ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 281 เขาทรายพิษ
ตอนที่ 281 เขาทรายพิษ
ค่ายทรายพิษ ตั้งอยู่บนเขาทรายพิษในอาณาเขตเมืองหงโจว เดิมทีภูเขาลูกนี้ไม่ได้ชื่อว่าเขาทรายพิษ เพียงแต่หลังจากถูกค่ายทรายพิษยึดไว้ จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อนี้
ส่วนชื่อเดิมของภูเขาลูกนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่บรรดาผู้เล่นสนใจ
ค่ายทรายพิษมีขนาดไม่ใหญ่ แต่เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจเนื้อเรื่องขนาดใหญ่ครั้งนี้ ระบบไม่เพียงขยายเขาทรายพิษให้ใหญ่ขึ้นจากเดิมสิบเท่า ถึงขั้นว่าแม้แต่ขนาดของค่ายภูเขา จำนวนของลูกสมุนก็เยอะขึ้นกว่าเดิมประมาณสิบเท่าด้วยเช่นกัน
กล่าวได้ว่าทุกอย่างบนเขาทรายพิษ นอกจาก BOSS อย่างหลี่เปียวที่มีเพียงคนเดียวแล้ว จำนวนอย่างอื่นก็เพิ่มขึ้นจากเดิมสิบเท่าหมด!
ลูกสมุนทั้งค่ายภูเขามีจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงขนาดว่าแม้แต่หัวโจกระดับมอนสเตอร์อีลิทก็มีเกินหลายร้อย
ลูกสมุนพวกนี้ไม่ได้อยู่แค่ในค่ายภูเขาเท่านั้น แต่เห็นพวกเขาได้ทั้งเขาทรายพิษ เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้ให้ภูเขาเท่าไร จำนวนก็จะยิ่งหนาแน่นขึ้นก็เท่านั้นเอง
ส่วนลูกสมุนธรรมดาและมอนสเตอร์อีลิทของที่นี่ เลเวลล้วนอยู่ระหว่างสามสิบห้าถึงสี่สิบห้า สำหรับผู้เล่นปัจจุบัน บางทีเลเวลของมันอาจสูงกว่ามอนสเตอร์ที่จุดอัปเลเวลนิดหน่อย แต่เวลาสู้กันขึ้นมาก็ไม่ได้ยาก
แต่เนื่องจากมอนสเตอร์ภารกิจเหล่านี้ให้ค่าประสบการณ์ไม่ต่ำ กอปรกับมีรางวัลคะแนนสะสมเป็นพิเศษ ถ้าโจมตีเพื่ออัปเลเวลที่นี่ ก็เห็นได้ชัดว่าคุ้มกว่าโจมตีที่จุดอัปเลเวลทั่วไป
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่มีผลประโยชน์ให้ตักตวง เวลาผู้เล่นต่อสู้ขึ้นมาก็ย่อมออกแรงเยอะอยู่แล้ว ทั้งเขาทรายพิษกลายเป็นจุดอัปเลเวลขนาดใหญ่ที่มีเพียงผู้เล่นที่ทำภารกิจเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
บางทีอาจถือว่าเป็นดันเจี้ยนขนาดใหญ่ก็ได้
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงมาถึง ก็พบว่าก่อนหน้านี้ตัวเองกังวลเกินไป
ตอนนี้ทั้งตีนเขาของเขาทรายพิษ ทุกที่ล้วนเห็นศพของลูกสมุนค่ายทรายพิษ หรือไม่ก็มอนสเตอร์อีลิท แต่กลับไม่เห็นศัตรูที่ถูกรีเฟรชออกมาใหม่
สิ่งนี้เท่ากับอธิบายว่าแผนที่ของเขาทรายพิษ ที่จริงแล้วเป็นแผนที่ดันเจี้ยนที่ใช้ครั้งเดียวแล้วหมดไป แม้จะมีจำนวนมอนสเตอร์เยอะ แต่ถ้าฆ่าไปหนึ่งคนก็จะน้อยลงหนึ่งคน ไม่มีศัตรูที่ถูกรีเฟรชออกมาใหม่เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประลองฆ่าซ้ำอีก
หรือพูดได้อีกอย่างว่า คะแนนสะสมของที่นี่คือสิ่งที่ต้องแย่งกัน!
เมื่อมองอันดับคะแนนสะสมอีก ก็เห็นว่าชื่อของเขาเปลี่ยนจากที่หนึ่งของสังกัดกลายเป็นที่เจ็ดของสังกัดแล้ว มีผู้เล่นหกคนที่มาถึงที่นี่ก่อนเขา คะแนนสะสมนำเขาไปแล้ว!
หลังจากสังเกตเห็นจุดนี้ มีหรือที่เยี่ยเว่ยหมิงจะมัวเสียเวลาต่อไป
เขาใช้ท่าร่างให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทันที ท่าร่างของเขามาพร้อมกับลมแรงวูบหนึ่ง พุ่งตัวไปยังจุดที่มีมอนสเตอร์บนภูเขาค่อนข้างเยอะ
ระหว่างทาง เยี่ยเว่ยหมิงพบว่าผู้เล่นที่มาเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้เยอะกว่าที่ตัวเองเคยจินตนาการไว้ แค่ตรงเขาทรายพิษอย่างเดียวก็มีผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจประลองมารวมตัวกันกลุ่มใหญ่แล้ว
และในบรรดาผู้เล่นเหล่านี้ ก็มีศิษย์จากสำนักต่างๆ มากมาย ในจำนวนนั้น สำนักที่ถ่ายทอดเคล็ดกระบี่มีเยอะที่สุด
ภูเขากว้างไกลสุดสายตา ทุกที่ล้วนเห็นเงาของผู้เล่นจากสำนักกระบี่อย่างเช่นอู่ตัง หัวซาน คุนหลุน ส่วนผู้เล่นจากสำนักที่ไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดกระบี่อย่างเส้าหลิน พรรคกระยาจกก็น้อยลงเยอะมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
ถึงขนาดว่ามีศิษย์ของสำนักฝ่ายมารอย่างพรรคจรัส พรรคสุริยันจันทราอยู่ไม่น้อยเลย หรือไม่ก็เป็นพวกผู้เล่นจากสำนักลึกลับเหมือนเยี่ยเว่ยหมิง
อย่างไรเสีย ตอนแรกที่หันเสี่ยวอิ๋งถ่ายทอดวิถียุทธ์ในหมู่บ้านมือใหม่ หลังจากผู้เล่นเลเวลถึงสิบแล้ว ก็อาจไม่มีความตระหนักรู้ต่ออาวุธเลยก็ได้
พอนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดกดไลก์ให้แผนการอันปราดเปรื่องของเจ็ดประหลาดเจียงหนานไม่ได้
เอาแค่ผู้สืบทอดที่หันเสี่ยวอิ๋งหาได้ที่หมู่บ้านมือใหม่ก็เกือบหลายพันคนแล้ว ถ้าผู้เล่นที่เป็นผู้สืบทอดเจ็ดคนนี้รวมตัวกันขึ้นมา พลังของพวกเขาก็คงจะน่ากลัวยิ่งขึ้น
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้เล่นพวกนี้แม้จะเรียกว่าเป็นผู้สืบทอดของเจ็ดประหลาดเจียงหนาน แต่ความจริงกลับเป็นคนจากหลายสำนัก ถึงอย่างไรกลุ่มของเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานก็ไม่ถือเป็นสำนักของระบบอยู่แล้ว ถ้าอยากจะเรียนทักษะยุทธ์จากพวกเขา ก็ต้องทำภารกิจที่สอดคล้องกันให้สำเร็จเสียก่อน ถึงขั้นว่าไม่ขัดกับทักษะยุทธ์ของสำนักผู้เล่นด้วย ปัจจัยนี้ทำให้ผู้ได้รับการถ่ายทอดจากพวกเขากระจายอยู่แทบทุกสำนักในเกม
สำหรับผู้เล่นเข้าร่วมประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นจากทุกสำนักยกเว้นสำนักฉวนเจิน เมื่อเทียบจำนวนของทั้งสองฝ่าย ฝั่งของเจ็ดประหลาดเจียงหนานกลับได้เปรียบโดยสมบูรณ์
แม้ผู้เล่นเหล่านี้จะเป็นส่วนน้อยจากสำนักต่างๆ ความสามารถก็ไม่ได้เท่ากันทุกคน แต่ด้วยความที่มีจำนวนมหาศาล โอกาสที่จะมียอดฝีมือปรากฏขึ้นมาก็เยอะกว่าฝั่งสำนักฉวนเจินอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นจำนวนผู้เล่นของสำนักมือปราบเทพที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในสามแล้ว คุณภาพก็สูงจนน่าตกใจเช่นกัน
แม้อัตราเปรียบเทียบนี้จะไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกทุกอย่าง แต่ได้เปรียบก็ยังดีกว่าเสียเปรียบไม่ใช่หรอกหรือ
เนื่องจากตอนแรกเยี่ยเว่ยหมิงคาดคะเนและให้ความสำคัญกับภารกิจนี้พลาดไปนิดหน่อย จึงพลาดมอนสเตอร์ชุดแรกตรงตีนเขา แต่ยิ่งขึ้นไปบนภูเขา มอนสเตอร์ก็ยิ่งมีจำนวนหนาแน่นขึ้น ประเภทของมอนเตอร์ก็มีเยอะขึ้นด้วย มีทั้งมอนสเตอร์ที่ได้วิชาหมัดมวย บางคนถือดาบกับกระบี่ ถึงขั้นมีพวกที่ใช้อาวุธลับและธนูโจมตีระยะไกล ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีคนใช้พิษได้!
ถ้ามอนสเตอร์เหล่านี้ร่วมมือกันขึ้นมา ผู้เล่นทั่วไปก็รับมือไม่ไหวแน่นอน
ผู้เข้าร่วมประลองส่วนใหญ่ทำได้เพียงล่อมอนสเตอร์ออกมาคนสองคน จากนั้นก็ค่อยๆ ฆ่า จึงฆ่าได้ไม่เร็วมากนัก
แต่ขนาดมอนสเตอร์ยังร่วมมือกันได้ ผู้เล่นก็ย่อมมีวิธีการของผู้เล่นเช่นกัน พอจับกลุ่มกันสามถึงห้าคน ความเร็วในการฆ่ามอนสเตอร์ก็เพิ่มขึ้นแล้วไม่น้อย
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงมาถึงที่นี่แล้ว ก็ได้รับคำเชิญจากหลายทีมมาก แต่เขาก็มองข้ามทั้งหมดอย่างไม่ลังเล
คนที่กล้าหาญและมีฝีมืออย่างเขา บุกเดี่ยวฆ่ามอนสเตอร์ย่อมเร็วกว่าอยู่แล้ว
คนที่มีศักยภาพแข็งแกร่งอย่างเขา ไม่สนใจการล้อมโจมตีของมอนสเตอร์ประเภทต่างๆ เลย เขาใช้เคล็ดกระบี่มังกรร่อนล่อหงส์โจมตีตลอดทาง เหมือนขับรถไฟขบวนยาววิ่งขึ้นเขาไปประมาณยี่สิบเมตร รถไฟก็มีตู้รถเพิ่มมาเจ็ดตู้แล้ว
เมื่อรู้สึกว่าถ้าวิ่งต่อไปพวกที่อยู่ข้างหลังสุดอาจจะหลุดแถวได้ เขาถึงได้ยอมหยุดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แล้วหันตัวมาปล่อยพลังฝ่ามือใส่
เขาใช้มังกรซ่อนกบดานถล่มกลุ่มมอนสเตอร์ให้กระเด็นไปก่อน จากนั้นถือกระบี่แสงทองบุกเข้าไปท่ามกลางกลุ่มมอนสเตอร์ที่ถูกโจมตีจนติดสถานะลอย แล้วใช้กระบี่ล้ำค่าร่อนขึ้นร่อนลง ใช้แต่กระบวนท่าที่ฆ่าศัตรูได้สองคนพร้อมกันในครั้งเดียว เช่นฟันในแนวขวางและแนวเฉียง ไม่หวังให้พลังโจมตีแข็งแกร่งที่สุด แต่หวังให้โจมตีเป้าหมายตายเยอะที่สุด
อย่างไรเสียด้วยพลังโจมตีของเขาตอนนี้ ต่อให้เป็นกระบวนท่าที่ธรรมดาที่สุด แต่เมื่อโจมตีบนตัวมอนสเตอร์ก็เกิดดาเมจมหาศาลได้เหมือนกัน
หลังจากโจมตีแบบนี้ไปสักพัก เขาก็พลันถอยหลัง หลังจากรักษาระยะห่างกับกลุ่มมอนสเตอร์ได้พอสมควรแล้ว ก็ใช้มังกรซ่อนกบดานโจมตีซ้ำไปอีก มอนสเตอร์ที่เดิมทียังกระโดดโลดเต้น ตอนนี้ล้มเกลื่อนเต็มพื้นทันที
จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ดีดลูกดีดเหล็กจนเกิดเสียงฝ่าอากาศดังแสบหู ยิงจมเข้าไปในหว่างคิ้วของมอนสเตอร์อีลิท
เกิดผลปลิดชีพอีกแล้ว!
จากนั้นก็รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โจมตีสองครั้งก็จัดการพวกที่หนีรอดสองคนสุดท้ายได้แล้ว จากนั้นก็เตะศพ หลังจากพบว่าไม่มีของมีค่าอะไรให้เก็บ เขาก็เลี้ยวขึ้นภูเขาต่อไปทันที
การโจมตีที่ราบรื่นเหมือนเมฆาเหินน้ำไหล กลุ่มผู้เล่นที่ดูอยู่แถวนั้นได้แต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ฉากนี้ทำให้ผู้เล่นมากมายในทีมนึกย้อนไปถึงเกมอื่นที่เคยเล่นไม่ได้ ตอนที่พวกเขายังเป็นมือใหม่ เพิ่งออกจากหมู่บ้านมือใหม่ แล้วสู้กับมอนสเตอร์ที่จุดอัปเลเวลอย่างยากลำบาก จู่ๆ กลับพบว่าข้างกายมีชายหนุ่มที่อุปกรณ์บนตัวเปล่งแสงได้คนหนึ่งโผล่มา ออกท่าออกทางไม่กี่ทีก็ปลิดชีพมอนสเตอร์ระดับสูงที่รับมือยากเป็นพิเศษไปแล้วกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าที่ฆ่าได้จะเป็นมอนสเตอร์เล็กๆ ทั่วไปหรือ BOSS ก็ล้วนถูกสังหารได้ง่ายดายราวกับฟันฟักหั่นผัก
สายตาที่พวกเขามองเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ ก็เหมือนสายตาที่มองพวกอวดเก่งเบอร์ใหญ่ในหมู่บ้านมือใหม่พวกนั้น
ความตกตะลึงนี้ถึงขั้นทำให้พวกเขามองข้ามการต่อสู้ของตัวเอง เกือบจะเกิดฉากรันทดที่ตายยกกลุ่มแล้ว
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่รู้ตัวว่าการโจมตีของเขาจะส่งผลกระทบต่อคนอื่น
หลังจากกำจัดศัตรูไปแล้วชุดหนึ่ง เขาก็นับคะแนนสะสมของตัวเองเงียบๆ แล้วพบว่าลูกสมุนแต่ละคนที่ตนฆ่าตายจะได้คะแนนสะสมประมาณเจ็ดแต้ม ส่วนมอนสเตอร์อีลิทกลับให้คะแนนสะสมเจ็ดสิบแล้ว ลูกสมุนทั่วไปสิบแต้ม
เลขเจ็ดกับเลขเจ็ดสิบ ทำให้เขานึกถึงวิธีแบ่งคะแนนสะสมตอนประลองเข้าตระกูลมู่หรง คาดว่าภารกิจนี้ก็คงกระตุ้นให้ทีมของผู้เล่นมาหาคะแนนสะสมเช่นกัน
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่มีความคิดที่จะตั้งทีมกับคนอื่น นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเป็นสหายที่เขาเชื่อใจได้
แต่ความเป็นจริงก็คือ บนเขาทรายพิษมีผู้เล่นเยอะขนานั้น แต่เขากลับไม่รู้จักเลยสักคน
หลังจากกำจัดศัตรูชุดนี้ไปแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เพิ่มความเร็วอีกครั้งทันที ใช้เคล็ดกระบี่ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ พุ่งขึ้นไปบนยอดเขาตลอดทาง
เดินไปอีกประมาณยี่สิบเมตร ความยาวตู้รถไฟของเขาก็เพิ่มเป็นยี่สิบสามตู้แล้ว ในจำนวนนั้นมีหัวโจกโจรภูเขาที่เป็นมอนสเตอร์อีลิทเขาร่วมด้วย
เพียงแต่สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ มอนสเตอร์ประเภทนี้ต่อให้มีจำนวนมากขนาดไหน แต่ก็หาคนที่สร้างภัยคุกคามให้เขาได้ยากมากอยู่ดี
เขายังคงใช้กระบวนท่าต่อเนื่องที่ดูเหมือนกระแสน้ำในแนวตรง ใช้มังกรซ่อนกบดานต่อด้วยเคล็ดกระบี่ฉวนเจิน แล้วก็ต่อด้วยมังกรซ่อนกบดาน จากนั้นใช้วิชาดรรชนีศักดิ์สิทธิ์จัดการมอนสเตอร์อีลิท ใช้เคล็ดกระบี่ฉวนเจินตามเก็บพวกที่้เหลือรอด พอทำต่อเนื่องไปอย่างนี้ ก็ได้คะแนนสะสมอีกสองร้อยแปดสิบเจ็ดคะแนนแล้ว
หลังจากจัดการมอนสเตอร์ชุดนี้เรียบร้อย เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่หยุด เขาชูกระบี่ที่ใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ พุ่งขึ้นไปสูงกว่าเดิม แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นที่ภูเขา ทำให้พ้นจากสายตาของกลุ่มผู้เล่นก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อเห็นเส้นทางการบุกโจมตีแบบสูตรคณิตศาสตร์ ‘หาระยะทางที่ใกล้ที่สุดระหว่างจุดสองจุด’ ของเยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นอู่ตังคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็อ้าปากกว้าง แล้วบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงว่า “ดูท่าทางของเจ้าหมอนั่นสิ คงไม่ได้คิดจะสังหารสร้างทางเลือด จากนั้นพุ่งเข้าไปสังหารหลี่เปียวในค่ายโดยตรงหรอกใช่ไหม”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” ข้างกายผู้เล่นอู่ตังคนนี้ ผู้เล่นของสำนักซงซานคนหนึ่งบอกว่า “หลี่เปียวเป็นบอสคนสุดท้ายของภารกิจนี้ อย่างน้อยก็เลเวลสี่สิบห้า เขาคนเดียวจะสู้ชนะได้อย่างไร ข้างกายเขาไม่มีเพื่อนร่วมทีมสักคน ข้าว่าเขาอาจจะแค่อยากหาสถานที่ที่เหมาะสมสักหน่อย แล้วก็ฆ่ามอนสเตอร์เล็กๆ เพื่อสะสมคะแนนให้เพิ่มขึ้นเร็วๆ”
“ที่จริงก็ไม่แน่” ตอนนี้ผู้เล่นสำนักหัวซานที่เป็นหัวหน้าทีมบอกว่า “ยอดฝีมือที่ฆ่ามอนสเตอร์ได้เร็วกว่าตั้งทีมอย่างพวกเรา จะต้องดูถูกกลุ่มผู้เล่นธรรมดาอย่างพวกเราแน่นอน บางทีเขาอาจจะโจมตีไปถึงยอดเขาก่อน แล้วค่อยหาเพื่อนร่วมทีมที่มีความสามารถพอๆ กัน แล้วค่อยไปฆ่าหลี่เปียวด้วยกันก็ได้”
พอพูดจบ ผู้เล่นสำนักหัวซานคนนี้ก็พลันส่ายหน้า “พวกเราจะคิดมากขนาดนั้นทำไม หลี่เปียวนั่นคือคนที่พวกเราควรสนใจหรือ…
…ฐานะผู้เล่นธรรมดา ก็ต้องมีจิตสำนึกของผู้เล่นธรรมดา!…
…หลี่เปียวอะไรนั่น บางทีรายชื่อผู้เข้าร่วมประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณอาจไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราก็ได้ พวกเราฆ่ามอนสเตอร์อย่างซื่อสัตย์ดีกว่า พยายามหาคะแนนสะสมมาแลกเป็นค่าประสบการณ์ ค่าตบะ นี่ต่างหากคือหนทางที่ถูกต้อง…
…อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย ฆ่ามอนสเตอร์ต่อไปเถอะ!”