท้าสู้กับอาจารย์ของข้าหรือ วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า ล้างแค้นให้อวี๋เหรินเยี่ยนศิษย์น้องของข้า!”
ขณะที่กำลังพูด สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงก็ชักกระบี่ออกมาพร้อมกันแล้วล้อมหลินผิงจือเอาไว้
หลินผิงจือเห็นดังนั้น ก็ยกมุมปากแสยะยิ้มดูถูก
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นร่างของเขาพลันกลายเป็นเงาสีแดงสายหนึ่งแล้วแวบผ่านทั้งสี่ไป โจมตีไปทางอวี๋ชางไห่โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ก่อนหน้านี้สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงยังทำตัวอวดดีไร้ที่เปรียบ แต่ตอนนี้กลับล้มลงพื้นพร้อมกัน เอามือปิดรอยแผลจากแขนขวาที่ขาดพลางร้องโหยหวนไม่เป็นภาษาคน
นี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงกับหลินผิงจือสัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงจะช่วยเขาล้างความอัปยศให้ตระกูล แต่เขาจะสังหารบอสเล็กๆ คนอื่นนอกจากอวี๋ชางไห่ไม่ได้
ต่อให้อีกฝ่ายลงมือโจมตีเขาก่อน เขาก็ทำได้เพียงกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง จากนั้นก็นำศีรษะส่งให้สามผู้เล่นของสำนักมือปราบเทพแย่งกัน
ส่งศีรษะให้อย่างมีมารยาท!
แม้จะเป็นสิ่งที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพวกผู้เล่นเจอกับบอสที่ไร้ความสามารถปกป้องตัวเอง ก็ย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ชักดาบออกจากฝัก ปล่อยอาวุธลับอย่างต่อเนื่อง ได้ยินเพียงเสียง ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!…ฉึก! ฉึก! ฉึก!… จากนั้น ‘สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิง’ ที่เพิ่งถูกหลินผิงจือฟันจนกลายเป็น ‘สี่พิการแห่งชิงเฉิง’ ก็เปลี่ยนร่างอีกครั้งอย่างสวยงาม กลายเป็น ‘สี่ศพแห่งชิงเฉิง’ โดยสมบูรณ์!
เนื่องจากครั้งนี้พวกเขาล้วนเป็น BOSS แท้โหมดปกติ หลังจากทั้งสองโจมตีสังหารสำเร็จ ประกาศระบบก็รีเฟรชหน้าจอ ในนั้นยังแขวนชื่อเยี่ยเว่ยหมิงที่ไม่ได้ลงมือด้วย
ส่วนขั้นตอนการเก็บศพหลังจากนั้น เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ต่างคนต่างวิ่งไปเหมาไอเทมดรอปทั้งหมดของ BOSS สองคน เยี่ยเว่ยหมิงไม่มีส่วนแบ่งแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้เขาโยนงานให้เพื่อน แล้วตัวเองก็ออกไปพเนจร เดี๋ยวก็ได้ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ เดี๋ยวก็ได้อาวุธเทพ ได้ผลตอบแทนกองใหญ่ ตอนนี้กลับมาทำภารกิจต่อ ก็ต้องชดเชยให้ศิษย์น้องทั้งสองที่ลำบากสร้างผลงานสักหน่อยสิ
เพียงแต่การชดเชยนี้ จำกัดอยู่แค่ไอเทมของสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงเท่านั้น
ส่วนไอเทมดรอปของอวี๋ชางไห่ ถ้าแย่งมาไว้ในมือได้ ทุกคนก็นั่งลงแบ่งเท่าๆ กันดีกว่า
เมื่อเห็นประกาศระบบที่สว่างจ้าคาตาหลายแถว ในใจของผู้เล่นสำนักชิงเฉิงต่างก็รู้สึกว่าเกมนี้น่าหงุดหงิด
สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงแม้ะจะไม่ได้เรื่อง ยามปกติถึงขั้นชักสีหน้าใส่ผู้เล่นที่เป็นศิษย์ในสำนัก
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์พี่ร่วมสำนัก!
พูดจากใจจริง ใช่ว่าพวกเขาไม่คิดอยากจะช่วย
แต่ในฐานะเพื่อนร่วมสำนัก ถ้าพวกเขาสังหารสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงก็จะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว
เพื่อคงความอวดเก่งของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิงควบคุมตัวเองไม่ให้บุ่มบ่ามไปเก็บศพพวกเขา ยังคงติดตามสถานการณ์การต่อสู้ต่อไป
จำได้ว่าตอนนั้นที่กำลังปฏิบัติภารกิจ ‘สำนักคุ้มภัยฝูเวย’ หลินผิงจือในฐานะที่เป็น NPC ร่างแท้โหมดทั่วไปคนหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับอวี๋ชางไห่เวอร์ชันถูกตอนในโหมดภารกิจ ก็กล่าวได้ว่าไม่มีความสามารถที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร
ตอนนี้อวี๋ชางไห่กลายเป็น BOSS ร่างแท้ แต่หลินผิงจือกลับเข้าสู่เวอร์ชันถูกตอน หลินผิงจือที่เวอร์ชันถูกตอนใช้ไม่ถึงห้ากระบวนท่าก็กรีดบาดแผลลึกรอยหนึ่งไว้บนหลังของอวี๋ชางไห่โหมดทั่วไปแล้ว!
สิ่งนี้อธิบายอะไรได้
กำลังอธิบายได้ว่า ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ เจ๋งมากอย่างไรล่ะ!
แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ก็รู้ว่าด้วยทักษะของอวี๋ชางไห่ แม้จะสู้ไม่ชนะหลินผิงจือ แต่ถ้าเขาคิดจะหนีขึ้นมา อาศัยความเข้าใจที่มีต่อสภาพแวดล้อมของเขาชิงเฉิง ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด
ดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงจึงย้ายสายตาไปที่เย่ว์ปู้ฉวิน สื่อความหมายชัดเจนมาก
โอกาสที่จะได้ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ในฐานะพี่ใหญ่ของยุทธภพที่อาวุโสคนหนึ่ง เจ้าควรเรียนรู้ที่จะหาข้ออ้างไปร่วมกับหลินผิงจือล้อมโจมตีอวี๋ชางไห่
เย่ว์ปู้ฉวินเห็นหลินผิงจือใช้ทักษะที่เรียกว่า ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ เดิมทีในใจก็รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออยู่แล้ว
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงส่งสายตาบอกใบ้ก็เข้าใจทันที แต่ภายนอกกับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คิดว่าจะอ้างอะไรสักสองประโยคแล้วค่อยเข้าไปร่วมโจมตี แต่จู่ๆ กลับเห็นเงาคนเงาหนึ่งแทรกมาอยู่ตรงกลางระหว่างหลินผิงจือกับอวี๋ชางไห่
วินาทีต่อมา พลังฝ่ามือที่ดุดันราวกับพลิกภูเขาคว่ำทะเลได้ก็ระเบิดออกมาแล้ว ผลักให้ยอดฝีมือทั้งสองที่กำลังปะทะกันต้องรีบถอยหลังพร้อมกัน
ถูกพลังฝ่ามือที่เข้ามาอย่างกะทันหันบีบให้ถอยหลัง แต่ทั้งสองคนก็ยังแสดงออกไม่เหมือนกัน
อวี๋ชางไห่ถอยหลังเพียงสามก้าวก่อนจะทรงตัวได้ แต่หลินผิงจือกลับถอยหลังไปไกลถึงเจ็ดก้าว
เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะอาศัยความได้เปรียบจาก ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ ที่ประหลาดยากคาดเดาในการต่อสู้ แต่เมื่อเทียบพลังกับอวี๋ชางไห่แล้ว ก็ยังแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ
จนกระทั่งตอนนี้ ทุกคนเพิ่งจะเห็นโฉมหน้าของผู้ที่มาชัดเจน
คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าเยียบเย็น แม้จะไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าอันตรายมาก
ซานเย่ว์ถึงขั้นส่งข้อความไปในช่องทีมทันที [เขาก็คือจั่วเหลิ่งฉาน!((*・∀・)ゞ→→]
หลังงจากจากการปรากฏตัวของจั่วเหลิ่งฉาน พลันมีเงาคนอีกสองคนลงมาเหยียบในเขตลานบ้าน แต่กลับยืนห่างจากจุดต่อสู้ค่อนข้างไกล ท่าทางเหมือนจะล้อมอวี๋ชางไห่ไว้
ซานเย่ว์ยืนยันแล้วว่า สองคนนี้ก็คือสองในสิบสามผู้พิทักษ์แห่งซงซาน มือใหญ่หยินหยาง เล่อโฮ่ว กระบี่เก้าเพลง จงเจิ้น
ทันใดนั้น ผู้เล่นที่สวมเครื่องแบบสำนักซงซานกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาในลานบ้าน ทั้งหมดมาล้อมอยู่รอบกายเล่อโฮ่วกับจงเจิ้น
เห็นจั่วเหลิ่งฉานนำคนมาด้วยเยอะขนาดนี้ อวี๋ชางไห่เดิมทีก็จิตตกอยู่แล้ว แต่ยังฝันลมๆ แล้งๆ ว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมยุทธภพเหมือนกัน ยังเป็นฝ่ายทักทายจั่วเหลิ่งฉานก่อน “ประมุขพรรคจั่ว…”
ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาพูดจบ จั่วเหลิ่งฉานก็ตัดบทอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ตวาดอย่างดุดันว่า “อวี๋ชางไห่ เจ้ารู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่!”
[1] ยังมียางอายอยู่ไหม 要不要脸来着 แปลตรงตัวตามภาษาจีนคือ จะเอาหน้าไหม ต้องการหน้าไหม
[2] แมวของชเรอดิงเจอร์ (Schrödinger’s cat) เป็นการทดลองทางความคิด คิดค้นโดยแอร์วีน ชเรอดิงเงอร์ นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย ในที่นี้ใช้เปรียบเปรยถึงความคลุมเครือ ไม่แน่นอน มีความเป็นไปได้สองด้าน