ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 224 อวิ๋นหวาซั่งเซียน
ตอนที่ 224 อวิ๋นหวาซั่งเซียน
NPC สองคนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหินสามชาติล้วนอยู่ในวัดร้าง หยวนเจินอยู่ที่วัดร้างโหย่วเจียนทางฝั่งตะวันออก ส่วนหลวงจีนไว้ผมก็พักอยู่ที่วัดร้างอู๋เจียนทางทิศตะวันตก
ทั้งหกคนเดินเลียบระหว่างสองวัดร้างนี้ตรงไปยังกำแพงเมืองหลวง แต่ตลอดทางก็ไม่เห็นผู้ไล่สังหารเยี่ยเว่ยหมิงเลย
หลังจากทุกคนมาถึงวัดร้างอู๋เจียนทางฝั่งตะวันตกของเมือง ทิ้งระยะห่างไกลแล้ว ก็ค้นพบจุดที่ผิดปกติ
เนื่องจากประตูใหญ่ของวัดร้างเปิดอยู่ จากด้านนอกมองเห็นสถานการณ์ข้างในได้บางส่วน และในขอบเขตสายตาที่ทุกคนมองเห็น กลับไม่มีเงาของ NPC ที่เหมือนพระธุดงค์เลย
มีเพียงผู้เล่นที่อกผายไหล่ผึ่งคนหนึ่ง กำลังยืนเอามือไพล่หลังและหันหลังให้ประตูใหญ่ คนผู้นี้สวมชุดจิ้นจวง[1]สีเหลืองอ่อนทั้งตัว ดูคล่องตัวมาก บนบ่าพาดผ้าขนสัตว์สีดำ ดูโอ้อวดเป็นพิเศษ
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็ยกมุมปากยิ้มอย่างนึกสนุก บอกกับเพื่อนๆ ผ่านช่องทีมว่า [เป็นอย่างที่คาดไว้ ผู้ไล่สังหารคนนี้ปะปนอยู่กับเป้าหมายภารกิจของพวกเรา ดูท่าแล้ว ข้าคงไม่ต้องตั้งใจไปตามหาเขาแล้ว]
หนิวจื้อชุนที่อยู่ข้างกันเห็นแล้วงง [เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนนี้คือผู้ไล่สังหาร]
เยี่ยเว่ยหมิงตอบเรียบๆ [บนศีรษะของเขาเขียนไว้แล้ว]
[ทำไมข้าไม่เห็น]
[เจ้าไม่มีภารกิจนี้ ก็ย่อมไม่เห็นอยู่แล้ว]
ขณะที่กำลังคุยกัน ทุกคนก็หยุดเดินอยู่นอกประตูใหญ่ของวัดร้างอู๋เจียนแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงมองเจ้าหนุ่มที่แต่งตัวโอ้อวดคนนั้นอีกครั้ง อีกฝ่ายยังคงหันหลังยืนให้ประตูใหญ่ เงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยประมาณสี่สิบห้าองศา จ้องรูโหว่รูหนึ่งบนกำแพง
ราวกลับจะเล่นบทเทพบุตรในวัดร้างที่มีรูระบายลมทั่วทั้งสี่ด้านให้ได้
บนศีรษะของเขามีตัวอักษรสีแดงและสีดำสะดุดตาสองแถวลอยอยู่
แถวแรกเป็นตัวอักษรสีแดงตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘ผู้ไล่สังหาร’ แถวที่สองก็คืออักษรตัวบรรจงสีดำ เขียนชื่อของเขาเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ…อวิ๋นหวาซั่งเซียน (อู่ตัง)
“อวิ๋นหวาซั่งเซียน?” ชื่อของผู้ไล่สังหารทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกปวดไข่ + พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง อดบ่นในช่องทีมไม่ได้ว่า [เจ้าหมอนี่ตั้งชื่อได้อวดดีขนาดนี้ ผู้เฒ่าจางซานเฟิงรู้หรือเปล่า]
บรรพจารย์ของอู่ตังอย่างมากก็ถูกคนในยุทธภพเรียกขานว่า ‘เจินเหริน[2]’ เท่านั้น แต่เจ้าคนไร้ยางอายที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเติมคำว่า ‘ซั่งเซียน[3]’ ไปด้วย ไม่รู้จักเลยว่าความถ่อมตัวคืออะไร
[รู้แล้ว] ตอนนี้ฉางซิงอวี่ที่อยู่ในช่องทีมกลับขานรับ “เจ้าหมอนี่ตอนอยู่ที่อู่ตังก็ถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือไม่กี่คนของสำนักเช่นกัน ได้รับคำชี้แนะเคล็ดกระบี่จากจางซานเฟิง ฝีมือยอดเยี่ยม”
เมื่อได้อ่าน น้องดาบที่อยู่ข้างกันก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ [เทียบฝีมือกับเจ้าแล้วเป็นอย่างไร]
[คำถามนี้ข้าเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน] ฉางซิงอวี่ตอบอย่างจริงจังมาก [ในสำนัก นอกจากศิษย์พี่อวิ๋นเหมี่ยนที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอู่ตัง ที่เหลืออีกไม่กี่คนก็ไม่มีใครยอมใคร]
พออ่านถึงตรงนี้ น้องดาบก็หมดความสนใจอวิ๋นหวาซั่งเซียนคนนี้แล้ว
หนิวจื้อชุนต่อบทสนทนากับฉางซิงอวี่ [ดังนั้น เขาก็คือหนึ่งในยอดฝีมือที่ต่างก็ไม่ยอมกันและกันพวกนั้นหรือ เจ้าเองก็เป็นที่สองในนั้นด้วย]
[ไม่!] ฉางซิงอวี่พูดอย่างเอาจริงเอาจังมาก [ข้าเป็นหนึ่งในนั้น เขาต่างหากเป็นที่สอง!]
ทุกคนนึกไม่ถึงว่าเขาจะใส่ใจเรื่องแบบนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางจงใจโอ้อวดอย่างนั้นของอวิ๋นหวาซั่งเซียน ก็ดูปัญญาอ่อนมากจริงๆ
ตอนที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดว่าเจ้าหมอนี่ปัญญาอ่อนขนาดไหน อวิ๋นหวาซั่งเซียนที่คิดว่าตัวเองดูดีก็เป็นฝ่ายท่องบทกวีเสียเลย “เมฆาดุจอาภรณ์ บุปผาดั่งหญิงงาม ลมวสันตฤดู…”
ชวิ้ง!
พรึ่บ
เจ้าปัญญาอ่อนนี่ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเงาคนที่โผล่ขึ้นมาในแนวเฉียงเตะถูกซี่โครงขวาแล้ว ยังไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาเขาก็อยู่ในท่ามาตรฐานอย่างสุนัขรับประทานอุจจาระเสียแล้ว เขาคะมำลงพื้นทันที หน้าไถลออกไปครึ่งเมตรถึงได้หยุด
-233!
จากนั้นเหลือศีรษะของอวิ๋นหวาซั่งเซียนก็มีตัวอักษรสีแดงลอยขึ้นมา ทุกคนกลับย้ายสายตาไปบนตัวของเจ้าหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ สรุปก็คือต่างกับหนิวจื้อชุนไม่มาก แต่ต่างกันตรงที่ในลักษณะดุร้ายของหนิวจื้อชุนปนความซื่อบื้ออยู่หลายส่วน แต่คนผู้นี้กลับให้ความรู้สึกว่าในความแข็งแรงป่าเถื่อนเจือด้วยความโอบอ้อมอารีกับซื่อตรงอยู่หลายส่วน
เหมือนกับผู้ชายแข็งแกร่งในภาพยนตร์ ทำให้คนเห็นปราดเดียวก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี
ความจริงคนที่อยู่ตรงหน้าอายุเยอะกว่าพวกเยี่ยเว่ยหมิงมาก แต่การที่เขาขึ้นยานอวกาศย้ายประชากรได้ ต่อให้แก่กว่าอย่างไรก็ไม่เกินยี่สิบห้าปี
“วอทเดอะฟัค!”
ตอนนี้อวิ๋นหวาซั่งเซียนที่ถูกเขาเตะกระเด็นพลันกระโดดลุกขึ้นมา แล้วตะคอกใส่ชายรูปร่างกำยำคนนี้อย่างเดือดดาล “ขุนเขาลำธาร อยู่ดีๆ เจ้ามาเตะข้าทำไม จะให้ข้าเก๊กหล่อดีๆ สักครั้งไม่ได้หรือ”
“เพราะรู้ว่าเจ้ากำลังเก๊กน่ะสิ!” ชายร่างกำยำทำเสียงฮึดฮัดแล้วชี้ไปบนรูระบายลมกลมๆ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือบนกำแพง “เมื่อครู่นี้เจ้าเกือบทำตายแล้ว เจ้ารู้ไหม”
อวิ๋นหวาซั่งเซียนมองตามไปทางนิ้วที่เขาชี้ แต่กลับเห็นว่ารูนั้นอยู่ตรงหน้าตำแหน่งศีรษะของเขาตอนที่เก๊กหล่อพอดีก่อนหน้านี้
หากไม่มีชายร่างกำยำคนนี้ยื่นเท้ามาเตะ การโจมตีผ่านรูบนกำแพงก็คงจะถูกบนศีรษะของเขาแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ อวิ๋นหวาซั่งเซียนก็นึกกลัวทีหลังอยู่พักหนึ่ง
การโจมตีระดับนี้ หากโจมตีโดนบนศีรษะของเขา เกรงว่าต่อให้ไม่ตายก็จะต้องหนังถลอกหนึ่งชั้นแน่นอน
ที่จริงแล้ว ด้วยพลังโจมตีของเยี่ยเว่ยหมิง ขอเพียงดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ของเขาโจมตีถูกจุดสำคัญบนร่างกาย ปัจจุบันก็ยังไม่เคยเห็นผู้เล่นคนไหนแค่หนังถลอกหนึ่งชั้นเฉยๆ แม้แต่ยอดฝีมืออย่างน้องดาบ…แค่กๆ พูดถึงประเด็นต่อไปดีกว่า
ขณะกำลังมองชายร่างกำยำที่ใช้เท้าแก้สถานการณ์ตอนที่ตนลอบโจมตีก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็พลิกมือคีบลูกดีดเหล็กไว้อีก พร้อมทั้งบอกผ่านช่องทีม [คนที่โจมตีระยะไกลเป็นก็โจมตีระยะไกล คนที่โจมตีระยะไกลไม่เป็นก็เตรียมตัวต่อสู้ อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามเข้าไปข้างใน ก่อกวนสักชุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน]
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกำชับ ทุกคนก็ทยอยกันใช้วิธีการของตัวเอง
ถังซานไฉ่ สะพานสวรรค์น้อยต่างคนต่างสังเวยอาวุธลับของตัวเอง
คนแรกเป็นศิษย์พี่ใหญ่สำนักถังเหมิน ในระยะเวลาห่างกันหนึ่งเดือนกว่าก็เรียนรู้วิชาอาวุธลับระดับกลางขอสำนักถังเหมินอย่าง ‘มวยซั่นโส่ว’ เป็นแล้ว แค่โบกมืออย่างสบายๆ ทีเดียว ก็มีอาวุธลับสิบกว่าชิ้นบินออกมา ทำให้อวิ๋นหวาซั่งเซียนกับชายร่างกำยำที่เพิ่งปรากฏตัวถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางอาวุธเหล่านั้น
ส่วนวิชาอาวุธลับของสะพานสวรรค์น้อยก็ลึกลับสุดๆ นางปาเข็มบินออกมาอย่าเงียบเชียบโดยที่คนอื่นไม่ทันระวังตัว อาวุธยิงขนาบท่ามกลางอาวุธลับที่ปลิวว่อนเต็มฟ้าของถังซานไฉ่ ทำให้ศัตรูทั้งสองต้องใช้สมาธิในการป้องกันอย่างมาก
ขณะเดียวกันนี้เอง ฉางซิงอวี่ที่อยู่อีกฝั่งกลับกวักมือทีหนึ่ง ธนูคันหนึ่งโผล่ออกมาจากสัมภาระ เขาขึ้นศรบนสายเตรียมยิง
หนิวจื้อชุนกับน้องดาบไม่เคยเรียนทักษะอาวุธลับ พวกเขาต่างคนต่างชักดาบและกระบี่ออกมาเตรียมต่อสู้ ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็เอามือไพล่หลัง ที่จริงระหว่างสองนิ้วกำลังคีบลูกดีดเหล็กอยู่
ยามเผชิญหน้ากับการโจมตีจากอาวุธลับที่เหมือนพายุฝน การแสดงออกของสองคนที่วัดร้างก็ไม่เหมือนกัน
ทักษะที่อวิ๋นหวาซั่งเซียนฝึกมาก็คือเคล็ดกระบี่ของสำนักอู่ตังแบบดั้งเดิม ถนัดเรื่องป้องกัน แม้จะเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยฝูงอาวุธลับไม่ว่าจะเป็นแบบเปิดเผยหรือปิดบัง ก็ยังป้องกันได้อย่างมั่นคง
เคล็ดกระบี่ของชายร่างกำยำนั่นแม้จะไม่ด้อยกว่าอวิ๋นหวาซั่งเซียน แต่เขากลับใช้เคล็ดกระบี่แบบรูปโจมตี ผลป้องกันอัตโนมัติสู้คนแรกไม่ได้ ถูกโจมตีเพียงครู่เดียวก็ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ส่วนฉางซิงอวี่ที่เตรียมตัวมาดีแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็ลงมือเช่นกัน เห็นเขาคลายมือขวาที่กำลูกธนูไว้ออก สายธนูสั่นมาพร้อมเสียงที่ดังเสียดหู ลูกธนูยิงตรงไปที่ชายร่างกำยำแล้ว
ขณะเดียวกันนี้เอง สองมือที่ไพล่หลังเยี่ยเว่ยหมิงก็ยื่นมือออกมาในแนวขวางเช่นกัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกดีดเหล็กกลายเป็นลำแสงสองสายยิงตามกันมา แบ่งไปทางท้องน้อยและหว่างคิ้วของชายร่างกำยำ
[1] ชุดจิ้นจวง 劲装 เป็นชุดที่ทะมัดทะแมงเน้นความคล่องตัว กระโปรงไม่ยาวลากพื้น ชายแขนเสื้อถูกมัดเก็บไว้
[2] เจินเหริน 真人 หรือเต้าหยิน เป็นระดับของผู้บำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ในลัทธิเต๋า
[3] ซั่งเซียน 上仙 แปลว่าเซียนชั้นสูง