ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 319 ตะลุยด่าน
ตอนที่ 319 ตะลุยด่าน
ฝูงมอนสเตอร์บินได้เลเวลห้าสิบห้า แถมมี BOSS เลเวลหกสิบห้าอีกตัวที่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ หน้าผา แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเพิ่มระดับความยากในการปีนหน้าผาให้ทั้งสอง
“เพื่อรับประกันว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะไม่ผิดพลาด ข้าจึงพกเชือกมาด้วย ทั้งยังเป็นเชือกที่ยาวมากพอ” ขณะมองกาโลหิตยี่สิบกว่าตัวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากพวกเราอยู่บนหน้าผาแล้วปีนเชือกลงมาก็จะประหยัดแรงได้เยอะจริงๆ แล้วถ้ามีจุดส่งแรงที่มั่นคง ตอนรับมือกับอุบัติเหตุต่างๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก”
น้องดาบพยักหน้าเช่นกัน หากเกิดการต่อสู้กันกลางอากาศ ปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยต่อทั้งสองที่สุดก็คือจุดส่งแรงของพวกเขาถูกจำกัดไว้เยอะมาก ทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่รวดเร็ว
เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็จะถูกกาโลหิตพวกนั้นทำร้ายได้ง่ายเพราะหลบไม่ทัน หรือไม่ก็ถูกโจมตีตกลงมาสาหัสระหว่างทาง หรือไม่ก็ตกลงมาตายทันที!
หากมีเชือกที่มั่นคงให้อาศัยแรงส่งได้สักเส้น ก็จะรับประกันขีดความปลอดภัยให้พวกเขาได้มากขึ้น
พอได้ยินว่าเยี่ยเว่ยหมิงพกเชือกมาจริงๆ น้องดาบก็ฮึกเหิมทันที “แล้วยังจะรออะไรอีก มีวิธีการดีขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องลองก่อนสิ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้าทันที “หรือจะให้ข้าช่วยดูเชือกให้เจ้า เจ้าเดินนำหน้าดีไหม”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดแบบนี้ น้องดาบก็เริ่มเครียด “มือปราบหน้าเหม็น เจ้ามีแผนชั่วอะไรอีก”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่มีแผนชั่วอะไรสักหน่อย มอนสเตอร์ในเสินหนงจย้าชั่วร้ายทั้งนั้น ข้าไม่แน่ใจว่าหลังจากพวกมันโจมตีพวกเราจนแพ้แล้วจะหันไปโจมตีเชือกต่อเลยหรือเปล่า”
น้องดาบได้ยินแล้วตะลึง หากกาโลหิตพวกนั้นเลือกโจมตีเชือก เชือกธรรมดาก็ไม่แข็งแรงพอให้พวกมันจิกเกินสองครั้งแน่
อย่างไรเสียก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเลเวลของสัตว์เดรัจฉานมีปีกพวกนี้เป็นอย่างไร แค่ดูก็รู้ถึงพลังโจมตีแล้ว
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง น้องดาบก็ยังเลือกมองปัญหาด้วยการคิดบวก “อีกาพวกนี้ดูแล้วหัวไม่ใหญ่มาก ทั้งยังอาศัยอยู่ในสถานที่ที่น้อยคนนักจะมาถึง คงจะไม่ฉลาดสักเท่าไหร่หรอกกระมัง”
สำหรับการวิเคราะห์ของน้องดาบ เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกว่าเห็นด้วย “ข้าถึงอยากให้เจ้าสำรวจเส้นทางก่อนอย่างไรล่ะ”
น้องดาบ “???”
ทีแรกน้องดาบนึกว่าเยี่ยเว่ยหมิงล้อเล่น กลับคาดไม่ถึงว่าต่อไปเขาจะพูดว่า “ถึงอย่างไรข้าก็จ่ายไปเยอะกว่าจะได้ข่าวของที่นี่มา ตลอดทางที่พวกเรามาด้วยกัน ข้าเองก็รับหน้าที่เรื่องอาหาร ในเวลาสำคัญแบบนี้ เจ้าก็ต้องแสดงคุณค่าของตัวเองบ้างสิ พิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่พวกอู้งาน”
ตอนที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่ลืมทำตาปริบๆ เหมือนออดอ้อนอีกฝ่าย “เจ้าว่าข้าพูดถูกไหมล่ะ”
“ข้าว่าเจ้าจะต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิต” น้องดาบกล่าว
“เจ้าพูดแบบนี้แสดงว่าตกลงแล้วใช่ไหม” เยี่ยเว่ยหมิงถาม
……
นึกไม่ถึงเลย สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็ยังทำเรื่องโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างการให้น้องดาบไปเสี่ยงอันตรายแทนเขาโดยไม่ได้บีบบังคับนางได้
แต่ใครจะจินตนาการได้ว่าด้านบนของหน้าผาแห่งนี้จะมีปลวกตัวเป็นๆ อยู่สิบกว่ารัง!
อาศัยที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้จักนิสัยต่ำช้าของผู้ออกแบบเกมนี้ดี จึงจินตนาการได้ไม่ยากว่า ขอเพียงพวกเขากล้ามัดเชือกบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้พวกมัน ก็จะกลายเป็นเป้าหมายของปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนทันที
ส่วนถ้าถามว่าเผาหรือหยอดน้ำใส่รังปลวก จะทำให้ปลวกทุกตัวร้อนตายหรือเปล่า
นั่นคือการตัดสินใจที่โง่มากเช่นกัน
ที่จริงแล้ว ผู้ออกแบบเกมสร้างรังปลวกไว้ให้เห็นชัดๆ สิบกว่ารังแบบนี้ ไม่ใช่เพราะจะบอกกับผู้เล่นว่าที่นี่มีปลวกทั้งหมดสิบกว่ารังแน่นอน แต่ต้องการจะบอกว่าที่นี่มีปลวกเฉยๆ!
มองจากภายนอกเห็นรังปลวกแค่สิบกว่ารัง เช่นนั้นรังที่ซ่อนอยู่ในที่ลับล่ะ?
ใครจะไปรู้ว่ายังมีอีกเท่าไร!
ในเวลาแบบนี้ คนที่คิดไปเองว่าตัวเองฉลาด นั่นต่างหากคนโง่ที่แท้จริง!
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วเลี้ยวเดินลงเขาทันที “ไม่ต้องทดลองแล้ว เลิกใช้แผนห้อยเชือกไต่หน้าผาเถอะ ใช้แผนสำรองแล้วกัน!”
น้องดาบได้ยินแล้วสงสัยใคร่รู้ “ยังมีแผนสำรองอีกหรือ”
“เดินไปคุยไปก็แล้วกัน”
……
เพื่อค้นหาเส้นทางขึ้นหน้าผา ทั้งสองพยายามตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง ตอนเดินลงเขาประหยัดเวลาสำรวจเส้นทางได้เยอะ แต่เพื่อเตรียมของจำเป็นบางอย่างสำหรับแผนสำรอง ทำให้พวกเขาเสียเวลาไปไม่น้อยเช่นกัน
เวลาไปกลับหนึ่งเที่ยวจึงผ่านไปหนึ่งวันแบบนี้แล้ว
หันไปมองมองสีของท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทีละนิด เยี่ยเว่ยหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ตอนนี้พวกเรามีสองทางเลือก ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ให้โอกาสเจ้าตัดสินใจ”
น้องดาบพิจารณาสองวินาที “ข้าไม่ตัดสินใจได้ไหม”
ทว่าการที่เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อขอความเห็นจากนางอยู่แล้ว เขาจึงไม่สนใจคำพูดนาง กล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว เจ้าเองก็รู้ว่าตอนกลางคืนมอนสเตอร์ในเสินหนงจย้าจะมีพลังโจมตีแข็งแกร่งมาก และยังก้าวร้าวขึ้นด้วย บอกได้เลยว่าตอนกลางคืนอันตรายกว่าตอนกลางวันเยอะ!”
“ดังนั้น ถ้าวันนี้พวกเราจะลองปีนหน้าผาลงมา ก็จะต้องเริ่มทันที ไม่อย่างนั้นก็หาสถานที่ปลอดภัยกินอาหารเย็นก่อน แล้วก็นอนพักสักคืน รอพรุ่งนี้เช้าค่อยเริ่มทำ”
พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็หันไปมองน้องดาบ
เพราะสองทางเลือกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาการแบ่งผลประโยชน์เลย ครั้งนี้เยี่ยเว่ยหมิงจึงมีท่าทีเคารพการตัดสินใจของนาง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเลย ถือเป็นการชดเชยที่แนะนำให้นางไปเสี่ยงอันตรายแทนเขาก่อนเช่นกัน
จากที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้จักน้องดาบ ตอนนี้แมวน้อยจอมตะกละต้องเลือกกินอาหารป่าให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากันแน่นอน
แต่กลับคาดไม่ถึง ครั้งนี้น้องดาบเลือก “เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ เสียเวลามานานขนาดนี้แล้ว พวกเราเริ่มปฏิบัติการตอนนี้เลยเถอะ”
“ได้!”
ในเมื่อน้องดาบตรงไปตรงมาขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมไม่ลังเลอะไรอยู่แล้ว
หลังจากเอ่ยรับอย่างตรงไปตรงมา เขาก็นำหมูป่าที่เตรียมไว้ก่อนแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศท่ามกลางฝูงกาโลหิต
ศพของหมูป่าตัวนี้ เยี่ยเว่ยหมิงต้องจัดการเป็นพิเศษ ทั้งตัวมันเต็มไปด้วยเลือดแดง กลิ่นคาวเลือดแรงมาก ก่อนหน้านี้ใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระจึงกันกลิ่นได้ ตอนนี้พอนำออกมา มันก็ดึงดูดความสนใจของกาโลหิตยี่สิบกว่าตัวทันที
หลังจากเสียงร้องระงมอันน่าสะพรึงเหมือนเสียงเด็กทารกดังขึ้น ฝูงกาโลหิตที่หัวใหญ่ไม่แพ้หมูป่าพวกนั้นก็พุ่งเข้ามาพร้อมกันในอึดใจเดียว บางตัวยื่นกรงเล็บแหลมเหมือนตะขอเหล็กขยุ้มศพของหมูป่า จากนั้นกาโลหิตฝูงนั้นก็เริ่มจิกกินศพของหมูป่ากลางอากาศท่ามกลางกลุ่มเมฆโลหิต
ฉากที่น่าขนลุกเช่นนี้ แม้จะทำให้ผู้พบเห็นหนังศีรษะชาวาบ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ดีว่าเวลานี้มีค่ามาก
เมื่อเห็นว่าหมูป่าตัวนั้นดึงดูดความสนใจของฝูงกาโลหิตแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ตะโกนเสียงดังว่า “ตอนนี้แหละ!” เขากับน้องดาบใช้ท่าร่างให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดพร้อมกัน วิ่งไปตามเส้นทางที่สำรวจไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่างคนต่างวิ่งทะยานขึ้นไปทางไหล่เขา