ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 315 สหายร่วมทีมมาหาถึงที่
ตอนที่ 315 สหายร่วมทีมมาหาถึงที่
ในที่สุดประกาศิตสร้างพรรคแผ่นแรกก็ถูกลูกค้าในศาลาเจินจินประมูลซื้อไปได้อย่างราบรื่น ราคาที่ตกลงซื้อขายกันก็คือ 22000 เหรียญทอง
หลังจากหักค่าประมูลขายห้าเปอร์เซ็นต์แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้เงินไปทั้งหมด 20900 เหรียญทอง นับว่าทำกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ทั้งสี่คนเดินออกจากงานประมูล สะพานสวรรค์น้อยเป็นคนแรกที่กล่าวอำลาเยี่ยเว่ยหมิง “ไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าจะกลับไปที่สำนักสักรอบ จะถาม NPC ระดับสูงของสำนักให้ ดูว่ามีวิธีการไหนที่จะทำให้เจ้ามีโอกาสได้ปลาขาวบึงหนาวหรือเปล่า”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับเกิดความคิดบางอย่าง “จ่ายเงินซื้อโดยตรงเลยไม่ได้หรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงถามเช่นนี้ แม้จะดูเหมือนเป็นเศรษฐี แต่นี่กลับเป็นวิธีการที่เรียบง่ายที่สุด ก่อนหน้านี้สะพานสวรรค์น้อยเคยบอกว่านางกินยาจนถึงขีดจำกัดแล้ว แต่สำนักสุสานโบราณคงไม่ได้มีนางเป็นผู้เล่นคนเดียวสิ
ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่แห่งสำนักสุสานโบราณ ของถูกเรียกว่าศิษย์คนเดียวของสำนักไปแล้ว
ของดีทุกชิ้นที่เพิ่มขีดจำกัดค่าสเตตัสได้ แม้ผู้เล่นแต่ละคนจะไม่ยอมขายทิ้งง่ายๆ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกว่า ในเกมนี้ไม่มีอะไรที่ซื้อไม่ได้
ถ้ามีสิ่งที่ซื้อไม่ได้อยู่จริง ก็อธิบายได้เพียงว่าเจ้าเสนอราคาไม่มากพอ
ทว่าคำตอบของสะพานสวรรค์น้อยกลับทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตระหนักได้ว่าตัวเองมองข้ามความเป็นไปได้อีกอย่างไป “ปลาขาวบึงหนาวจัดเป็นไอเทมพิเศษ ซื้อขายไม่ได้ แลกเปลี่ยนไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ นำมากินได้เท่านั้น หรือไม่ก็นำไปทำภารกิจโดยตรง”
สำหรับกฎเหล็กของระบบ เยี่ยเว่ยหมิงทำได้เพียงปฏิบัติตามแต่โดยดี พร้อมทั้งรีบขอบคุณสะพานสวรรค์น้อยจากใจจริง แล้วรับปากนางว่าต่อไปจะหาโอกาสเหมาะๆ พานางไปออกทีวี
หลังจากมองส่งท่าร่างอันสง่างามเหนือมนุษย์ของสะพานสวรรค์น้อยจนพ้นสายตา จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็พูดกับซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกายว่า “เจ้ากับคนที่ร้านประมูลวั่นซานค่อนข้างสนิทกัน ช่วยถามให้ข้าหน่อยว่าจะติดต่อผู้ที่นำยาลูกกลอนโชคลาภอมตะสามเม็ดนั่นมาขายได้หรือไม่ หรือพวกเจ้าจะคุยกันล่วงหน้าก่อนก็ได้”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วงุนงง “สองเม็ดเจ้ายังไม่พอใช้อีกหรือ”
“ไม่พอ!” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างจริงจังมาก “ยาลูกกลอนแบบนี้ ข้าเตรียมจะตุนไว้เยอะๆ ส่วนราคาเริ่มต้นที่ข้ารับได้ก็คือเม็ดละห้าร้อยเหรียญทอง ส่วนรายละเอียดว่าจะเพิ่มราคาไปถึงขั้นไหน ข้ารู้สึกว่าเจ้าถนัดเรื่องนี้มากกว่าข้า หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะมอบของขวัญที่หน้าตาสวยงามและค่าสเตตัสดีให้เจ้าสักหลายชิ้นเลย”
สำหรับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึง ซานเย่ว์ก็ไม่เกรงใจเขาเช่นกัน นางตบอกรับประกันทันที “ไม่มีปัญหา!”
จากนั้นนางก็บอกลาเยี่ยเว่ยหมิงแล้วรีบไปทำธุระของตัวเอง
ก่อนหน้านี้นางเคยบอกว่าอยากเปิดร้านค้าอุปกรณ์ ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงยุ่งอยู่กับการพเนจรทำภารกิจไปทั่ว ร้านค้าอุปกรณ์ของนางก็เปิดดำเนินกิจการอย่างเป็นทางการแล้ว
แหล่งเงินทุนหลักก็คือผู้เล่นสามคนของสำนักมือปราบเทพ ศิษย์พี่หญิงใหญ่และศิษย์พี่ใหญ่สำนักถังเหมิน และศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักสุสานโบราณ
สินค้าหลักๆ ที่ขายก็คืออุปกรณ์ที่ดรอปได้จากยอดฝีมือแต่ตัวเองไม่ได้ใช้งาน รับซื้ออุปกรณ์จากที่อื่นแล้วนำมาขายใหม่ ในจำนวนนั้น สินค้าที่เป็นหน้าเป็นตาก็ย่อมเป็นอุปกรณ์ที่ได้จากเยี่ยเว่ยหมิงอยู่แล้ว ทั้งสร้างชื่อเสียงให้กับร้านอุปกรณ์ ทั้งลดความยุ่งยากในการขายสินค้าให้เยี่ยเว่ยหมิงด้วย กล่าวได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เนื่องจากผู้ถือหุ้นของร้านค้าอุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็น ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ กับ ‘ศิษย์พี่หญิงใหญ่’ ของสำนักใหญ่ ซานเย่ว์จึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘ร้านอุปกรณ์กิตติมศักดิ์’ ทั้งฟังดูแข็งกร้าวทั้งเข้ากับบรรยากาศ
ร้านนี้ยังไม่มีสาขาย่อย มีเพียงสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงเปี้ยนจิง
ตรงกลางโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของร้าน เขียนอักษรขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่มีความหมายลึกซึ้งเอาไว้ โดยผู้ที่เขียนก็คือลู่ติ่งกง ขุนนางบรรดาศักดิ์กงขั้นหนึ่งของราชสำนัก
หนึ่ง!
อิงตามที่เหวยเสี่ยวเป่าบอก สาเหตุที่เขียนตัวอักษรนี้ ก็เพราะหวังว่าร้านอุปกรณ์กิตติมศักดิ์จะกลายเป็นร้านอุปกรณ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า เหมือนว่าตั้งความหวังกับร้านค้าอุปกรณ์แห่งนี้ไว้สูงมาก
และสาเหตุที่ใช้ภาษาจีนตัวย่อ ไม่ใช้ภาษาจีนตัวเต็ม ก็เพื่อสื่อว่าจะก้าวให้ทันตามวันเวลา
แน่นอน สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
ตัวอักษรนี้ เขาเขียนเป็น!
สะพานสวรรค์น้อยไปแล้ว ซานเย่ว์ก็ไปแล้วเช่นกัน คนที่ไม่ควรไปดันไปหมดแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองน้องดาบ กำลังรอให้นางกล่าวอำลา
ทว่าน้องดาบเหมือนไม่ได้สำนึกเลยว่าตัวเองควรจะไปแล้ว กลับถามอย่างแปลกใจว่า “ข้าว่านะมือปราบหน้าเหม็น อย่าบอกนะว่าหลังจากนี้เจ้าคิดกินยาแล้วโจมตี BOSS ระดับสูงจริงๆ”
“ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “การประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคครั้งนี้ทำกำไรได้ตั้งเยอะ ต้องหาทางนำเงินไปใช้สิ เปลี่ยนให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถประจำตัวข้า…
…ไม่อย่างนั้นถ้าเก็บเงินแบบนี้ไว้ในมือ มูลค่าก็มีแต่จะลดลงไม่หยุดตามเลเวลที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่น ตอนนี้มีอุปกรณ์ที่ช่วยยกระดับความสามารถให้ข้าได้ ก็ต้องเห็นค่ามันสิ แต่มันกลับเป็นของที่ใช้เงินซื้อไม่ได้”
น้องดาบซักไซ้ต่อ “ดังนั้น เจ้าเตรียมจะจ่ายเงินซื้อยา แล้วค่อยกินยาเสริมพลังไปฆ่า BOSS ระดับสูงเพื่อดรอปอุปกรณ์ล้ำค่า?”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ บอกใบ้ว่าเจ้าเดาไม่ผิดสักนิด
คาดไม่ถึงว่าน้องดาบกลับส่ายหน้าน้อยๆ “ถึงอย่างไรอุปกรณ์ก็เป็นของนอกกาย ข้ารู้สึกว่าเพิ่มศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองสำคัญกว่า”
“อย่างน้อยก็ค่อยๆ เก็บสะสมได้สะดวก” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มเรียบๆ “ยังดีกว่าเก็บเงินเยอะเกินจนมูลค่าลดลงใช่ไหมล่ะ”
ในฐานะชาวเผ่าแสงจันทร์[1]ผู้ทรงเกียรติภูมิ เยี่ยเว่ยหมิงยืนหยัดเชื่อมั่นในหลักการนี้มาตลอด: เงินที่จ่ายออกไปแล้ว ถึงจะนับเป็นเงินของเราอย่างแท้จริง
แต่พอเห็นน้องดาบไม่มีท่าทีว่าจะไปจากตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงจึงเป็นฝ่ายบอกใบ้ก่อนว่า “จะว่าไปแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะทำอะไรต่อ เฝ้าภารกิจนั่นของเจ้าต่อไปหรือ”
“ภารกิจนั่น ข้าไหว้วานให้คนที่เชื่อถือได้ช่วยเฝ้าให้แล้ว ตอนนี้ก็เลยว่าง” ขณะที่พูด ดวงตาก็จ้องตรงไปที่เยี่ยเว่ยหมิง “มือปราบหน้าเหม็น เจ้าคิดจะไปก่อเรื่องที่ไหนต่อ พาข้าไปด้วยสักคนสิ”
ในความทรงจำของน้องดาบ ขอเพียงที่ไหนมีเยี่ยเว่ยหมิง เรื่องเล็กก็จะถูกทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนน้องดาบก็เป็นคนชอบก่อเรื่องอยู่แล้ว เพียงแต่ความสามารถในการก่อเรื่องของนางยังเป็นรองเยี่ยเว่ยหมิง
เหมือนการประลองยุทธ์เลือกคู่เนี่ยนฉือแชมเปียนส์คัพครั้งก่อน ศักยภาพและทรัพยากรที่ทั้งสองใช้ได้ไม่ได้ต่างกันมากแท้ๆ แต่น้องดาบทำได้อย่างมากก็แค่ตั้งทีมไปล้อมสังหารโหวทงไห่หนึ่งครั้ง แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับจัดการโอวหยางเค่อกับโอวหยางเฟิง ซึ่งเดิมทีไม่ควรจะปรากฏอยู่ในฉากด้วยซ้ำ!
นี่ยังไม่นับตอนสุดท้าย เขายังทำให้พระรองของเรื่องอย่างหวันเหยียนคังตายอีกด้วย
ดังนั้น ยิ่งเวลาที่รู้สึกเบื่อหน่าย น้องดาบก็ยิ่งอยากไปก่อเรื่องพร้อมกับเยี่ยเว่ยหมิง
เดิมที เยี่ยเว่ยหมิงเตรียมจะไปบุกดันเจี้ยนลานกระดูกของตู๋กูฉิวไป้คนเดียว แต่พอคิดได้ว่าภายหลังทั้งสองยังต้องทำภารกิจด้วยกันอีกไม่น้อย ก็ไม่สะดวกจะโกหกนางแบบชัดเจนเกินไป
หลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย เขาก็ยังตอบตามความจริงว่า “ก่อนหน้านี้ข้ารู้ตำแหน่งของเขตลับแห่งหนึ่งมา ยืนยันแล้วว่าอยู่ในบริเวณเสินหนงจย้า แต่การจะไปที่นั่นได้ไม่เพียงแค่อาศัยจังหวะเท่านั้น ทุกคนมีโอกาสเข้าไปได้เพียงครั้งเดียว เจ้าไม่เคยผ่านภารกิจย่อยมาก่อน ข้าไม่แน่ใจว่าพอเจ้าไปถึงที่นั่นแล้ว เจ้าจะเข้าไปได้หรือเปล่า…
…ถ้าเจ้าเข้าไปไม่ได้ เกรงว่าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ตั้งหลายวัน”
“ไม่เป็นไร!” น้องดาบตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ข้ากำลังเบื่อ สิ่งที่มีเยอะที่สุดก็คือเวลา”
“เช่นนั้นก็ได้” ในเมื่อน้องดาบพูดอย่างนี้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างจนใจ “แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องเตรียมของบางอย่างก่อน เจอกันตอนเช้าวันมะรืนแล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าจะส่งพิราบสื่อสารไป”
[1] เผ่าแสงจันทร์ (月光族) หมายถึงพวกที่ใช้เงินเดือนทั้งหมดก่อนสิ้นเดือนของแต่ละเดือน