ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 216 กระบี่คู่ผนึกรวมของสะพานสวรรค์น้อย!
ตอนที่ 216 กระบี่คู่ผนึกรวมของสะพานสวรรค์น้อย!
คุยกันอย่างครึกครื้น เมื่อค่าความหิวถูกล้างจนเกือบหมด ทุกคนก็เร่งความเร็วในการกินอาหารทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ค่าความหิวของทุกคนก็กลายเป็นศูนย์แล้ว
จากนั้นพวกเขาก็ออกจากภัตตาคารซู่เจินที่กว้างโล่ง ตรงไปขึ้นรถม้ามายังเมืองเฉิงตู จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่สังเวียนประลอง
ธุรกิจสังเวียนของระบบมีมาตรฐานมาก มีหลากหลายรูปแบบให้ผู้เล่นเลือก
พวกที่ชอบความครื้นเครงและโดดเด่นล้วนเลือกลานประลองกลางแจ้งได้ สองฝั่งของสังเวียนเปิดกว้างเหมือนกับสังเวียนประลองของจริง ผู้เล่นและ NPC ที่เดินทางผ่านมาชมการต่อสู้ได้ตามใจชอบ เติมเต็มจิตใจที่ชอบโอ้อวดอิทธิฤทธิ์ของตัวเองต่อหน้าคนอื่นได้ดีมาก
ส่วนผู้เล่นที่ชอบอยู่อย่างสงบเสงี่ยมก็เลือกสังเวียนใต้ดินได้
ชื่อบอกว่าเป็นสังเวียนใต้ดิน แต่ที่จริงฉากการต่อสู้ไม่ต่างอะไรกับสังเวียนแบบแรก เพียงแค่สองคนที่ต่อสู้กันจะไปต่อสู้รอบตัดสินในดันเจี้ยนส่วนตัวเท่านั้น NPC ที่อยู่โดยรอบล้วนเป็นฉากหลัง ผู้เล่นคนอื่นไม่มีใครผ่านมาดูการต่อสู้ได้ จัดเป็นการประลองส่วนตัวโดยสมบูรณ์
ส่วนผู้เล่นที่จับกลุ่มกันมาประลองอย่างพวกเยี่ยเว่ยหมิง ไม่อยากให้คนแปลกหน้ามาดูเอาสนุกตามอำเภอใจ ก็เช่าห้องประลองเดี่ยวได้เช่นกัน
เหมือนกับเปิดห้องเดี่ยวในภัตตาคาร เจ้าของห้องเชิญผู้เล่นที่ระบุเข้าสนามได้ อยากจะต่อสู้เองหรือจะดูการต่อสู้กันได้ทั้งนั้น หนึ่งชั่วโมงสิบเหรียญทองไม่ถือว่าแพงเกินไป อยู่ในขอบเขตที่ผู้เล่นรับได้
เยี่ยเว่ยหมิงในฐานะผู้ที่ออกความคิดเรื่องการประลองครั้งนี้ จึงเป็นฝ่ายเสนอตัวจ่ายค่าเช่าห้องหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็เชิญทุกคนเข้าสนาม
ฉากก็ยังเป็นฉากเดิม เพียงแต่นอกจากพวกเขาแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีผู้เล่นคนอื่นปรากฏตัวอยู่อีก ด้านล่างสังเวียนก็เตรียมเก้าอี้สองแถวเอาไว้ให้ผู้เล่นที่ชมการต่อสู้พักผ่อนเรียบร้อยแล้ว บริการทั่วถึงมาก
เมื่อเข้ามาใน ‘ห้องเดี่ยว’ พวกเขาก็อดกวาดสายตามองไปบนตัวหนิวจื้อชุนกับฉางซิงอวี่ไม่ได้
อย่างไรเสียระหว่างพวกเขาก็เคยร่วมงานและต่อสู้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย ใครอ่อนกว่า หรือเก่งกว่า ในใจล้วนมีภาพจำคร่าวๆ อยู่บ้าง แต่สำหรับคนแปลกหน้าสองคนนี้ ทุกคนสงสัยใคร่รู้มากว่าพวกเขามีความสามารถอย่างไรกันแน่
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น สายตาของฉางซิงอวี่ก็มองไปยังหนิวจื้อชุน “สหายหนิว ในเมื่อทุกคนอยากเห็นศักยภาพของพวกเราขนาดนี้ พวกเราไม่สู้ประลองกันสักสนามก่อน จะได้ทำให้ทุกคนเห็นวิธีการของพวกเราทันที ไม่ทราบว่าสหายหนิวมีความคิดเห็นอย่างไร”
หนิวจื้อชุนได้ยินแล้วกลอกตามอง แต่กลับส่ายหน้าบอกว่า “คำเชิญต่อสู้ของสหายฉาง ข้าย่อมไม่กล้าปฏิเสธ เพียงแต่เป้าหมายหลักของการประลองวันนี้ ก็คือให้พวกเราได้รู้จักความสามารถของกันและกัน ให้ทุกคนรู้ถึงศักยภาพของกันและกัน ถึงจะวางกลยุทธ์ในภารกิจหลังจากนี้ได้สะดวก…
…อีกทั้งในทีมนี้ พวกเราสองคนล้วนมาใหม่ เป็นเรื่องยากมากที่การประลองระหว่างพวกเราจะทำให้ทุกคนสังเกตเห็นศักยภาพของพวกเราได้โดยตรง…
…ดังนั้น ถ้าคิดว่าพวกเราควรเลือกประลองกับคนเก่าในทีมเพื่อรับประกันก่อน รอให้ทุกคนคุ้นเคยกันแล้ว พวกเราค่อยสู้กันอีกก็ยังไม่สาย”
ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วพยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วบอกว่า “ในเมื่อสหายหนิวเป็นคนเสนอเช่นนี้ เจ้าก็ท้าสู้ก่อนได้เลย”
ที่จริงแล้ว สาเหตุที่หนิวจื้อชุนไม่รับคำท้าฉางซิงอวี่ ก็เพราะเขาพิจารณาตัวเองไว้แล้ว
อย่างไรเสีย สถานการณ์ของเขาก็แตกต่างกับคนอื่นนิดหน่อย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ภัตตาคาร เขาก็ถูกสั่งสอนด้วยเหตุการณ์ที่ถูกน้องดาบหัวเราะเยาะแล้ว แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะแก้ไขความขัดแย้งนี้ได้ทันเวลา แต่ตัวเองก็เสียหน้าไปแล้ว
ดังนั้น พอการประลองเริ่มขึ้น เขาจึงออกอุบายเล็กน้อย เพราะต้องการเอาชนะอย่างสวยงามก่อนสักสนาม ต้องกู้หน้าของตัวเองกลับมาบ้าง!
และเมื่อมีการประลองสนามนี้เป็นฐานไว้ ตอนสุดท้ายต่อให้สู้ไม่ชนะฉางซิงอวี่ที่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ารับมือยาก แต่อย่างน้อยก็จะไม่มีใครดูถูกเขาอีก
แต่ถ้าเริ่มสู้ก็แพ้ทันที ต่อให้สุดท้ายจะชนะสักสนามสองสนาม แต่ก็ยากจะเปลี่ยนแปลงภาพจำแรกที่ทุกคนมีต่อเขา
ดังนั้นการต่อสู้ครั้งต่อไปมีความสำคัญต่อเขามาก
ต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้!
พอนึกถึงตรงนี้ หนิวจื้อชุนก็กวาดสองตาที่เหมือนวัวไปบนตัวผู้เล่นคนอื่นๆ โดยจิตใต้สำนึก
ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาอ้างภารกิจเพื่อหลบเลี่ยงการท้าสู้ของฉางซิงอวี่ เช่นนั้นเฟยอวี๋ ซานเย่ว์และโหยวโหยวที่ไม่เข้าร่วมภารกิจก็ถูกตัดออกเป็นกลุ่มแรก
รองลงมาก็คือเยี่ยเว่ยหมิง ตอนแรกที่อยู่หมู่บ้านชื่อสยา พลังโจมตีที่เยี่ยเว่ยหมิงระเบิดออกมาได้ฝังภาพจำไว้ให้เขา จนกระทั่งวันนี้ก็ยังยากจะลบออก
เจ้าหมอนี่โหดเกินไป เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป้าหมายที่เขาจะรังแกได้
ต่อให้ตอนนี้เขาจะยอมรับตัวเองว่าอาจไม่แพ้ให้เยี่ยเว่ยหมิงในตอนนั้น แต่เพื่อความปลอดภัย อย่าไปสู้กับคนที่รับมือยากคนนี้ดีกว่า
ตัวเลือกต่อไปก็เป็นน้องดาบแล้ว
ฝีมือที่สาวน้อยชุดแดงแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเลย
แม้เขาจะคิดว่าหากแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา ตัวเองอาจไม่แพ้เสมอไป แต่โอกาสชนะก็มีไม่เกินสามส่วน
ยามที่ต้องการสู้ให้ชนะอย่างงดงามเพื่อกู้หน้าตัวเองกลับมา เขาย่อมไม่เสี่ยงเลือกน้องดาบมาเป็นคู่ต่อสู้ของตัวเองอยู่แล้ว
ส่วนถังซานไฉ่ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักถังเหมิน แสดงว่าไม่ใช่ฉายาที่ปลอมขึ้นมาเฉยๆ แน่นอน
อาวุธลับและยาพิษของสำนักถังเหมินล้วนน่ารังเกียจพอสมควร เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเช่นกัน…
ไม่นาน หลังจากตัดคำตอบ ‘ผิด’ ทั้งหมดออก หนิวจื้อชุนก็ย้ายสายตาไปที่ตัวของสะพานสวรรค์น้อย
ในทีมเหมือนจะมีแค่น้องสาวพูดน้อยคนนี้ที่ดูอ่อนปวกเปียก เหมือนเขาจะรังแกไหวอยู่นะ?
พอนึกถึงตรงนี้ หนิวจื้อชุนที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำก็ฮึกเหิมทันที แล้วพุ่งตัวไปโค้งเอวกุมหมัดคารวะสะพานสวรรค์น้อย “ข้ากับสหายเยี่ยเคยตั้งทีมด้วยกัน เคยประมือกันสั้นๆ กับแม่นางหนึ่งดาบด้วย สหายถังแม้จะไม่เคยสู้กัน แต่ก็พอจะเข้าใจวิธีการของสำนักถังเหมินอยู่บ้าง มีเพียงสำนักสุสานโบราณที่ข้าไม่รู้อะไรเลย ไม่ทราบว่าแม่นางสะพานสวรรค์น้อยจะให้คำชี้แนะได้หรือไม่”
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็ชำเลืองเจ้าหมอนี่ด้วยสายตาเหยียดหยามพร้อมกัน
พูดได้ไพเราะน่าฟัง แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็คืออยากรังแกผู้หญิงไม่ใช่หรือ
สำหรับคำท้าสู้ของหนิวจื้อชุน สะพานสวรรค์น้อยกลับไม่ได้คิดมาก นางเพียงพยักหน้าตอบรับ แต่ตัวกลับลอยนำขึ้นไปอยู่บนสังเวียนแล้ว
“วิชาตัวเบาของแม่นางสะพานสวรรค์น้อยช่างสง่างาม!”
หนิวจื้อชุนปากก็ชมไปอย่างนั้น แต่กลับเตรียมตัวขึ้นไปรังแกผู้หญิงบนสังเวียน
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกลับพูดอยู่ข้างๆ อย่างคาดไม่ถึงว่า “มองออกเลยว่าเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักสุสานโบราณเลยจริงๆ”
หนิวจื้อชุนงงไปชั่วขณะ แล้วถามกลับโดยอัตโนมัติ “หมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกขำในใจ แต่ปากกลับพูดอย่างสงบนิ่งมากว่า “ไม่มีอะไร เดี๋ยวสู้กันเสร็จเจ้าก็รู้ถึงความน่าตื่นเต้นของเคล็ดกระบี่สำนักสุสานโบราณแล้ว”
หนิวจื้อชุน “???”
นักพรตหนิวกระโดดขึ้นสังเวียนด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ จากนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่า ‘ความน่าตื่นเต้น’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงบอกหมายถึงอะไรกันแน่
ทุกคนต่างรู้จัก ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’ ของสำนักสุสานโบราณ นั่นคือสิ่งที่เกิดมาเพื่อข่ม ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ โดยเฉพาะ!
กอปรกับก่อนหน้านี้สะพานสวรรค์น้อยกับเยี่ยเว่ยหมิงเคยร่วมมือกันทำภารกิจสำเร็จหลายครั้ง ค่าตบะจึงสูงกว่าผู้เล่นทั่วไปเยอะมาก แม้จะไม่เหนือกว่ายอดฝีมืออย่างหนิวจื้อชุน แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เลเวลของทักษะยุทธ์เท่ากัน ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’ ทารุณ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ยังต้องอธิบายอีกหรือ
ทั้งสองปราบมือกันไม่เกินสิบกระบวนท่า บนตัวหนิวจื้อชุนก็ถูกกระบี่โจมตีต่อเนื่องนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ค่าพลังชีวิตถูกลดไปเกินครึ่ง
ตอนนี้นักพรตหนิวอยากจะร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ เดิมทีอยากจะรังแกผู้หญิงเพื่อให้ตัวเองได้เกิดสักหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่อันดับโหล่ของทีม
จากนั้น ตอนที่คนอื่นคิดว่าศักยภาพของตนก็มีเพียงเท่านี้ ตนก็ค่อยเผยไพ่ที่แท้จริงออกมา ไม่แน่ว่าอาจเอาชนะได้ในสนามต่อไป
เมื่อถึงตอนนั้น อย่างน้อยเขาก็จะได้อยู่ระดับกลางในทีม ย่อมไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีกแล้ว
แต่ตอนนี้…
เพื่อรับประกันว่าจะไม่เสียหน้าเพราะแพ้สนามแรก หนิวจื้อชุนทำได้เพียงล้มเลิกกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังว่า “รอสักครู่!”
“หืม?”
ในเมื่อเป็นการประลองยุทธ์ สะพานสวรรค์น้อยก็ไม่ยอมเช่นกันหากอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้ นางหยุดลงมือและถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที “สหายหนิวคิดจะยอมแพ้หรือ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว” หนิวจื้อชุนกล่าวด้วยสีหน้าดำมืด “ถ้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินแม่นางสะพานสวรรค์น้อยต่ำไป พอมาดูตอนนี้แล้ว ถึงแม้จะเป็นการต่อสู้สนามแรก แต่ข้าก็ต้องแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาสิ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น กระบี่ล้ำค่าในมือก็หายไปในอากาศ แทนที่ด้วยกระบองใหญ่เหล็กหลอมแท่งหนึ่งที่หนาเท่าแขนเด็ก จากนั้นเคาะกระบองใหญ่เหล็กหลอมบนสังเวียนหนึ่งครั้ง
ตึ้ง!
เกิดเสียงทุ้มดังขึ้น เสียงทุ้มที่ทำให้ทุกคนในสนามได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
มารดาเจ้าเถอะ ไม่สมจริงเกินไปแล้ว!
พอหนิวจื้อชุนถือไม้เท้า พลังรบก็เปลี่ยนเป็นโหดขึ้นมาทันที
เขาโบกกระบองเหล็กหลอมใหญ่จนไม่มีที่ว่างให้ลมผ่าน สะพานสวรรค์น้อยลองอาศัย ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’ ฝ่าเงากระบองของเขาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกระบองเหล็กของเขาต้านไว้ทันเวลาตลอด ตอนที่อาวุธสองชิ้นปะทะกัน ก็ยิ่งทำให้ง่ามนิ้วของสะพานสวรรค์น้อยสะเทือนจนยิ่งทำให้ง่ามนิ้วมือชา นางทำได้เพียงอาศัยท่าร่างอันปราดเปรียวหลบแรงลมจากอาวุธของเขา
หนิวจื้อชุนที่กำลังได้เปรียบกลับไม่ยอมปรานี โบกกระบองเหล็กรวดเร็วราวกับรถแข่ง พร้อมทั้งใช้วิชาตัวเบาของสำนักฉวนเจินไล่โจมตีสะพานสวรรค์น้อยอย่างดุดันพักหนึ่ง
ฉากแบบนี้ ถ้าคนนอกมาเห็นเข้าจะต้องด่าว่านักพรตเต๋าสติฟั่นเฟือนแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีโจมตีที่โหดร้ายขนาดนี้รับมือกับสาวน้อยน่ารัก
ไร้ยางอายเกินไปจริงๆ!
ทว่าหลายคนที่อยู่ในสนามกลับไม่ได้สะเทือนใจมากนัก เพราะเป็นการประลอง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกิดความเสียหายจริง
ถ้าเจ้าหมอนี่จงใจใช้วิธีอ้างความเป็นสุภาพบุรุษเพื่อยอมแพ้การประลองนี้ กลับจะถูกทุกคนดูถูกเหยียดหยามด้วยซ้ำ
หลังจากลองโต้ตอบหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล ในที่สุดสะพานสวรรค์น้อยก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วพลันถอยหลังอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดึงระยะห่างออกจากหนิวจื้อชุน บนมือซ้ายของนางก็ปรากฏกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่ง
ท่ามกลางสายตาฉงนสนเท่ห์ของคนอื่น สะพานสวรรค์น้อยกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ในเมื่อสหายหนิวเผยความสามารถที่แท้จริงแล้ว ข้าเองก็ไม่มีทางปิดบังต่อไปได้แล้วเช่นกัน”
ขณะที่พูด กระบี่สองเล่มในมือก็ไขว้กันตรงหน้าอก จากนั้นก็ใช้กระบี่คู่รับมือกับเงากระบองที่หนาแน่นเต็มฟ้าของหนิวจื้อชุน ด้ามหนึ่งฟันตรง อีกด้ามแทงเฉียง
นางใช้ท่า ‘พเนจรสุดขอบฟ้า’ ใน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ กับท่า ‘พเนจรสุดขอบฟ้า’ ใน ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’!
สะพานสวรรค์น้อย ไม่น่าเชื่อว่าเคล็ดกระบี่ที่นางใช้ตอนนี้คือ…
กระบี่คู่ผนึกรวม!