ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 310 ทะยานบันไดเมฆา
ตอนที่ 310 ทะยานบันไดเมฆา
“ฮัดชิ่ว!”
เยี่ยเว่ยหมิงที่เดินออกจากวิหารเจินอู่ อยู่ดีๆ ก็จามหนึ่งที จากนั้นก็เอามือนวดจมูก แต่ถลันร่างสองสามทีก็ออกไปอยู่นอกวิหารเจินอู่ไกลแล้ว เขาหย่อนก้นนั่งบนหินก้อนหนึ่งที่มุมค่อนข้างดี
ตรงนี้อยู่ไม่ไกลกับทางเข้าออกวิหารเจินอู่ ผู้เล่นอู่ตังที่เดินทางผ่านจุดนี้มีไม่น้อย แต่ก็ยังสงบเงียบมาก
อย่างไรเสียในบรรดาผู้เล่นอู่ตัง ก็มีไม่กี่คนที่กล้ามาเอะอะโวยวายใกล้ๆ วิหารเจินอู่
ตอนที่กำลังสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขา เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายมาก เขาโบกมือเรียกตำราลับ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ออกมาทันที แล้วก็เริ่มอ่านอย่างละเอียดทีละตัวบนเขาอู่ตัง
ไม่รู้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของเขาอู่ตังทำให้ความคิดโลดแล่นหรือเปล่า เยี่ยเว่ยหมิงใช้เวลาไม่ถึง สิบนาทีก็อ่านตำราลับ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ตั้งแต่ต้นจนจบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งผลจากการอ่านครั้งนี้ก็ดีกว่าที่ผ่านมาเยอะด้วย เขาถึงขั้นจำได้ทุกตัวอักษร ทุกประโยค และทุกภาพที่ตัวเองเคยอ่านได้
หลังจากเขาอ่านอักษรตัวสุดท้ายบนตำราลับเล่มนี้จบแล้ว เสียงแจ้งเตือนของระบบที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นตามนัด
[ ติ๊ง! คุณตั้งใจอ่านศึกษาตำราลับ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ อย่างละเอียด ตระหนักรู้วิชาตัวเบา ‘ทะยานบันไดเมฆา’ แล้ว ได้รับค่าประสบการณ์ทะยานบันไดเมฆา 2000 แต้ม]
[ติ๊ง! ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ของคุณเพิ่มเลเวลแล้ว ตอนนี้เป็นเลเวลสอง!]
ที่แท้ประสิทธิภาพจากการอ่านก็ส่งผลต่อประโยชน์ที่ได้รับโดยตรง!
เยี่ยเว่ยหมิงจดจำไว้ในใจเงียบๆ แล้วย้ายสายตาไปบนค่าสเตตัสของ ‘ทะยานบันไดเมฆา’
[ทะยานบันไดเมฆา]
สุดยอดวิชาตัวเบาของสำนักอู่ตัง สุดยอดวิชาตัวเบาของสำนักอู่ตัง ไม่ใช่การเปลี่ยนฝีเท้าทำให้คู่ต่อสู้สับสน หลักๆ ใช้วิชาตัวเบา ขึ้นลงรุกถอยได้อย่างอิสระ
เลเวล: 2 ( +1)
ค่าประสบการณ์: 0/4000
ท่าร่าง +100 ( +50)
ความว่องไว +50 ( +25)
……
มีทักษะยุทธ์มากมายที่หากดูจากตัวอักษรอย่างเดียวก็จะแสดงจุดที่ยอดเยี่ยมของมันออกมาได้ไม่เต็มที่
ก็เหมือนกับวิชาตัวเบา ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ในข้อมูลบอกไว้เพียงว่า หลังจากฝึกแล้วค่าสเตตัสจะเพิ่มขึ้น แต่แก่นสารที่แท้จริงของมันก็คือจะแสดงประสิทธิภาพของค่าสเตตัสปัจจุบันออกมาอย่างไรให้สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวอักษรอธิบายให้กระจ่างได้ ต้องให้ผู้เล่นใช้ตัวสัมผัสประสบการณ์เอง
แต่อาศัยแค่สองจุดที่บรรยายไว้ในข้อมูลแนะนำ ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตาเป็นประกายได้แล้ว
ในฐานะวิชาตัวเบาระดับสูงวิชาหนึ่ง ทุกครั้งที่เพิ่มหนึ่งเลเวล ค่าสเตตัสท่าร่างก็จะเพิ่มห้าสิบแต้ม แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกเหนือความคาดหมาย สิ่งที่ทำให้เขาผิดคาดจริงๆ ก็คือ ทุกเลเวลที่เพิ่มขึ้นจะมีโบนัสความว่องไวยี่สิบห้าแต้ม!
เป็นเพราะมี ‘เงาของเทพกระบี่’ อยู่แล้ว สำหรับเยี่ยเว่ยหมิง ความว่องไวยี่สิบห้าแต้มที่เพิ่มขึ้นกลับเพียงพอที่จะทำให้เขาแสดงประสิทธิภาพของมันได้ห้าสิบแต้มแล้ว!
ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว วิชาตัวเบาที่ดีขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องรีบเพิ่มเลเวลให้มันสิถึงจะถูกต้อง
พอคิดถึงจุดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็พลิกข้อมือ ‘ตระหนักรู้วิชาตัวเบา’ ที่ได้จากเถียนปั๋วกวงปรากฏอยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว ถือโอกาสตอนที่กำลังวังชาและจิตใจอยู่ในสภาพดีเริ่มอ่านตำราอย่างจริงจัง
หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที…
[ติ๊ง! คุณอ่านศึกษา ‘ตระหนักรู้วิชาตัวเบา’ จนตระหนักรู้ ได้รับค่าประสบการณ์วิชาตัวเบา 168000 แต้ม! กรุณาเลือกวิชาตัวเบาเพื่อใช้งาน]
ยังต้องเลือกอีกหรือ ก็ต้องเลือก ‘ทะยานบันไดเมฆา’ อยู่แล้ว!
ใช้ตำราลับตระหนักรู้ไปหนึ่งเล่ม ทำให้วิชาตัวเบา ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ที่เดิมทีเลเวลสอง ตอนนี้เพิ่มเป็นเลเวลหกในรวดเดียว
ยิ่งอ่านยิ่งขยัน เยี่ยเว่ยหมิงนำ ‘ตระหนักรู้วิชาดาบ’ ของเถียนปั๋วกวง ‘ตระหนักรู้วิชาหมัด’ ของเหมียวฟู่ ‘ตระหนักรู้วิชาหมัด’ ของหวังเซิงขึ้นมาใช้พร้อมกันทีเดียว แต่ครั้งนี้ไม่ได้โชคดีขนาดนั้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าขนาดเพิ่มค่าประสบการณ์จากตำราลับสามเล่มไปที่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ทั้งหมด แต่กลับทำให้เลเวลเพิ่มไม่ได้
สุดท้ายก็นำ ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ ที่ลึกซึ้งเข้าใจยากและอ่านออกเสียงไม่คล่องปากออกมา เล่มนี้อ่านแล้วเปลืองพลังนิดหน่อย แต่เขาที่กำลังอารมณ์ดีก็ยังอ่านอย่างได้อรรถรสอยู่ดี
จิงเว่ยถมทะเล ควาฟู่ไล่ตะวัน…ได้เรียนเนื้อหานิทานที่คุ้นเคยอีกครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกสนุกมาก ทั้งแต่ละเรื่องยังมีความหมายที่ลึกซึ้งมากอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องสิงเทียนหัวกุดที่แสดงให้เห็นถึงผู้กล้าที่อยู่ในใจของคนรุ่นก่อน เรื่องควาฟู่ไล่ตะวันที่ส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่ท้อถอย เรื่องจิงเว่ยถมทะเลที่แสดงให้เห็นว่าคนขายชาติไม่มีจุดจบที่ดี…
เหมือนเข้ามาอยู่ในเรื่องราวพิลึกอะไรสักอย่าง?
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วชื่นชมเรื่องราวของเทพกงก้งโมโหชนภูเขาปู้โจวต่อไป…
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นข้างหูเขาอีกครั้ง
[ติ๊ง! คุณได้รับความรู้มากมายหลังจากตั้งใจศึกษา ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ ตระหนักรู้ทักษะประเภทความคิด ‘วรรณกรรม’
ได้รับ
ค่าประสบการณ์ฝีมือทำครัว +10000 แต้ม
ค่าตระหนักรู้ +5!]
[ติ๊ง! เลเวลฝีมือทำครัวเพิ่มแล้ว ตอนนี้คือเลเวลหก!]
เดี๋ยวก่อนนะ!
อ่าน ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ แล้วปลดล็อกทักษะวรรณกรรม จุดนี้ยังพอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็เป็นคัมภีร์โบราณที่มีมาก่อนสมัยราชวงศ์ฉิน แต่การเพิ่มค่าประสบการณ์ฝีมือทำครัวหมายความว่าอะไร
อย่าบอกนะว่าทุกสรรพสิ่งจะถูกเพิ่มไปที่ฝีมือทำครัวหมด
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า ไม่คิดวนเวียนกลับคำถามนี้อีก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแย่
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หลังจากอ่าน ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ จบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าตัวเองหิวนิดหน่อย
เขานำไก่ขอทานที่พกติดตัวไว้ประจำมากินให้อิ่มท้อง จากนั้นย้ายสายตาไปที่คอลัมน์สกิลของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าขาดค่าประสบการณ์อีกแค่ 17000 แต้มก็จะเพิ่มเลเวล ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ได้อีกครั้ง เแล้วก็เห็นค่าตบะที่สะสมได้ถึง 235616 แต้มหลังจากสังหารเถียนปั๋วกวง เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ลังเลอีกแล้ว เพิ่มเลเวลให้วิชาตัวเบาอีกสองเลเวลทันที!
จากนั้นค่าตบะสองหมื่นกว่าแต้มของเขาก็เหลืออยู่เพียง 18616 แต้มเท่านั้น
หลังจากจ่ายราคานี้ไปแล้ว ค่าสเตตัสของ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ก็เปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน
[ทะยานบันไดเมฆา]
เลเวล: 8 (+1)
ค่าประสบการณ์: 0/500000
ท่าร่าง +400 (+50)
ความว่องไว +200 (+25)
……
สุดท้ายก็ยังขาดไปอีกนิดหน่อย
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ เลเวลแปดคือเลเวลที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกยากลำบากมาก
เพราะขอเพียงเขาเพิ่ม ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ถึงเลเวลเก้า เช่นนั้นเลเวลวิชาตัวเบา +1ที่มากับอุปกรณ์อย่าง ‘รองเท้าเจ้าลมกรด’ ก็จะทำให้เขาใช้โบนัสค่าสเตตัสของเลเวลสิบล่วงหน้าได้แล้ว
หากเพิ่มเลเวลของวิชาทะยานบันไดเมฆาให้ถึงเลเวลสิบ ก็จะเปิดใช้งานเอฟเฟ็กต์พิเศษของวิชาตัวเบานี้ได้อย่างราบรื่นขึ้นแล้ว
เขาส่ายหน้า โยนความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความจริงทิ้งไป แล้วใช้งานท่าร่าง ‘ทะยานบันไดเมฆา’ วิ่งทะยานชมทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ของเขาอู่ตังเสียเลย
วิชา ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ของอู่ตังสมกับเป็นวิชาตัวเบาระดับสูงสำหรับปีนเขาจริงๆ ไม่เพียงแค่ลอดถ้ำข้ามภูเขาได้เหมือนวิ่งบนพื้นราบ ทั้งยังมีโบนัสค่าสเตตัสด้านความเร็วอีกด้วย
ถ้าจะบอกว่า ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ ก่อนหน้านี้ทำให้ค่าสเตตัสท่าร่างของเขาแสดงผลออกมาเต็มร้อยได้ เช่นนั้น ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ก็ทำให้ค่าสเตตัสท่าร่างของเขาแสดงผลออกมาเกินระดับ!
ถ้าเทียบความเร็วตอนเคลื่อนย้ายร่างกายของเยี่ยเว่ยหมิงในตอนนี้กับก่อนฝึก ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นแล้วหนึ่งเท่า!
ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นเพียงเงาเลือนรางแวบผ่านหน้า ไม่มีทางเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้ชัดเจนเลย ถ้ามองจากจุดไกลๆ ก็จะเห็นเหมือนเป็นเหยี่ยวตัวหนึ่งบินลอดข้ามระหว่างแนวเขา ช่างดูอิสระสำราญใจ!
ทันใดนั้น เขากลับเห็นเงาร่างสีขาวแวบผ่านตรงหน้า พอเพ่งมองก็พบว่าเป็นผู้เล่นที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีขาวคนหนึ่ง กำลังใช้ท่าร่าง ‘ทะยานบันไดเมฆา’ วิ่งขึ้นเขาลงเขาเช่นเดียวกัน ท่าร่างสง่างามล่องลอย ความเร็วเหมือนจะไม่ด้อยกว่าตนเลยแม้แต่น้อย
บนเขาอู่ตังแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมียอดฝีมือวิชาตัวเบาระดับนี้อยู่ด้วย
เยี่ยเว่ยหมิงที่เพิ่งเรียนวิชาตัวเบาระดับสูงมา ตอนนี้กำลังลำพองใจมาก เมื่อเห็นว่ามีคนกล้าวิ่งเร็วขนาดนี้อยู่ตรงหน้าตัวเอง ก็เกิดอยากเอาชนะทันที จึงใช้ท่าร่างไล่ตามอีกฝ่ายไป
นักพรตเต๋าชุดขาวผู้นั้นรู้สึกได้ว่ามีคนตามอยู่ข้างหลังตัวเอง แต่เพียงกลับหันมามองแวบเดียวแล้วเผยรอยยิ้มที่เป็นมิตรให้
อีกฝ่ายมีใบหน้าเด็กกว่าอายุ ทำให้มองไม่ออกว่าอายุเท่าไรกันแน่
ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความเป็นมิตรออกมาก่อน เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมพยักหน้ายิ้มตอบอย่างมีมารยาทมากเช่นกัน
จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาวิ่งตะบึงต่อไป เยี่ยเว่ยหมิงก็ไล่ตามต่อไปเช่นกัน
โดยไม่ทันรู้ตัว เยี่ยเว่ยหมิงปรับความเร็วของตัวเองจนถึงขีดสุดแล้ว แต่กลับยังรักษาระยะห่างกับอีกฝ่ายได้เท่าเดิม ยังเข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็ยังวิ่งหนีไม่พ้นสายตาเช่นกัน
ในระหว่างที่วิ่งตะบึงอยู่นั้น เยี่ยเว่ยหมิงกลับพบว่าแม้จะเป็น ‘ทะยานบันไดเมฆา’ เหมือนกัน แต่เวลาที่อีกฝ่ายใช้งานกลับให้ความรู้สึกต่างกับตอนตนใช้งานโดยสิ้นเชิง
นักพรตเต๋าชุดขาวผู้นั้น แม้จะไม่ได้อาศัยแรงค้ำจากกิ่งไม้หรือยอดหญ้าได้อย่างสบายๆ เหมือนเยี่ยเว่ยหมิง แต่ทุกย่างก้าวล้วนมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
ความรู้สึกแบบนี้บรรยายได้ไม่ชัดเจน แต่กลับสมจริงขนาดนั้น ราวกับว่า ‘ทะยานบันไดเมฆา’ เดิมทีควรจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติมาก
ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็วิ่งจากภูเขาลูกนี้จนไปถึงยอดเขาอีกลูกที่สูงทะลุเมฆแล้ว
นักพรตเต๋าชุดขาวผู้นั้นหยุดยืนบนแท่นหินก่อน จากนั้นนำกระบี่ล้ำค่าที่มีลักษณะธรรมดาเรียบง่ายเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะหันตัวโจมตีไปทางเยี่ยเว่ยหมิง แต่ปากกลับบอกว่า “ศิษย์พี่ ระวัง”
อีกฝ่ายกำลังรู้สึกว่าด้านวิชาตัวเบาเอาชนะข้าไม่ได้ จึงคิดจะประลองเคล็ดกระบี่อย่างนั้นหรือ
แต่หากพูดถึงเคล็ดกระบี่ เยี่ยเว่ยหมิงเคยกลัวใครเสียที่ไหน
จึงตอบกลับทันทีว่า “เข้ามาก็ดี!”
จากใช้ก็ใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ สู้กับอีกฝ่าย
พอประมือกัน เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ค้นพบจุดที่ร้ายกาจของอีกฝ่าย เขาใช้ ‘กระบี่ละมุนดรรชนีเผา’ ของสำนักอู่ตัง เคล็ดกระบี่นี้เยี่ยเว่ยหมิงเคยเห็นอินปู้คุยใช้เช่นกัน แต่แม้จะเป็นเคล็ดกระบี่ชุดเดียวกัน แต่เมื่อนักพรตเต๋าชุดขาวผู้นี้เป็นคนใช้งานมัน กลับสื่อความหมายแตกต่างกับตอนอินปู้คุยใช้งานมันโดยสิ้นเชิง
ในมือของนักพรตเต๋าชุดขาว ‘กระบี่ละมุนดรรชนีเผา’ ไม่มีความดุร้ายเลยสักนิด แต่กลับหาช่องว่างแทรกเข้าไปไม่ได้ราวกับเงินเหลวที่ไหลลงพื้น เยี่ยเว่ยหมิงสลับใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ กับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ไปสิบกว่ากระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเป็นฝ่ายเหนือกว่าไม่ได้เลย!
หลังจากสู้กันไปสามสิบกว่ากระบวนท่า ทั้งสองกลับสบตากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็เก็บกระบี่และถอยหลังพร้อมกัน
นักพรตเต๋าชุดขาวกุมหมัดคารวะก่อน “ผู้น้อยอวิ๋นเหมี่ยนแห่งอู่ตัง ท่านคงเป็นเยี่ยเว่ยหมิงแห่งสำนักมือปราบเทพกระมัง”
“ศิษย์พี่ใหญ่แห่งอู่ตัง อวิ๋นเหมี่ยน?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินชื่อแล้วตาเป็นประกาย “ข้าเคยได้ยินฉางซิงอวี่เอ่ยถึงท่าน วันนี้ได้พบกัน มีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ!”
อวิ๋นเหมี่ยนกลับส่ายหน้าน้อยๆ “ผู้เล่นมาคำนับอาจารย์ เดิมทีก็ไม่ได้เรียงลำดับอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ NPC ของสำนักจะแบ่งตำแหน่งให้ผู้เล่นหลายหมื่น คำเรียกศิษย์พี่ใหญ่ถือว่าไม่มีความหมายเลย…
…สหายเยี่ยต่างหากล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินอินปู้คุยกับฉางซิงอวี่กล่าวชมเจ้าไม่หยุดปาก พอวันนี้ได้เห็นตัวจริงแล้ว กลับพบว่าพวกเขาชมน้อยไปหน่อย…
…ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ มีมือดีอย่างสหายเยี่ยอยู่ ข้าว่าตอนงานชุมนุมกระบี่เขาหัวซานจะต้องไม่เงียบเหงาแน่”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงงทันที
“งานชุมนุมกระบี่เขาหัวซาน?”