ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 214 ยอดฝีมือหกสำนัก
ตอนที่ 214 ยอดฝีมือหกสำนัก
ตอนที่ผู้เล่นทั้งสามของสำนักมือปราบเทพไปถึง ถังซานไฉ่ก็รออยู่นานแล้ว ตอนนี้กำลังต้อนรับทั้งสามอยู่หน้าประตูร้านพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
คนที่ร่วมเดินทางมากับพวกเขายังมีโหยวโหยว สาวน้อยผู้องอาจที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว น้องสาวคนนี้พอเห็นเยี่ยเว่ยหมิงก็บ่นทันทีว่า “ถังซานไฉ่ เจ้าหมอนี่ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากข้า แต่กลับจะดึงข้ามาร่วมกินดื่มด้วยให้ได้ คิดว่าข้าเป็นคนไม่เอาไหนอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงงทันที หันกลับไปถามถังซานไฉ่ว่า “ความสามารถของโหยวโหยวไม่ได้อ่อนด้อย ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะปล่อยผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอย่างนี้ไป อย่าบอกนะว่าภารกิจครั้งนี้ง่ายมากจริงๆ”
“ถ้าง่ายข้าคงไม่เชิญพวกเจ้ามาหรอก”
ถังซานไฉ่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แต่กลับไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด เพียงเพราะสาเหตุบางอย่างของภารกิจนี้เขาจึงไม่ได้เชิญโหยวโหยว แต่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังคนยังไม่พอ
พอพูดจบ เขาก็ยิ้มให้ทั้งสามอย่างเก้อเขิน “ถ้าจะให้อธิบายภารกิจโดยละเอียดก็ยุ่งยากเกินไป ข้ายังเชิญเพื่อนข้างนอกมาอีกสองคน พวกเขาใกล้มาถึงแล้ว เดี๋ยวรอให้ทุกคนมากันครบข้าค่อยอธิบายสถานการณ์ให้พวกเจ้าฟังทีเดียว คนแรกมาแล้วนั่นอย่างไร!”
ทุกคนมองตามสายตาถังซานไฉ่ แต่กลับเห็นม้าขาวตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาจากจุดพักม้าอย่างรวดเร็ว บนม้ามีหนุ่มน้อยหน้าหล่อสวมเกราะเงินและหมวกเกราะเงินคนหนึ่ง อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด มองไม่เห็นอาวุธใดๆ บนตัวเขา คิดว่าคงจะเป็นผู้เล่นคนหนึ่ง
อย่างไรเสีย หาก NPC แต่งตัวอย่างนี้ แสดงว่าบนตัวจะต้องพกทวนยาว กระบี่ที่เอว หรือไม่ก็สะพายดาบไว้ข้างหลังแน่นอน มีเพียงผู้เล่นเท่านั้นถึงจะมีกระเป๋าโดเรม่อนที่เก็บอาวุธขนาดใหญ่ทุกชนิดไว้ในนั้นได้
“ปล่อยให้สหายถังรอนานแล้ว” เพียวครู่เดียวเท่านั้น ม้าขาวก็มาถึงตรงหน้าทุกคนแล้ว ขุนพลหนุ่มชุดขาวดึงบังเหียนม้าศึก กระโดดลงจากม้าแล้วเก็บม้าศึกอย่างชำนาญ เขากุมหมัดคารวะทุกคน “ทุกคนคงจะเป็นเพื่อนของสหายถังสินะ น้องชายฉางซิงอวี่ คารวะทุกท่าน”
“ฉางซิงอวี่?” เสียงของขุนพลหนุ่มชุดขาวเพิ่งเงียบลง เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็อดถามอย่างตกใจไม่ได้ว่า “เจ้าก็คือฉางซิงอวี่ ทวนเงินแห่งอู่ตัง?”
“ท่านนี้คือพี่ใหญ่เฟยอวี๋สินะ” ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วตอบอย่างสุภาพมาก “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินพี่ใหญ่ถังเอ่ยถึงท่านบ่อยๆ”
หลังจากนั้น ถังซานไฉ่ก็เริ่มแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก เยี่ยเว่ยหมิงถือโอกาสคุยกับเฟยอวี๋เป็นการส่วนตัวว่า [ฉางซิงอวี่คนนี้เป็นตัวละครอย่างไร อธิบายหน่อยสิ]
“ขนาดฉางซิงอวี่เจ้ายังไม่รู้จักเลยหรือ” เฟยอวี๋มองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ตอบในช่อมทีมต่อว่า [ฝีมือเขาร้ายกาจมาก ทั้งยังเป็นหนึ่งในกลุ่มยอดฝีมือที่ผงาดขึ้นมาเร็วที่สุดของเกมนี้]
[ตอนที่ข้าทำภารกิจ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ถูกบอสที่ชื่อ ‘เฟิ่งเทียนหนาน’ ถ่วงไว้นานมา ตอนหลังเพิ่มเลเวลกำลังภายในกับวิชาดาบขึ้นมาอย่างละหนึ่งเลเวล แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากสหายถัง ถึงได้สู้ไหว]
[แล้วตอนที่ข้าถูกถ่วงจนขยับไปไหนไม่ได้ กลับได้ยินเสียงระบบประกาศว่าฉางซิงอวี่ท้าสู้เฟิ่งเทียนหนานตัวต่อตัวแล้วทำเฟิร์สคิลสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา ข้าจึงสนใจชื่อนี้เป็นพิเศษ ตอนหลังได้ยินว่าเขาเป็นยอดฝีมือของสำนักอู่ตัง ทั้งยังได้ออกทีวีหลายครั้งเพราะทำเฟิร์สคิลด้วย]
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า ตอบเสียงเรียบว่า “เวลาข้าคบเพื่อน ก็ไม่เคยมองเลยว่าอีกฝ่ายจะเก่งหรือไม่เก่ง แต่ฉางซิงอวี่คนนี้ข้ารู้สึกว่ามีมารยาทมาก ไม่น่ารำคาญเลยสักนิด”
ขณะที่คุยกัน ถังซานไฉ่ก็แนะนำผู้เล่นสามคนของสำนักมือปราบเทพทีละคนจนเสร็จแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าระหว่างนั้นย่อมมีการกล่าวชมกันไปมา
เมื่อเห็นทุกคนทักทายกันแล้ว ถังซานไฉ่กลับยักไหล่กล่าวว่า “ตอนนี้ เหลือแค่คนสุดท้ายแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “เจ้าเรียกสะพานสวรรค์น้อยมาด้วยหรือ”
“สหายเยี่ยเดาออกแล้วหรือ” การที่เยี่ยเว่ยหมิงเดาตัวตนของเพื่อนร่วมทีมคนสุดท้ายออก ถังซานไฉ่รู้สึกผิดคาด ก็ทีมสำนักมือปราบเทพหกคนที่ไปทำภารกิจ ‘สำนักคุ้มภัยฝูเวย’ ด้วยกันโผล่มาห้าคนแล้ว ขาดแค่สะพานสวรรค์น้อยคนเดียว
เยี่ยเว่ยหมิงกลับส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่ได้เดา แต่ข้าเห็น นางมาแล้ว”
ขณะที่พูด เงาร่างอันงดงามในอาภรณ์ขาวดุจหิมะก็ลอยลงมาเหยียบบนหลังคาด้านข้างแล้ว ราวกับเป็นใบหลิวกลางสายลม ไม่เหมือนมนุษย์เดินดินเลยสักนิด
ไม่เจอกันเกือบหนึ่งเดือน วิชาตัวเบาของนางก้าวหน้าขึ้นแล้วไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าคนมากันครบแล้ว ถังซานไฉ่ก็เรียกทุกคนเข้าภัตตาคารทันที พวกเขาเดินเข้ามาในห้องเดี่ยวที่ชื่อว่าผู้กล้าวีรบุรุษ แต่กลับเห็นบนโต๊ะมีกับข้าวสิบอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารที่พ่อครัวทำอร่อยที่สุดในร้าน
หลังจากเชิญให้ทุกคนนั่งลงแล้ว ถังซานไฉ่ถึงได้พูดถึงภารกิจครั้งนี้ “ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ไอเทมเดียวที่ใช้เปลี่ยนชื่อได้ชื่อว่า ‘หินสามชาติ’ ว่ากันว่ารับได้จาก NPC สองคนเท่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ข้าใช้เวลาไปไม่น้อย ทำภารกิจภารกิจย่อยหนึ่งในนั้นไปแล้ว แล้วก็ได้รับภารกิจมาจากผู้อาวุโสพรรคกระยาจกที่ชื่อเฉินโหย่วเหลียง”
ขณะที่กำลังคุยกัน ถังซานไฉ่ก็รินสุราแทนทุกคนจนเต็มจอก ปากก็พูดต่อไปว่า “เฉินโหย่วเหลียงนั่นให้ข้าหาผู้ช่วยห้าคน ตั้งทีมไปที่ทะเลทรายเพื่อช่วยไต้ซือหยวนเจินแห่งสำนักเส้าหลิน นี่ถือเป็นช่วงสุดท้ายของทั้งภารกิจแล้ว ส่วน ‘หินสามชาติ’ นั่น หลังจากทำภารกิจรอบสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว ไต้ซือหยวนเจินก็จะแจกมันเป็นรางวัล”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วมองซ้ายมองขวา ขณะกำลังจะเอ่ยปากถาม ซานเย่ว์ที่พูดจาตรงไปตรงมากลับถามสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ในใจออกมาแล้ว “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทำไมสหายถังไม่ให้โหยวโหยวมาเข้าร่วมด้วยล่ะ ไหนบอกว่ากำลังคนไม่พอ เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าแค่ยอดฝีมือบนโต๊ะนี้ ก็ไม่ใช่แค่จำนวนนี้แล้ว”
ถังซานไฉ่ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วอธิบายต่ออย่างอดทน “เรื่องราวไม่ได้ธรรมดาอย่างนั้น ภารกิจนี้เข้มงวดมากเรื่องตัวตนของผู้เล่นที่เข้าร่วม”
ถังซานไฉ่ไม่ปิดบัง หลังจากเงียบไปครู่เดียวก็พูดต่อทันที “เงื่อนไขของภารกิจก็คือ ผู้เล่นหกคนที่รวมอยู่ในนี้ จะต้องมาจากหกสำนักที่ต่างกัน…
…ดังนั้น บรรดาคนที่มารวมกันในวันนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ ที่ข้าเรียกทุกคนมาด้วยกัน เพราะคิดจะอาศัยโอกาสนี้ทำให้ทุกคนมารวมตัวกันเท่านั้น”
ไม่แปลกใจที่ถังซานไฉ่ไม่เชิญให้โหยวโหยวมาช่วย อย่างไรเสียคนที่ริเริ่มภารกิจอย่างเขาก็ต้องเข้าร่วมปฏิบัติการนี้แน่นอน เมื่ออยู่ในเงื่อนไขที่คนจากสำนักเดียวกันอยู่ในทีมเดียวกันไม่ได้ เช่นนั้นต่อให้โหยวโหยวมีฝีมือไร้เทียมทาน แต่ก็ช่วยเหลือเขาไม่ได้อยู่ดี
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็อดขมวดคิ้วบ่นไม่ได้ “แค่เงื่อนไขนี้อย่างเดียวก็น่ารังเกียจพอแล้ว”
ส่วนถังซานไฉ่ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ที่จริงแล้วภารกิจเปลี่ยนชื่อนี้ไม่เพียงแค่ยุ่งยากเท่านั้น อีกทั้งต่อให้ทำสำเร็จแล้ว ผู้ที่ใช้งาน ‘หินสามชาติ’ ก็ต้องจ่ายบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนไม่น้อยเลยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นลดค่าความรู้สึกดีของ NPC ไปครึ่งหนึ่ง เพื่อนทุกคนจะถูกลบออกเองโดยอัตโนมัติ ต้องเพิ่มเพื่อนใหม่เท่านั้น สรุปก็คือยุ่งยากมาก”
พูดไปพูดมาก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “หากไม่ใช่เพราะชื่อของข้าส่งผลกระทบต่อดวงชะตาจริงๆ ข้าก็คงไม่ดึงดันที่จะเปลี่ยนชื่ออะไรนั่นหรอก”
เฟยอวี๋พยักหน้าพูดอย่างหงุดหงิด “นี่ก็เกินไปเหมือนกัน!”
“ที่จริงถ้าลองจินตนาการให้ดี แบบนี้แหละถึงจะปกติ การเปลี่ยนชื่อง่ายเหมือนเปลี่ยนชื่อเล่นในโปรแกรมแชท QQ ในเกมนี้คงมีคนตั้งชื่อว่า ‘ลองเดาสิว่าข้าคือใคร’ ไปแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงอธิบายสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็พูดตรงๆ ว่า “ในเมื่อแต่ละสำนักให้ผู้เล่นเข้าร่วมได้เพียงคนเดียว เช่นนั้นข้าเป็นตัวแทนสำนักมือปราบเทพให้ก็ได้ เฟยอวี๋ ซานเย่ว์ พวกเจ้าไม่มีความคิดเห็นแย้งอะไรใช่ไหม”
ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน แสดงออกว่าไม่คัดค้านอะไร
เฟยอวี๋แม้บางครั้งจะชอบเอาชนะเยี่ยเว่ยหมิง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของถังซานไฉ่ เขาก็จะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด
เยี่ยเว่ยหมิงหันกลับไปถามถังซานไฉ่ “สหายถัง ยอดฝีมือของอีกสองสำนัก เจ้าเลือกคนไว้แล้วหรือ”
ถังซานไฉ่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอย่างจนใจ “เพื่อนในเกมของข้าก็มีไม่น้อย แต่ในจำนวนนั้นคนที่เป็นยอดฝีมือที่แท้จริงก็มีแค่ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้…
…ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ข้าลืมบอกไป ภารกิจนี้ผู้เล่นแต่ละคนรับได้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าภารกิจจะล้มเหลว หรือสำเร็จ ก็จะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้ว ดังนั้น…”
ถังซานไฉ่ไม่ได้พูดประโยคต่อมาให้ชัดเจน แต่ความหมายก็ชัดเจนที่สุดแล้ว
สำหรับโอกาสเพียงครั้งเดียวที่ได้มายาก เขาเองเห็นค่ามันมากที่สุด ดังนั้นตอนที่หาผู้ช่วยเขาจึงมีท่าทีว่าต้องเลือกคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ส่วนอีกสองตำแหน่งที่เหลือ ดูท่าแล้วคงต้องให้ทุกคนช่วยกันคิดหาวิธีการ
“มา!” ตอนนี้ ถังซานไฉ่นำชูจอกสุราขึ้นก่อนแล้ว เขาดื่มคารวะทุกคนรอบหนึ่งแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ไม่รีบ ทุกคนกินดื่มให้อิ่มก่อน กินไปพลางคิดหาทางไปด้วยก็ได้”
ทุกคนได้ยินแล้วสีหน้าผ่อนคลายทันที ดื่มสุราในจอกจนหมดพร้อมกันแล้วคว่ำจอก
เยี่ยเว่ยหมิงกลับหยิบจอกเปล่ามาไว้ในมือ ผ่านไปนานก็ยังไม่วางลงบนโต๊ะ ส่วนในหัวก็กำลังหวนนึกถึงผู้เล่นยอดฝีมือแต่ละคนที่ตัวเองเคยเจอตั้งแต่เข้าเกมมา
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตาเป็นประกาย แล้วบอกว่า “ที่ข้ามีตัวเลือกสองคน หนึ่งในนั้นมีศักยภาพแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาข้า ส่วนอีกคนข้าว่าน่าจะอยู่ระดับเดียวกับเฟยอวี๋และซานเย่ว์…
…ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สำนักของพวกเขาสองคนไม่ซ้ำกับพวกเรา สอดคล้องกับเงื่อนไขทุกอย่างที่สหายถังพูดไว้ก่อนหน้านี้”
ภายใต้การนำของเยี่ยเว่ยหมิง คนอื่นก็ต่างคนต่างเสนอตัวเลือกของตัวเองเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าคุณภาพยังไม่ถึงมาตรฐานที่เยี่ยเว่ยหมิงบอก มีเพียงขุนพลหนุ่มชุดขาวฉางซิงอวี่คนเดียวที่ไม่พูดอะไร
ถังซานไฉ่อธิบายให้เยี่ยเว่ยหมิงฟังเป็นการส่วนตัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉางซิงอวี่ยังไม่ไปถึงขั้นนั้น
ฉางซิงอวี่ลงมือด้วยตัวเองได้เพื่อช่วยเขา ถึงขั้นตายสักครั้งก็ไม่เป็นไร แต่กลับไม่ติดหนี้น้ำใจคนอื่นเพียงเพราะเรื่องของเขา
เมื่อหาตัวเลือกที่ดีกว่านี้ไม่เจอแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งพิราบสื่อสารออกไปทันที
[อาหนิว ตอนนี้ยุ่งอยู่หรือเปล่า ถ้าว่างก็มาช่วยข้าทำภารกิจหน่อย รางวัลไม่เลวเลย]…เยี่ยเว่ยหมิง
[เหอะๆ ตอนนี้ทางฝั่งข้ายังไม่มีงานอะไรเลย แต่เป็นสหายก็ส่วนเป็นสหาย เจ้าเป็นฝ่ายมาขอให้ข้าช่วยเหลือ แต่เงินทองก็ไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องใช่ไหมล่ะ]…หนิวจื้อชุน
[อยากมาก็มา ถ้าไม่อยากมาข้าจะไปหาคนอื่น ต้องรู้ไว้นะว่าคนที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ จะพาเจ้าไปเก็บค่าตบะ พาไปฆ่าบอส เจ้ายังมาขอผลประโยชน์จากข้าอีก เจ้าไม่เจ็บมโนธรรมบ้างหรือ]…เยี่ยเว่ยหมิง
[ฮ่าๆ ข้าล้อเล่นเอง บอกเวลากับสถานที่มา ข้ากำลังจะถึงแล้ว!]…หนิวจื้อชุน
พอเจ้าหมอนี่ได้ยินว่าเป็นทีมของยอดฝีมือทั้งหมด ทั้งยังมี BOSS ให้ฆ่า ก็ไม่เอ่ยเรื่องผลตอบแทนแล้ว แสดงความเป็นพ่อค้าหน้าเลือดออกมาหมดเปลือก
หลังจากคุยกับหนิวจื้อชุนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เปิดดูชื่อยอดฝีมืออีกคนในรายชื่อเพื่อน แต่ตอนที่เขาส่งจดหมายไปกลับไม่ได้เขียนอะไรมาก เพียงส่งลิงก์ไอเทมหนึ่งให้อีกฝ่ายไป
[กระสอบข้าวแสนสาหัส ]…เยี่ยเว่ยหมิง