ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 337 เจ้ามีเคล็ดกระบี่ระดับสุดยอดวิชาแล้ว!
ตอนที่ 337 เจ้ามีเคล็ดกระบี่ระดับสุดยอดวิชาแล้ว!
ถ้าคิดจะรับฝ่ามือที่ใส่พลังสามส่วนของหยางกั้ว เป็นเรื่องที่ยากมากใช่หรือไม่
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ ที่จริงถือว่าไม่ยากเลย
อย่างที่หยางกั้วบอก ตอนที่เขาโจมตีเยี่ยเว่ยหมิง เคล็ดฝ่ามือที่ใช้ต้องอาศัยอารมณ์ด้านลบมากระตุ้นประสิทธิภาพของมัน
ยิ่งอารมณ์แย่เท่าไร ประสิทธิภาพของเคล็ดฝ่ามือก็จะยิ่งทรงพลัง แต่พออารมณ์ดีแล้ว ประสิทธิภาพของเคล็ดฝ่ามือก็จะถูกหักให้ลดลงเยอะมาก
พอหยางกั้วพอเห็นฉินหนานฉินแล้ว ก็เปลี่ยนจากผู้ชายเย็นชากลายเป็นลูกแหง่ติดแม่ ในใจเต็มไปด้วยความอบอุ่นประมาณว่า ‘บนโลกนี้มีเพียงมารดาที่ดีกับลูกที่สุด’ การที่ประสิทธิภาพเคล็ดฝ่ามือลดลงเยอะมาก ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้
เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ใช่ว่าจะตั้งตัวไม่ทันเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เขากุมกระบี่แสงทองไว้ในมือ มี ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ สนับสนุนอยู่ เตรียมป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว
ประกอบกับโบนัสค่าสเตตัสที่ปะทุออกมาตอนอยู่ในสถานะ ‘หยกแหลกลาญทะลวงเขาคุนหลุน’ ถ้ายังรับฝ่ามือของหยางกั้วที่ถูกลดประสิทธิภาพลงแล้วครึ่งหนึ่งไม่ได้ นั่นต่างหากที่เรียกว่าแปลก!
เห็นหยางกั้วโคจรพลังฝ่ามือ ดูมีพลังน่าตกตะลึงกว่าก่อนหน้านี้แท้ๆ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกว่าฝ่ามือของอีกฝ่ายไม่ได้มีภัยคุกคามต่อตนมากเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ฝ่ามือต่อไป เขาถึงขั้นมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“น้องสาววางใจได้ ก่อนหน้านี้กั้วเอ๋อร์เคยบอกข้าไว้ว่า ‘ฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลาย’ จะถูกลดประสิทธิภาพลงเยอะมากเมื่อเขาอารมณ์ดี ดังนั้น พี่ใหญ่เยี่ยของเจ้าต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน” คนที่พูดคือฉินหนานฉิน ตอนนี้นางเดินมาข้างกายสะพานสวรรค์น้อยแล้ว เป็นฝ่ายพูดปลอบใจสะพานสวรรค์น้อยที่กำลังมีสีหน้าตึงเครียดก่อน
เพียงแต่คำเรียกนี้…ต่อไปนี้การนับลำดับอาวุโสของนางกับหยางกั้วก็ต้องเปลี่ยนไปแล้วหรือเปล่า
เมื่อเห็นหยางกั้วกำลังจะปล่อยฝ่ามือที่สามออกมา ตอนจบอันบริบูรณ์ที่เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วก็เกิดความแปลกใหม่ขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาสำคัญนี้
เมื่อได้ยินติดกันสองครั้งว่าเคล็ดฝ่ามือของหยางกั้วจะได้รับผลกระทบเมื่ออารมณ์ดี บรรดาศิษย์สาวสำนักสุสานโบราณที่ยืนดูการต่อสู้อยู่อีกฝั่งกลับเริ่มสมองแล่น หนึ่งในนั้นที่ชื่อลาร่าบังเกิดความคิดบางอย่าง คิดว่านี่อาจเป็นโอกาสดีที่จะกู้ภาพพจน์ตัวเองที่ติดอยู่ในใจยอดฝีมือได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะร้องเพลงขึ้นมาโดยไม่ปรึกษาใครในช่วงเวลาที่อันตรายแบบนี้
“เฝ้าคอยโชคดีกับชะตาที่มหัศจรรย์ ข้ามผ่านยอดเขาตรงหน้ากับเมฆขาวหลายชั้น แต่แสงสีเขียวอยู่ตรงไหนกัน…”
นางร้องเพลงอย่างมีความสุขขนาดนั้น ในเนื้อเพลงราวกับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ท่ามกลางเนื้อเพลงแบบนี้ ท่ามกลางพลังฝ่ามือที่หยางกั้วเพิ่งก่อขึ้นมา เจตนาสังหารที่เดิมทีก็เบาบางอยู่แล้วอ่อนแอลงหลายส่วนในชั่วพริบตาเดียว
จำได้ว่าสถานะพิเศษของเยี่ยเว่ยหมิงจะอยู่ได้ต่อเนื่องสิบวินาทีเท่านั้น เจ้าหลานชายอย่างกั้วเอ๋อร์จึงไม่ลังเลอีก พลันออกแรงที่เท้าและกระโจนตัวเข้ามาแล้ว
แต่ตอนนี้เอง ลาร่าเพิ่งร้องเพลงประโยคสุดท้ายพอดี
ตอนที่หยางกั้วได้ยินคำว่า ‘แสงสีเขียว[1]’ ตอนสุดท้าย จากทีแรกที่อารมณ์เต็มไปด้วยแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ตอนนี้กลับถูกปกคลุมด้วยเมฆมืดครึ้มเต็มท้องฟ้า ชั่วพริบตาเดียว จิตสังหารในพลังฝ่ามือที่หย่อนหยานก็ก่อตัวแน่นหนาราวกับวัตถุจริง!
“บัดซบ!”
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายบนตัวหยางกั้วเปลี่ยนไป ได้แต่ด่าว่าน้องสาวที่ชื่อลาร่านั่นวางกับดัก แต่ยามเผชิญหน้ากับฝ่ามือคร่าชีวิตที่หยางกั้วปล่อยออกมาแล้ว กลับไม่มีเวลาให้ทำอะไรมากนัก
พรึ่บ!
ประสิทธิภาพ ‘ฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลาย’ พลันกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม เผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยพลังสามส่วนของหยางกั้ว ต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงเตรียมตัวเต็มที่แล้ว แต่จะต้านไหวได้อย่างไร
จากนั้นแสงสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของการตายและบาดเจ็บสาหัสก็สว่างวาบขึ้นมา ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
บทสรุปสุดท้ายก็คือ…
เยี่ยเว่ยหมิงยังคงได้รับปลาขาวบึงหนาวที่เขาต้องการ พร้อมทั้งได้รางวัลลับที่แถมมากับภารกิจด้วย
ส่วนราคาที่ต้องจ่ายก็คือ ค่าความจงรักภักดีของเจ้าแดง ราชันกาโลหิตติดลบสิบแต้ม
……
[ปลาขาวบึงหนาว] ปลาสีขาวที่มีแหล่งกำเนิดจากใต้หน้าผาลำไส้ขาดตรงก้นหุบเขาไร้รัก
พลังชีวิตสูงสุด +200
กำลังภายในสูงสุด +200
ความแข็งแกร่ง +20
พละกำลัง +20
ท่าร่าง +20
ความว่องไว +20
……
[กระบี่ชิงชัย (อาวุธล้ำค่า)] เกรี้ยวกราดรุนแรง ทำลายล้างทุกสิ่ง อาวุธที่อสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้ใช้ชิงชัยกับเหล่าวีรบุรุษแคว้นเหอซั่วก่อนอายุยี่สิบ
โจมตี +700
เลเวลเคล็ดกระบี่ +2!
……
ก่อนหน้านี้มีแจ้งเตือนในภารกิจแล้ว หากรับสามฝ่ามือของ ‘ผู้ทดสอบ’ ได้ เยี่ยเว่ยหมิงจะไม่เพียงแค่ได้รับปลาขาวบึงหนาว แต่ยังได้รับรางวัลลับจากสำนักสุสานโบราณด้วย
เป็นเพราะมีรางวัลลับนี้อยู่ หยางกั้วถึงได้ดึงระดับภารกิจขอปลาของเยี่ยเว่ยหมิงให้เป็นระดับเจ็ดดาวสำเร็จ
ส่วนรางวัลลับส่วนนั้น ย่อมเป็นอาวุธล้ำค่ากระบี่ชิงชัยที่อยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิงอยู่แล้ว!
ที่จริงค่าสเตตัสโดยรวมของกระบี่เล่มนี้ด้อยกว่ากระบี่แสงทองนิดหน่อย ยังไม่ครอบคลุมเท่ากระบี่แสงทอง แต่ถ้ามองด้านพลังทำลายล้างอย่างอย่างเดียว มันกลับเหนือกว่ากระบี่แสงทอง
อย่างไรเสีย ดูจากตำราตกทอดที่ตู๋กูฉิวไป้ทิ้งไว้ก็รู้แล้วว่าลักษณะการต่อสู้ของปู่ท่านนี้ก็สรุปได้ด้วยคำสามคำ
รุกโจมตี รุกโจมตี รุกโจมตี!
ราวกับว่าในพจนานุกรมของเขาไม่เคยมีคำว่าป้องกัน เป็นเจ้าหนูสายรุกไร้เทียมทานโดยสมบูรณ์!
ไม่ใช่สิ อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่มาจนแก่ตายตามอายุขัย ใช้คำว่า ‘เจ้าหนู’ มาบรรยายเหมือนจะไม่เหมาะสม งั้นเรียกว่าอะไรดีล่ะ
ตาแก่สายรุกไร้เทียมทาน?
……
“‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่ข้านำออกมาให้ก่อนหน้านี้ อย่าให้ตกอยู่ในมือลาร่ากับครอฟท์เด็ดขาด ตัววางกับดักที่ชอบทำเสียเรื่องแบบนี้ ไม่มีค่าให้พวกเจ้าฝึกฝนเลี้ยงดูหรอก” ก่อนจากกันเยี่ยเว่ยหมิงกำชับหยางกั้วไว้แบบนี้
สำหรับการกำชับของผู้อาวุโส หยางกั้วย่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ท่านอาเยี่ยพูดถูก เรื่องนี้ข้าก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน”
ครอฟท์ “???”
ตอนนี้เรื่องจบลงแล้ว หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกับกล่าวอำลากับสองแม่ลูกก็นัดกับสะพานสวรรค์น้อยว่าจะไปบุกจวนท่านอ๋องจ้าวด้วยกัน เสร็จแล้วถึงได้ใช้ท่าร่างออกจากสำนักสุสานโบราณมุ่งไปทางจุดพักม้าตรงตีนเขาจงหนาน
ส่วนกระบี่ชิงชัยเล่มนั้น เขากลับเก็บมันไว้ในกระเป๋าอย่างไม่ใส่ใจ
แม้ค่าสเตตัสโดยรวมของกระบี่เล่มนี้จะสู้กระบี่แสงทองไม่ได้ แต่ถ้าใช้ฆ่ามอนสเตอร์อัปเลเวลหรือรับมือกับพวก BOSS เลเวลต่ำ กลับปะทุพลังทำลายล้างได้ดีกว่า ถือว่าเป็นเครื่องมือกำจัดวัชพืชชั้นดี
สลับใช้กับกระบี่แสงทองได้โดยดูตามสถานการณ์
ในขณะที่คนอื่นพยายามอย่างหนักเพื่อขออาวุธล้ำค่าสักชิ้นแต่ไม่ได้ บนตัวเยี่ยเว่ยหมิงกลับมีกระบี่ที่เป็นอาวุธล้ำค่าตั้งสองชิ้น
แบบนี้เรียกว่าเผด็จการ!
เขาส่งพิราบสื่อสารให้น้องดาบ
[[ปลาขาวบึงหนาว]]…เยี่ยเว่ยหมิง
[จัดการเรียบร้อยเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ขั้นตอนคงราบรื่นมากล่ะสิ]…หนึ่งดาบสามเฉือน
[ราบรื่นมากจริงๆ ราบรื่นจนข้าเกือบถูกหยางกั้วตบตาย!]…เยี่ยเว่ยหมิง
[หยางกั้ว? ข้าเคยได้ยินพี่ชายข้าพูดถึง เหมือนจะเป็นลูกชายของหยางคัง ทำไมโตเร็วขนาดนี้ได้]…หนึ่งดาบสามเฉือน
[อยากรู้?]…เยี่ยเว่ยหมิง
บทสนทนาจบลง
เมื่อรู้แล้วว่าน้องดาบไม่มีทางซักไซ้ต่อให้ตัวเองอารมณ์เสีย เยี่ยเว่ยหมิงก็อดนึกย้อนถึงบทสนทนายาวๆ ระหว่างตัวเองกับหยางกั้วก่อนหน้านี้ไม่ได้
ที่แท้ NPC ที่ต้องมีกระบวนการการเติบโตอย่างหยางกั้ว ก็ไม่ได้มีเพียงคนเดียวในเกมเสมอไป
ที่จริงแล้ว หลายสำนักในเกมไม่ได้มียอดฝีมือคุมสำนักเพียงคนเดียว เช่นสำนักอู่ตังมีจางซานเฟิงกับชงซวี แต่สถานการณ์ของหยางกั้วพิเศษกว่านิดหน่อย
เพราะในเนื้อเรื่องของต้นฉบับเดิมเขามีความสำคัญมาก เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ผู้เล่นในเกม เขาจะต้องผ่านประสบการณ์ระหว่างเติบโตตามต้นฉบับเดิม
ไม่ว่าสถานการณ์ตอนที่มีผู้เล่นเข้าร่วมด้วยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ยังต้องมีขั้นตอนนี้อยู่
ส่วนสำนักสุสานโบราณ ในฐานะที่เป็นสำนักสำคัญของเนื้อเรื่อง ก็จะต้องมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากพอคอยคุมสำนักเช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ยังไม่ทันรอให้เนื้อเรื่องของ ‘คู่รักจ้าวอินทรี’ เริ่มขึ้น สำนักสุสานโบราณถูกผู้เล่นกำจัดก่อนพระเอกเติบโต เช่นนั้นเนื้อเรื่องจะดำเนินต่อได้อย่างไร
ดังนั้น อย่าไปมองว่าสำนักสุสานโบราณมีเพียง NPC สองคนอย่างแม่นางหลงที่อายุไม่กี่สิบปีกับท่านยายซุนที่เลเวลไม่ถึงเจ็ดสิบ เพราะความจริงแล้ว ในที่ลับของสำนักนี้ ยังมียอดฝีมือที่เลเวลเกินหนึ่งร้อยห้าสิบเร้นกายอยู่ถึงสี่คน!
มีหยางกั้วที่ฝึกวิชาสำเร็จ เสี่ยวหลงหนี่ว์ แล้วก็มีพญาอินทรีสัตว์เลี้ยงของหยางกั้วด้วย
ส่วนคนสุดท้าย เหมือนจะเป็นแม่นางแซ่หวงคนหนึ่ง มีฝีมือน่ากลัวเช่นกัน ชื่อของนางคือแม่นางเสื้อเหลืองอะไรสักอย่าง…
หยางกั้วเอ่ยถึงแม่นางหวงเพียงสั้นๆ เหมือนอยากให้ผ่านไป เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ไม่สะดวกจะซักไซ้ประวัติของ NPC ผู้หญิงเช่นกัน จึงไม่รู้เรื่องของนางมากนัก
ยามปกติคนเหล่านี้ไม่ปรากฏตัวเลย ตามที่หยางกั้วบอกมาก็คือ เพราะกติกาของระบบจำกัดไว้ เขาไม่มีทางออกจากอาณาเขตของสำนักสุสานโบราณได้
แต่ถ้ามีผู้เล่นบางคนที่ยังหูตาไม่สว่างจริงๆ อยากจะอาศัยความสามารถลงมือกับสำนักสุสานโบราณ ยอดฝีมือสี่คนนี้ก็จะทำให้เขารู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าความสิ้นหวังแน่นอน
และยอดฝีมือพิเศษที่มีสองร่างแบบนี้ มักจะมีความไม่แน่นอนเยอะมาก
ยกตัวอย่างเช่นหยางกั้ว เดิมทีประวัติชีวิตของเขาควรจะเป็นลูกชายของหยางคังกับมู่เนี่ยนฉือ แต่โชคชะตานี้ถูกเยี่ยเว่ยหมิงทำพังเสียแล้ว หยางกั้วจึงกลายเป็นทายาทของหยางคังกับฉินหนานฉิน ไม่ได้มีเพียงหยางกั้วน้อยที่ต้องเผชิญความยากลำบากในอนาคตเท่านั้น แต่มีร่างแท้ของหยางกั้วที่เร้นกายอยู่ในสำนักสุสานโบราณด้วยเช่นกัน
อีกทั้งประสบการณ์ที่หยางกั้วน้อยต้องเจอระหว่างเติบโตตามเนื้อเรื่องดำเนินไป หยางกั้วร่างผู้ใหญ่ก็จะได้รับผลกระทบที่สอดคล้องด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งเนื้อเรื่องของ ‘คู่รักจ้าวอินทรี’ ดำเนินถึงตอนจบแล้ว หยางกั้วสองคนก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน กลายเป็นคนเดียวกันโดยสมบูรณ์
……
พอกลับถึงสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิงก็นำ ‘หนังสือจารึกของตู๋กู’ ที่เก็บไว้ในโกดังก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นก็ปรับรูปลักษณ์ของตัวเอง เสร็จแล้วถึงได้ไปหาหวงโส่วจุนอีกครั้ง
พอเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของเยี่ยเว่ยหมิง หวงโส่วจุนก็ถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าในบรรดาพวกเราใครเป็นพี่ใหญ่ของสำนักมือปราบ ใครเป็นผู้เล่นกันแน่…
…ทำไมช่วงนี้เจ้ามาของานข้าทำบ่อยกว่าที่ข้าแจกภารกิจให้เจ้าเสียอีกล่ะ”
“เหอะๆ…ใครใช้ให้ท่านมีวิสัยทัศน์แตกต่าง มีความรู้ล้ำลึกล่ะ” เยี่ยเว่ยหมิงไม่สลดเพราะคำตำหนิของหวงโส่วจุนเลยสักนิด กลับเหมือนได้รับกำลังใจด้วยซ้ำ นำ ‘หนังสือจารึกของตู๋กู’ ที่เตรียมไว้ออกมาแล้วใช้สองมือวางบนโต๊ะตรงหน้าหวงโส่วจุนเสียเลย
“ก่อนหน้านี้ศิษย์เสี่ยงอันตรายและบังเอิญได้รับตำราตกทอดของอสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้ จึงทาบพิมพ์เอาไว้ หวงโส่วจุนได้โปรดช่วยแปลให้สักหน่อยขอรับ”
“อ้อ?”
พอได้ยินคำว่าอสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้ หวงโส่วจุนก็เกิดความสนใจทันที วางคัมภีร์เต๋าในมือ แล้วหยิบหนังสือจารึกตรงหน้าขึ้นมา ก่อนจะเริ่มอ่านด้วยความสนใจ พออ่านถึงส่วนสุดท้าย ก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า “นักรบเชิดชูสัจธรรมหรือ เจ้าหมอนี่…”
พูดประโยคนี้ขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วหวงโส่วจุนก็เปิดอ่านหนังสือต่อ ส่วนที่บันทึกประวัติของตู๋กูฉิวไป้เขาอ่านเร็วมาก จนกระทั่งถึงจุดที่บันทึกความเข้าใจที่มีต่อเคล็ดกระบี่ เขาถึงได้อ่านช้าลง
แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ หวงโส่วจุนกำลังอ่าน เยี่ยเว่ยหมิงกำลังรอ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ หวงโส่วจุนถึงได้วางหนังสือจารึกลงทั้งที่ยังอ่านไม่หนำใจ แล้วอมยิ้มมองเยี่ยเว่ยหมิง “เจ้าเด็กแสบ เจ้ามีเคล็ดกระบี่ระดับสุดยอดวิชาแล้วนี่!”
[1] สีเขียว สื่อถึงสวมหมวกเขียว หมายถึงภรรยามีชู้